ดิเอโก มาราโดนา วันเวลาค้าแข้งท่ามกลางมรสุมชีวิตในนาโปลี
แม้จะสร้างภาพยนตร์เล่าเรื่องควบคู่กับงานสารคดี แต่ผู้กำกับจากย่านแฮกนีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อย่าง อาซีฟ คาพาเดีย (Asif Kapadia) กลับสร้างชื่อเสียงในวงการจากหนังสารคดีเล่าประวัติบุคคลผู้มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็น นักแข่งรถชาวบราซิล ไอร์ตัน เซนน่า ในสารคดีเรื่อง Senna (2010) หรือนักร้องสาว เอมี ไวน์เฮาส์ ในสารคดีเรื่อง Amy (2015)
ล่าสุด คาพาเดีย หันมาทำสารคดีเล่าเรื่องราวชีวิตนักฟุตบอล ‘หัตถ์พระเจ้า’ ชาวอาร์เจนตินา ดิเอโก มาราโดนา (Diego Maradona) โดยได้รับการสนับสนุนจากคลังภาพวิดีโอที่มาราโดนาเก็บรักษาไว้ มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวตำนานชีวิตในช่วงที่เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงในสายอาชีพท่ามกลางมรสุมชีวิต และใช้ชื่อสารคดีเรื่องนี้ว่า Diego Maradona เปิดฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2019
จากภาพฟุตเทจวิดีโอความยาวรวมกว่า 500 ชั่วโมง ที่หลายส่วนไม่เคยเผยแพร่ต่อสาธารณชนมาก่อน คาพาเดียได้นำมาลำดับเล่าเรื่องราวชีวิตของ ดิเอโก มาราโดนา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กสมัยอาศัยอยู่ในย่านสลัมขอบกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งความสามารถทางการเล่นฟุตบอลตั้งแต่เยาว์วัยจนเป็นที่หมายตาของแมวมอง ทำให้มาราโดนามีภาพเป็นเด็กชายที่น่ารักและเป็นที่ภาคภูมิใจของครอบครัว และฟุตบอลก็อาจจะเป็นทางออกเดียวที่นำพาครอบครัวของเขาให้พ้นจากความยากจน
หลังจากนั้น หนังได้เล่าถึงชีวิตการเป็นนักฟุตบอลรุ่นเยาว์ในอาร์เจนตินา และการเดินทางไปค้าแข้งให้ทีมบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ช่วงปี ค.ศ. 1982-1984 แต่เพียงสั้น ๆ ก่อนจะนำพาผู้ชมมาสู่เนื้อหาสำคัญของสารคดี นั่นคือ ชีวิตด้านการงานและมรสุมชีวิตต่าง ๆ ระหว่างที่เขาเปลี่ยนมาค้าแข้งให้ทีม เอส.เอส.ซี. นาโปลี (S.S.C. Napoli) เมืองเนเปิล ประเทศอิตาลี ด้วยค่าตัวที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984-1992
ในการนำพาความสำเร็จระดับชาติอิตาลีมาสู่ทีมต้นสังกัดนั้น มาราโดนาตระหนักดีว่า ลำพังความสามารถด้านการเป็นนักเตะอย่างเดียวคงไม่สามารถนำพาทีมไปถึงฝั่งฝันได้ มาราโดนาจึงฝึกฝนทักษะด้านอื่นอย่างรวดเร็ว เช่น ฝึกพูดภาษาอิตาเลียนจนสามารถตอบคำถามสื่อมวลชนได้อย่างคล่องแคล่ว ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทีม เผชิญชัยชนะและความพ่ายแพ้กับเพื่อนร่วมทีมครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเรียนรู้จากความผิดพลาด ก่อนจะประสบความสำเร็จเป็นผู้ชนะใน Serie A Italian Championship จากการร่วมแรงร่วมใจของทุกคนในทีมเมื่อปี 1987
แต่ระหว่างการทำงานร่วมกับทีม เอส.เอส.ซี. นาโปลี นั้น มาราโดนาต้องเจอกับคำถาม ปัญหา และมรสุมชีวิตต่าง ๆ มากมาย ทั้งจากพฤติกรรมของเขาเองและความไม่พอใจของแฟนบอล เริ่มตั้งแต่วันที่เขาแถลงข่าวเข้าร่วมเข้าทีมก็โดนนักข่าวซักเสียแล้วว่า กลุ่มมาเฟีย “คามอร์รา” มีอิทธิพลควบคุมทุกสิ่งอย่างในเมืองเนเปิล เงินค่าตัวของมาราโดนาเป็นเงินที่มาจากการสนับสนุนของกลุ่มมาเฟียด้วยหรือไม่ และมาราโดนาเองมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับกลุ่มมาเฟียดังกล่าวบ้างหรือเปล่า
แม้นายกเทศมนตรีจะฉุนเฉียวบอกปัดคำถามนี้ไป แต่ภายหลังเมื่อปรากฏภาพถ่ายมาราโดนาแสดงความสนิทสนมกับพี่น้องตระกูลคามอร์รา เจ้าตัวเองก็ยากที่จะปฏิเสธความสัมพันธ์อันนี้ได้ แม้จะไม่มีหลักฐานมัดตัวเขาอย่างชัดเจนก็ตาม
หนำซ้ำมาราโดนายังถูกจับได้ว่าเสพโคเคน อาจมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับการค้ายา และการค้าประเวณีหญิงโสเภณี จากเสียงโทรศัพท์ดักฟัง ซึ่งเป็นไปได้สูงว่ามีกลุ่มมาเฟียคามอร์ราคอยหนุนหลัง ชื่อเสียงของมาราโดนาจึงเริ่มด่างพร้อย และกลายเป็นรอยร้าวด้านความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับแฟนฟุตบอลชาวอิตาเลียนไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้กันด้วยว่า ดิเอโก มาราโดนา เป็นหนุ่มเพลย์บอยรักสนุก ชอบปาร์ตี้ สังสรรค์เฮฮา และนิยมโชว์ลีลาการเต้นในทุกสเต็ป ในขณะที่เขาแต่งงานกับภรรยาสาว คลอเดีย วิลลาเฟน ที่กรุงบัวโนสไอเรสแล้ว มาราโดนาก็ยังถูกกล่าวหาจากสตรีชาวอิตาเลียนในเนเปิลด้วยว่าเคยคบหาจนกระทั่งตั้งครรภ์มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ซึ่งมาราโดนาก็ให้การปฏิเสธว่าเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับหญิงผู้นี้ และเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่ลูกของเขา
เรื่องราวฉาวโฉ่ต่าง ๆ ทำให้มาราโดนาได้รับทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียไปพอ ๆ กันระหว่างที่เขาสังกัดทีม เอส.เอส.ซี. นาโปลี กระทั่งรอยร้าวได้ดำเนินมาถึงจุดปริแตกในการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1990 ที่ประเทศอิตาลีเป็นเจ้าภาพ มาราโดนาต้องกลับไปเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินาตามสัญชาติของเขา ซึ่งการที่อาร์เจนตินาคว้าอันดับ 2 ด้วยการนำของมาราโดนา เอาชนะอิตาลีที่ได้อันดับ 3 กลายเป็นการสร้างความบาดหมางให้ตกตะกอนในใจของชาวอิตาเลียนอย่างช่วยไม่ได้ ท้ายที่สุด มาราโดนาก็ต้องโบกมืออำลาสโมสรไปในปี 1992 เหลือไว้เพียงความทรงจำทั้งที่น่าชื่นใจและทั้งที่ชวนให้ขมขื่นใจของซูเปอร์สตาร์แห่งวงการลูกหนังรายนี้
จากท่าทีและลีลาการนำเสนอสารคดีเรื่อง Diego Maradona ของ อาซีฟ คาพาเดีย ก็จะเห็นได้ชัดว่าหนังทำหน้าที่ตีแผ่ประสบการณ์และเรื่องราวของมาราโดนาอย่างตรงมาตรงไปไม่ประนีประนอม และไม่จำเป็นต้องให้ความเกรงใจ แม้ว่ามาราโดนาจะเป็นผู้ให้ความอนุเคราะห์ฟุตเทจภาพต่าง ๆ เกือบทั้งหมด นับเป็นหน้าที่สำคัญอีกประการของงานสารคดีที่จะต้องซื่อสัตย์กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่ผิดพลาดไปคือบทเรียนให้ระมัดระวังไม่เผลอพลั้งกลับไปทำอีก
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่รอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ มาราโดนาได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้ ทำให้ไม่รู้ว่าปฏิกิริยาของมาราโดนาและผู้ชมเองจะรู้สึกอย่างไรหลังได้ชมสารคดีเรื่องนี้จบลง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร Diego Maradona ก็นับเป็นสารคดีชิ้นเยี่ยมแห่งปีอีกหนึ่งเรื่อง ที่ทั้งคอหนังและคอฟุตบอลน่าจะลองหาโอกาสดูกัน และอาจจะต้องลุ้นกันต่อไปว่าสารคดีเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จในเวทีออสการ์ด้วยหรือไม่ เหมือนอย่างที่สารคดีเรื่อง Amy ทำได้สำเร็จมาก่อนแล้ว
เรื่อง: ‘กัลปพฤกษ์’ [email protected]
ภาพ: เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์