อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ ปีนเขาด้วยมือเปล่า เสี่ยงตายทุกปลายนิ้ว

อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ ปีนเขาด้วยมือเปล่า เสี่ยงตายทุกปลายนิ้ว
“ผมเคยกลัวตายตลอดเวลา” คำพูดดังกล่าวอาจดูธรรมดาสำหรับคนทั่วไป แต่มันกลายประโยคน่าทึ่งสำหรับชายคนหนึ่งที่ไม่เคยแสดงท่าทีว่ากลัวความตายเลย ด้วยหน้าตานิ่งสงบเหมือนคนไร้อารมณ์ หนำซ้ำยังชอบทำกิจกรรมเสี่ยงตายอย่างการปีนผาแบบไร้เชือกหรือฟรีโซโล (Free Solo) เป็นประจำ ทำให้ประโยคดังกล่าวเมื่อออกจากปาก อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ (Alex Honnold) มันก็เลยสร้างความรู้สึก “เอ๊ะ! ยังไง” กับคนฟัง “ผมเคยกลัวตายตลอดเวลา ไม่เคยอยากตายเลยเหอะ ปีที่แล้วผมเห็นคนตกผาตายที่ Red Rock มันเป็นอุบัติเหตุที่สยดสยองมาก เขาร่วงลงมากระแทกหินจนหัวแตกเลือดทะลัก นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอุบัติเหตุระหว่างปีนเขาแบบจัง ๆ มันเป็นอะไรที่น่าเศร้า ทั้ง ๆ ที่เขาก็สวมหมวกกันน็อก มันเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าการปีนเขาแม่งอันตรายแค่ไหนถ้าคุณพลาดนิดเดียว แม้จะห้อยเชือกอยู่ก็ตาม” อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ ปีนเขาด้วยมือเปล่า เสี่ยงตายทุกปลายนิ้ว ครั้งหนึ่ง อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ พิชิตยอดเขา เอล แคพพิทัน (El Capitan) หน้าผาหินแกรนิตความสูงกว่า 3,200 ฟุต ด้วยการปีนมือเปล่าแบบไร้อุปกรณ์ช่วยเหลือใด ๆ ซึ่งถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์สารคดี Free Solo (2018) จนได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมประจำปี 2019 มาครอง ส่วนหนึ่งของสารคดีเล่าย้อนกลับไปถึงสาเหตุที่เขาหลงรักการปีนผาตั้งแต่วัยเด็ก การปีนผาเปรียบเสมือนช่วงเวลาที่เขาหลุดออกจากโลกแห่งความจริง เป็นช่วงเวลาที่เขามีสมาธิที่สุด เป็นช่วงเวลาที่เขาเยียวยาจิตใจ และเป็นช่วงเวลาที่เขาเป็นตัวเอง “จำได้ว่าตอนเป็นเด็กผมห้าวกว่านี้ วัยเด็กเราวิ่งเล่นอยู่ในอาณาจักรจินตนาการ ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ ไร้ข้อจำกัด... แต่ในวัยผู้ใหญ่เราเริ่มมีตรรกะ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลรองรับ มีที่มาที่ไป มีข้อจำกัด... ซึ่งที่แห่งนั้นแทนอาณาจักรจินตนาการ เรียกว่า โลกแห่งความเป็นจริง แน่นอนว่าการปีนผาด้วยมือเปล่าเสี่ยงไปด้วยความตายทุกปลายนิ้ว ภาพยนตร์จึงเลือกนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความกลัวภายในจิตใจของเขา (ก็แหงละ หน้าตาเขาไม่เผยไต๋ความกลัวอะไรเลย) ปี 2016 ฮอนโนลด์เข้าสแกนสมอง MRI เพื่อตรวจการตอบสนองความกลัวว่าแตกต่างจากพวกเราอย่างไร ผลปรากฏว่าความกลัวของเขาต้องใช้แรงกระตุ้นสูงกว่าคนอื่น ซึ่งเขากลับมองผลการทดสอบนี้ว่าเป็นเรื่องปกติ! “ผลการทดสอบเป็นเรื่องปกตินิ... ผมฝึกตัวเองไม่ให้ตอบสนองต่อตัวกระตุ้นอะไรนัก ถ้าคุณฝึกบ่อย ๆ คุณจะเก่งขึ้น หรือไม่ก็อ่อนไหวต่อความกลัวน้อยลง ผลการทดลองเป็นแบบนั้นก็ถูกต้องแล้วนิ” ความสงสัยเรื่องความกลัวหมดไป คำถามสำคัญต่อมาคือทำไมพี่แกต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงกับความตายด้วย? "คนชอบถามว่าทำไมผมต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงตาย ...ก็เพราะผมแยกแยะระหว่าง 'ความเสี่ยง' กับ 'ผลที่ตามมา' ไงเล่า! ฮอนโนลด์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาแยกแยะระหว่างความกลัวและความเสี่ยง ถ้ามีความเสี่ยงสูง แน่นอนว่าย่อมอันตราย สิ่งที่เขาจะเลือกทำคือเตรียมตัวให้พร้อม ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรู้สึกกลัวน้อยลง เพราะเขาจะปีนก็ต่อเมื่อตัวเองสบายใจเท่านั้น “ถ้าผมร่วงลงไป ผลที่ตามมาย่อมสูง แต่ผมเห็นแล้วว่าความเสี่ยงที่จะเกิดน่ะต่ำมาก ผมถึงได้ปีน" หนึ่งในบุคคลที่ฮอนโนลด์ยึดถือเป็นไอดอลก็คือ เพาล์ พรอยส์ (Paul Preuss) นักปีนเขาชาวออสเตรียที่เปรียบเสมือนบิดาแห่งการปีนแบบฟรีโซโล เขาเคยบอกว่า แก่นแท้ของการปีนเขาไม่ใช่อุปกรณ์ช่วยเหลือ แต่คือการเอาชนะขุนเขาด้วยสมรรถนะทางร่างกายและจิตใจที่เหนือกว่า อย่างไรก็ดี พรอยส์กลับเกิดอุบัติเหตุตกเขาตายที่นอร์ธ ริดจ์ (North Ridge) แต่ก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักปีนเขารุ่นหลัง ๆ รวมถึง อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ [caption id="attachment_7726" align="alignnone" width="1536"] อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ ปีนเขาด้วยมือเปล่า เสี่ยงตายทุกปลายนิ้ว Alex Honnold free solo climbs El Capitan's Freerider in Yosemite National Park. (National Geographic/Jimmy Chin)[/caption] อีกหนึ่งความเจ๋งของสารคดี Free Solo คือทีมงานทั้งหมดที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างลุ้นระทึก โดยเฉพาะคู่รักสองผู้กำกับ จิมมี ชิน (Jimmy Chin) และ เอลิซาเบธ ไช (Elizabeth Chai) ที่หากฮอนโนลด์เกิดความผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขาจะไม่มีโอกาสถ่ายทำรอบที่สองเลย "หลายครั้งเหลือเกินที่ผมกลัวจะเห็นอเล็กซ์ร่วงลงมาตายหน้ากล้อง หลายครั้งผมอยากพุ่งตัวขึ้นไปช่วยเขา เพราะเขาคือเพื่อนรักของผม แต่ขณะเดียวกันผมก็คือคนทำหนัง ผมต้องทำสมองให้ปลอดโปร่งเสมอว่า เรากำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเราต้องทำมันให้ถูกต้อง ผู้กำกับชินกล่าว เช่นเดียวกับไชที่บอกว่า "ฉันภูมิใจกับหนังเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะเวลาเห็นคนมาดูแล้วได้รับแรงบันดาลใจจากความกล้าหาญของ อเล็กซ์ ฮอนโนลด์ จากเรื่องราวของเขาในการจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้" ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ว่าเขาจะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงตายเพื่ออะไร? แน่นอนคำตอบทั้งหมดอยู่ในสารคดีเรื่องนี้ แต่ฮอนโนลด์ก็เคยสัมภาษณ์อย่างเป็นสัจธรรมไว้ว่า “ชีวิตทุกคนก็ล้วนต้องเสี่ยงทั้่งนั้น ต่อให้คุณไม่ทำอะไรเลย เอาแต่นอนบนโซฟาทั้งวัน คุณก็ยังเสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็งตายใช่ไหมล่ะ ฉะนั้นผมก็อาจมีสิทธิด่าคุณได้เหมือนกันว่า คุณไม่รู้จักดูแลตัวเอง” ส่วนท้ายของสารคดี (ไม่ใช่สปอยล์เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว) ฮอนโนลด์ปีนเขาได้สำเร็จ บนยอดเขาฮอนโนลด์เผยรอยยิ้มภาคภูมิใจ แต่พอลงจากยอดเขาเท่านั้นแหละ ฮอนโนลด์ก็ออกกำลังกายฝึกร่างกาย ด้วยสีหน้านิ่ง ๆ เรียบ ๆ เหมือนเดิม   ข้อมูล DocumentaryClubTH the-talks 52-insights