30 พ.ค. 2562 | 18:28 น.
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ ของยอดทีมจากเกาะอังกฤษอย่าง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ถือเป็นผู้จัดการทีมมากความสามารถที่ฮอตที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลตอนนี้ โปเช็ตติโน หรือที่ทุกคนเรียกเขาว่า “พอช” ถูกขนานนามให้เป็นอีกหนึ่งยอดนักปราชญ์แห่งวงการฟุตบอลสมัยใหม่จากผลงานการทำทีมของเขา ไล่ตั้งแต่ เอสปันญ่อล, เซาแธมป์ตัน รวมไปถึงปัจจุบันกับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เกมรุกที่ดูสนุกและมาพร้อมกับเกมรับอันเหนียวแน่นกลายเป็นสไตล์การทำทีมในแบบของพอช แน่นอนปรัชญาข้อนี้อาจจะไม่ได้ใหม่ในวงการฟุตบอลเพราะทุกคนรู้ว่านี่คือสูตรสำเร็จของการจะเป็นยอดทีม
พอช ไม่ใช่กุนซือแนวขงเบ้งแบบ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือเป็นสายเฮวี่ เมทัล แบบเจอร์เกน คล็อปป์ แต่ถ้าถามว่าเขาอยู่ตรงไหนระหว่างสองคนนี้ คงต้องบอกว่าเขาอยู่ตรงกลางพอดิบพอดี บางครั้งเขาก็ดุดันและหลักแหลมในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับแนวทางการสร้างทีมที่เน้นการผลักดันนักเตะจากทีมเยาวชนมาปลุกปั้น รวมถึงการนำเข้านักเตะโนเนมให้เปลี่ยนจากดินสู่ดาว กลายเป็นสิ่งที่ พอช ทำได้ดีกับทีมที่เขาดูแล
“มันเป็นเรื่องของความเชื่อในศรัทธาที่คุณมี นับตั้งแต่วันแรกที่ผมได้มาเป็นผู้จัดการทีม สิ่งแรกที่ผมสนใจที่สุดคือทีมเยาวชนของสโมสรเป็นอย่างไร เพราะผมคิดว่าเด็กในวันนี้จะเติบโตเป็นนักเตะที่เก่งและเป็นอนาคตของสโมสรได้”
พอช มีความเชื่อในเรื่องการพัฒนาผู้เล่นอย่างจริงจัง เขาเน้นที่จะสร้างมากกว่าที่จะซื้อ เขาตระหนักดีว่าทุกสิ่งล้วนแต่มาจากจุดนี้ จุดที่นักฟุตบอลทุกคนต้องเคยผ่านมานั่นก็คือ “การถูกค้นพบ”
ย้อนกลับเมื่อปี 1986 มาร์เซโล่ บิเอลซ่า (กุนซือลีดส์ ยูไนเต็ด คนปัจจุบัน) บรมกุนซือที่สมัยนั้นคุมทีมเยาวชนของนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ และ จอร์จ กริฟฟา ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกเยาวชนของทีม (ผู้ค้นพบกาเบรียล บาติสตูต้า และ คาร์ลอส เตเบซ) ขับรถด้วยระยะทางกว่า 200 ไมล์ ขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจากกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวง สู่เมืองโรซาริโอ เพื่อตระเวณออกหานักเตะเยาวชนมาร่วมทีม และระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเปิดคอร์สสอนการเป็นโค้ชอยู่ที่ซานตา อิซาเบล เมืองเล็ก ๆ ในแถบนั้น จู่ ๆ กริฟฟา ก็ได้ยินคนเอยถึงชื่อของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน เด็กหนุ่มมากพรสวรรค์ที่กำลังจะได้เซ็นสัญญากับ โรซาริโอ เซ็นทรัล ทีมคู่ปรับร่วมเมืองของ นีเวลส์
[caption id="attachment_8099" align="aligncenter" width="503"]ในช่วงกลางดึกของคืนนั้น บิเอลซ่า ได้ขอให้ กริฟฟา พาเขากลับไปยังโรซาริโอเพื่อตามหาเด็กหนุ่มคนนี้ สุดท้ายทั้งคู่ตัดสินใจตรงดิ่งไปที่เมืองเมอร์ฟี่ บ้านเกิดของ โปเช็ตติโน ทันที
“เราตัดสินใจไม่ไปที่โรซาริโอ และมุ่งหน้าไปที่เมอร์ฟี่ ที่ที่เจ้าเด็กโปเช็ตติโนอาศัยอยู่ เพราะเราจะได้รู้กันว่าเขาเซ็นกับโรซาริโอ เซ็นทรัล แล้วหรือยัง” กริฟฟา ย้อนความหลังถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น
[caption id="attachment_8098" align="aligncenter" width="499"]เวลาประมาณตีสองทั้งคู่เดินทางถึงฟาร์มโคนมแห่งหนึ่ง พวกเขาตัดสินใจเดินเข้าไปเคาะประตูบ้านหลังนั้นทันที “เราถึงบ้านหลังนั้นประมาณตีสอง ผมเคาะตรงบริเวณหน้าต่างบ้าน แม่ของ เมาริซิโอ เดินมาเปิดประตู เธอจำผมได้และให้เราทั้งคู่เข้ามารอในบ้าน ผมเริ่มชวนพวกเขาคุยถึงเรื่องถั่วเหลืองและพวกพืชผลต่าง ๆ เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับฟุตบอลเลย”
สุดท้ายทั้งสองก็เข้าประเด็นถึงจุดประสงค์ที่มาเยือนพวกเขาในคืนนี้ว่าต้องการมาพบกับเด็กหนุ่มที่ทุกคนพูดถึง ก่อนจะโน้มน้าว เฮคเตอร์และอเมเลีย พ่อและแม่ของเมาริซิโอเต็มที่ “นี่คือทีมของแชมเปี้ยน” กริฟฟาขายของสุดฤทธิ์ หลังสิ้นสุดการสนทนาก่อนจะกลับ บิเอลซ่า และกริฟฟา ได้ขอทั้งคู่เข้าไปดูตัว เมาริซิโอ ขณะหลับ ซึ่งทันทีที่ บิเอลซ่า เห็นร่างของเด็กวัย 14 คนนี้ เขาก็ถึงขั้นอุทานออกมาอย่างตกใจว่า “ขานั้น เป็นขาของนักฟุตบอลโดยแท้”
[caption id="attachment_8093" align="aligncenter" width="502"]ไม่มีใครรู้ว่าวันนั้น พอช ฝันเกี่ยวกับอะไรอยู่ ไม่รู้จะเป็นเรื่องฟุตบอลหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ นับตั้งแต่คืนนั้นฝันของเขาก็ได้กลายเป็นจริง เพราะหลังจากนั้นสามวัน เฮคเตอร์ เดินทางมาหา กริฟฟา และ บิเอลซ่า พร้อมกับสัญญาการย้ายตัวและพูดว่า “พวกคุณทำได้”
พอช ทิ้งฟาร์มที่เขาเกิดมาและมุ่งหน้าไปโรซาริโอเพื่อกลายเป็นนักเตะเยาวชนของ นีเวลส์ โอลด์ บอยส์ ชีวิตในฐานะนักเตะช่วงแรกของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความสำเร็จในอาชีพของเขาล้วนแต่แลกมาด้วยความลำบากในอดีต
“เราใช้ชีวิตอยู่ใต้ stand ในสนาม มันเป็นห้องใหญ่ ๆ ห้องเดียวที่มีฉากกั้นเป็นหลาย ๆ ส่วน นั่นแหละคือที่ที่พวกเรานอน มีพวกเรา 25-30 คนแชร์ห้องใหญ่นั้นด้วยกัน มันยากมากสำหรับผมที่ตัองห่างไกลจากครอบครัว จากสิ่งที่เคยชิน และยังต้องอ่านหนังสือตอนกลางคืนอีก ผมจำได้ไม่กี่อย่าง จำได้แค่ว่ามันไม่ง่ายเลย แต่บางอย่างทำให้เราต้องไปต่อ อย่างแพชชั่นที่มีต่อฟุตบอลและแรงจูงใจที่จะได้เล่น มันเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราชนะปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณในฐานะเด็กอายุ 14”
พอช ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเล่นฟุตบอลอย่างเดียว เขาเป็นคนที่วางแผนสำรองในชีวิตเสมอ ในวัย 17 เขาสนใจที่จะเข้ามหาวิทยาลัยด้านการเกษตรตามรอยพ่อของเขา เขาไม่เคยลืมว่าตัวเองมาจากที่ไหนและไม่เคยเกลียดการเป็นเกษตรกร
“เราเป็นครอบครัวที่ทำงานหนัก เราจำเป็นต้องทำงานตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่เขาอยู่ที่นีเวลส์ เขายังหาเวลาว่างกลับมาช่วยทำฟาร์มอยู่เลย” เฮคเตอร์ พ่อของ พอช ให้สัมภาษณ์
[caption id="attachment_8097" align="aligncenter" width="501"]ถ้าไม่รุ่งกับการเตะฟุตบอล พอช คงจะหันหลังให้มันและกลับไปรีดนมวัว หรือเก็บเห็ดในเมอร์ฟี่แน่นอน แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังการซ้อมกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังเขาแท็กเกิลใส่ ตาต้า มาร์ติโน่ อย่างหนักจนถึงขั้นแนวรุกรุ่นพี่ยัวะสุด ๆ และตอนนั้นเองที่ พอช ได้ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นกองหลังดาวรุ่งพันธุ์ดุขนานแท้
“ตาต้า หันมาหาผมแล้วพูดว่า ‘ไอหนู ฉันจะฆ่าแก’ ส่วนโค้ชก็ตะโกนมาหาผมว่า ‘แกไปทำอย่างนั้นกับมาติโน่ได้ไง’ ผมได้แต่บอกว่าขอโทษ ๆ ส่วนตาต้าก็พูดว่า ‘ฉันไม่อยากเห็นแกในระยะสามเมตรอีก’ ” พอช เล่าเหตุการณ์ในวันนั้น
หลังจบ session นั้นหลายคนอาจจะคิดว่าอนาคตของพอชคงจบแล้ว แต่ที่ไหนได้ความห้าวในครั้งนั้นกลายเป็นประตูสู่ความฝันของเขา ท้ายที่สุดโค้ชทีมชุดใหญ่อย่างโชเซ่ยูดิก้าก็ได้โปรโมทเขาขึ้นทีมชุดใหญ่
“ตอนเขาขึ้นทีมชุดใหญ่ตอนอายุ 19 เขาไม่ได้สนใจจะซื้อรถแพง ๆ เหมือนเพื่อนร่วมทีมคนอื่น เขาหารถเก่า ๆ ใช้แทน เขาเป็นเด็กที่ไม่เคยคิดอยากจะเป็นดาวเด่น เขาแค่อยากจะเล่นฟุตบอลจริง ๆ แค่นั้น” เฮคเตอร์ ให้สัมภาษณ์
ไม่กี่ปีต่อมา พอช ผนึกกำลังร่วมกับ เฟอร์นันโด แกมบัว ทำให้ นีเวลส์ โอลด์ บอยส์ กลายเป็นทีมที่มีแนวรับสุดแกร่ง พอช อยู่กับทีม 5 ปีก่อนจะออกผจญภัยกับหลายทีมในยุโรป เช่น เอสปันญ่อล, เปแอสเช และ บอร์กโดซ์ จนสุดท้ายผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมในปัจจุบัน
ในปี 2009 พอช เริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมโดยตัดสินใจรับงานเผือกร้อนในการคุมเอสปันญ่อล ทีมเก่าของเขาที่สถานการณ์ร่อแร่ต่อการตกชั้นเต็มที แต่ใครจะไปเชื่อว่าหลังจบฤดูกาลนั้น พอช จะพาทีมนกแก้วจบอันดับที่สิบในลาลีก้า แถมมีผลงานชิ้นโบว์แดงเป็นการปราบคู่ปรับร่วมแคว้นกาตาลันอย่างบาร์เซโลน่า ถึงคัมป์ นู ในรอบ 27 ปี
แท็กติกแนวทางการเล่นการผ่านบอลในแนวตั้ง เกมรุกที่เคลื่อนที่เร็ว และการเพรซซิ่งคู่แข่งต่อเนื่อง และโดยเฉพาะเรื่องของการสร้างสภาพจิตใจให้แก่นักเตะ กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนพูดถึงเกี่ยวกับพอช แต่เขาก็ตอบกลับทุกคนอย่างถ่อมตัวว่าทั้งหมดล้วนแต่เป็นอิทธิพลที่เขาได้รับมาจากบิเอลซ่าทั้งนั้น
“แน่นอนเขาคือคนที่มีอิทธิพลกับผม เขาคือคนที่ให้โอกาสผมได้รู้จักกับโลกของฟุตบอล”
ในปี 2012 พอช ตัดสินใจหาความท้าทายอันใหม่ด้วยการโยกไปรับงานที่เซาแธมป์ตัน ก่อนจะพาทีมนักบุญจบอันดับที่แปด ในซีซั่น 2013-2014 ผลงานการทำทีมภายใต้นักเตะดาวรุ่งอายุน้อยบวกกับพวกโนเนม กลายเป็นปรัชญาที่โดนใจ เดเนี่ยล เลวี่ ประธานสโมสรท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เข้าอย่างจัง เลวี่ รู้ทันทีว่า พอช นี่แหละคือคนที่ใช่ สุดท้ายเขามอบสัญญาให้ พอช ห้าปีพร้อมรับค่าเหนื่อยอยู่ที่ 40,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และกลายเป็นกุนซือของทีมไก่เดือยทองในท้ายที่สุด
"เราจะทุ่มสุดตัว เพื่อให้ทุกคนกลับมาภูมิใจในสโมสรแห่งนี้อีกครั้ง" พอชเคยให้สัมภาษณ์ในช่วงรับตำแหน่งใหม่ๆ
พอช ขึ้นชื่อในเรื่องของการทำงานหนักตั้งแต่สมัยค้าแข้ง เช่นเดียวกันกับการเป็นผู้จัดการทีม เขามักจะมาถึงเอน ฟิลด์ สนามซ้อมของทีมเวลาเดิม 7.00 - 20.00 น. เป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้ทุก session ของการซ้อมเขามักจะให้นักเตะซ้อมอย่างหนักเสมือนแข่งเสมอ จนทำเอานักเตะหลายคนถึงกับบ่นว่า พอช คือคนที่เปลี่ยนสนามซ้อมให้กลายเป็นนรกบนดิน ด้าน ดานี ออสวัลโด อดีตนักเตะของ พอช เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เขา (พอช) จะทำให้คุณทุกข์ทรมานอย่างกับสุนัข ตอนแรกคุณอาจจะเกลียดเขาแต่พอวันอาทิตย์คุณจะรู้ว่าสิ่งที่เขาให้ทำมันได้ผล”
“บางครั้งคุณจำเป็นต้องโหดกับพวกเขา (นักเตะ) บางครั้งคุณจำเป็นต้องเป็นมิตรและให้ความรักเช่นกัน มันเหมือนกับการที่คุณมีลูกนั่นแหละ” พอช ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่ว่าเขาถูกมองว่าเป็นกุนซือสายโหด
[caption id="attachment_8096" align="aligncenter" width="401"]แม้จะทำผลงานได้ดีจนพา สเปอร์ส ติดลมบนขึ้นมาเป็นทีม “top six” ของลีกได้ตลอดการคุมทีม แต่ในฤดูกาล 2018-2019 พอชก็ต้องเจอพิษจากสภาพเงินฝืดของสโมสรเล่นงานอันเนื่องมาจากสโมสรไม่สามารถจัดสรรเงินเสริมทีมให้กับเขาได้ เพราะต้องทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการทำสร้างสนามไวท์ ฮาร์ท เลน แห่งใหม่
ทำไงได้... มีเท่าไหร่ก็ต้องแค่นั้น สเปอร์ส กลายเป็นทีมเดียวในลีกที่ไม่ซื้อใครเลยในฤดูกาลนั้น การได้นักเตะใหม่เข้ามาแน่นอนมันเป็นเรื่องของการพัฒนาทีมให้ดีขึ้น แต่ในเมื่อคุณไม่สามารถหาไม้ใหม่ ๆ มาอุดเรือที่กำลังจะแตกได้ ทางเดียวที่คุณจะรอดก็คือใช้สิ่งที่มีอยู่แก้ปัญหาแทน ! แม้นี่จะเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับทีมฟุตบอลระดับสูง แต่ พอช ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกกับสถานการณ์นี้เท่าไหร่นัก เขาหันมาดันนักเตะเยาวชนรวมถึงพัฒนาผู้เล่นให้เก่งยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตัวเขามีความเชื่อในนักเตะตัวเองมากขนาดไหน
เงิน อาจจะเป็นทางลัดสำหรับการซื้อความสำเร็จ แต่ พอช เคยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายครั้ง เมื่อถูกถามว่า ‘ อะไรคือเคล็ดลับของคุณ เมาริซิโอ ทำอย่างไรถึงมีทีมที่ดีและกลายเป็นยอดผู้จัดการทีม คุณทำอย่างไรภายใต้สถานการณ์รัดเข็มขัดของทีมแบบนี้ ?’ คำถามเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เขาต้องรับมือในทุกสัปดาห์ แต่เหนือสิ่งอื่นใด พอช เชื่อว่าความฝันที่เขาสร้างมันยิ่งใหญ่กว่าเรื่องของเงิน
“มันไม่ใช่ความฝันของผมที่จะได้เงินแบบนี้มา ก็จริงที่เงินนี้อาจจะช่วยคุณได้ แต่มันไม่ใช่ความฝันของผม”
“ผู้คนต่างคิดว่าเงิน คือหนทางเดียวเท่านั้นแหละที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่ ณ จุดนี้ ผมมีความสุขกับแนวทางที่สโมสรกำลังทำ และผมมีความสุขจริง ๆ ที่ได้ช่วยทีมในเรื่องนี้ (พัฒนาผู้เล่น)”
“เวลาที่เราต้องซื้อใครสักคนเข้ามา เราต้องการนักเตะที่ไม่ใช่แค่ช่วยพัฒนาทีมให้ดีขึ้นเท่านั้น ถ้าพวกเขาเป็นคนดีด้วยมันจะส่งผลดีกับทีมมากขึ้นอีก เพราะทีมก็คือครอบครัวหนึ่งเช่นกัน แม้ฟุตบอลจะเป็นสิ่งที่สำคัญสุด แต่ทั้งหมดมันไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอลอย่างเดียว" พอช ให้สัมภาษณ์ "การทำทีมโดยมีนักเตะเยาวชนคือส่วนหนึ่งของตัวตนผมและของสโมสรด้วย”
กริฟฟา เคยให้สัมภาษณ์การจะเป็นยอดโค้ชได้ต้องอาศัยบางสิ่ง ซึ่งเขาก็มองเห็นสิ่งนั้นในตัวของ พอช เช่นกัน “การจะเป็นยอดโค้ช คุณต้องเป็นคนที่ดีด้วย และพอช ก็คือคนดีคนหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่ผมมองเห็นในตัวเขา”
ย้อนกลับไปในคืนที่ บิเอลซ่า และ กริฟฟา ได้พบกับ พอช ครั้งแรก พวกเขามองทะลุปรุโปร่งในเรื่องพรสวรรค์หรือความสามารถในด้านฟุตบอลโดยธรรมชาติของ พอช แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ เด็กน้อยที่นอนหลับอยู่ตอนนั้น เด็กบ้าน ๆ จากเมอร์ฟี่ วันนี้เขากลายมาเป็นโค้ชที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดในวงการฟุตบอล
“เมื่อก่อนผมเป็นเด็กช่างฝันคนหนึ่ง ตอนที่ผมเด็กมาก ๆ ผมฝันว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นนักฟุตบอลให้ได้และตอนนี้ผมทำได้แล้ว แต่ก่อนที่ฝันเหล่านี้จะเป็นจริงมันต้องผ่านเรื่องยาก ๆ มามาก ผมเชื่อว่ามันมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ในหัวของเราเสมอ และเมื่อคุณมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงฝันของคุณให้ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับการรอเวลาของมันและการฝึกฝนอย่างหนัก และเมื่อคุณไปถึงจุดที่คุณตั้งเป้าหมายไว้ มันเป็นเพราะอย่างแรกเลยคือคุณวาดฝันมันเอาไว้ และอีกอย่างคือคุณเอามันมาอยู่ในใจ” เมาริซิโอ โปเช็ตติโน
https://thelab.bleacherreport.com/the-origins-of-mauricio-pochettino/
https://www.firsttouchonline.com/the-mauricio-pochettino-story/
https://www.youtube.com/watch?v=7vY1TPstawI
https://www.facebook.com/SpursThailandFanclub/?ref=page_internal