18 มิ.ย. 2562 | 18:35 น.
The People : จุดเริ่มต้นของวง Scrubb
บอล : ผมเป็นรุ่นพี่เมื่อยครับ ตอนนั้นผมกำลังเรียนปีสุดท้าย แล้วเมื่อยก็เข้ามาเป็นปีหนึ่ง ที่คณะมันจะไม่ค่อยเยอะมาก เพราะงั้นทุก ๆ ชั้นเขาก็จะรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเดียวกัน ผมก็เป็นคนที่ชอบเล่นดนตรีหน่อยเพราะว่าชอบสิงตามชมรมดนตรีสากลที่มหาวิทยาลัยแล้วเมื่อยก็เข้ามาเหมือนเป็นน้องที่ชอบเล่นดนตรีและกำลังหาแก๊งอยู่ เหมือนถามทางมาเรื่อย ๆ ว่าช่องทางทางไหนที่จะไปเจอรุ่นพี่ที่เล่นอยู่ก่อนบ้างแล้วคนก็แนะนำมาเจอผม
จริง ๆ ผมชอบเล่นกีตาร์ แต่ว่าหน้าที่หลักตั้งแต่เรียนมัธยมมาคือตีกลองแทนมาตลอด แทนเพื่อน พอเล่นได้ก็เลยกลายเป็นว่าเล่นกลองมานาน ทีนี้ช่วงปีท้าย ๆ ผมรู้สึกว่าเอ้ย อยากเล่นกีตาร์บ้างจัง พอรู้จักกับเมื่อยผมก็เริ่มหลอกล่อว่าตีกลองเป็นหรือเปล่า เขาบอกว่าได้ ผมก็เลยสอนเขาให้ตีกลองแทน เพื่อผมจะได้ไปเล่นกีตาร์ อันนี้เป็นแผนลับตอนนั้น
สุดท้ายปีนั้นได้เล่นด้วยกันในนามวงชื่อ ‘หยำเป’ เพราะนักร้องก็เป็นเพื่อนที่ร่าเริง ๆ แล้วเขาจะเป็นคนเรื้อน ๆ หน่อยเขาก็จะหยำเปประมาณหนึ่งแต่ว่าตอนนี้เท่าที่ทราบมาเป็นอาจารย์อะไรอย่างนี้ได้ดิบได้ดีไปแล้ว นั่นแหละตอนนั้นก็ชื่อวงหยำเป ก็มีผมเล่นกีตาร์ มีเมื่อยตีกลอง
อันนั้นคือประสบการณ์แรกร่วมกันในฐานะที่ได้เล่นดนตรีด้วยกัน แล้วผมก็เรียนจบ ซึ่งพอจบปุ๊บผมก็มีวงส่วนตัวอยู่แล้วดันจับพลัดจับผลูไปบังเอิญเจอทีมงานที่เขาเป็นคนฝ่ายคัดสรรศิลปินของแกรมมี่เข้ามาเจอเราเล่นพอดี เลยได้กลายมาเป็นศิลปินฝึกหัดของแกรมมี่
ตอนนั้นผมก็ทำเพลงส่งแต่ก็ยังไม่ผ่านสักที ไอ้ความไม่ผ่านนั้น จริง ๆ มันไม่ได้หมายความว่าเรายังไม่ผ่านขั้นแรก มันเป็นเรื่องประสบการณ์ แต่ว่าช่วงหลัง ๆ ที่มันไม่ผ่าน เพราะวงเราค่อนข้างมีความดื้อสูง เพราะว่าเราจะไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน คือเราดันไปแต่งเพลงเอง คือคนอื่นในยุคนั้น ยุคนั้นการแต่งเพลงเองมันก็เริ่มมี แต่ว่ามันยังไม่ได้รับความนิยมนัก การทำเพลงที่ดีในยุคนั้นมันควรจะมีทีมโปรดิวเซอร์ ทีมนักแต่งเพลงมาช่วย
ตอนนั้นเราก็ติสท์แดก คิดกันเองตลอดว่ามันไม่ได้ มันต้องแบบ ‘ถ้าคนอื่นทำให้ มันต้องไม่เป็นตัวตน ต้องไม่ใช่เราแน่ ๆ งานพวกผมมันมีความปัจเจก’ คือมันก็ self ไปตามประสาวัยรุ่นตอนนั้น มันก็เลยกลายเป็นว่ามันก็ยังค้าง ๆ คา ๆ อยู่ตรงนั้น ไปคุยกับบางค่ายเขาก็ส่งกลับ บอกว่าโห มันโอเคนะแต่มันดื้อว่ะ มันจะทำเพลงของมันเอง ก็เลยอยู่อย่างนั้น 3 ปีโดยที่ไม่ผ่านสักที
[caption id="attachment_8924" align="aligncenter" width="1200"] เมื่อยและบอล[/caption]แล้วก็มีวันหนึ่งเราทำเพลงผ่านและได้ทำเพลงในอัลบั้ม ‘Intro 2000’ แต่พอจะเริ่มมาอัดเสียงจริง ๆ จำได้ว่าอยู่ ๆ คนในวงก็เริ่มไม่มั่นใจขึ้นมา แล้วก็บอกว่าไม่อยากทำแล้ว ก็คุยกันว่าถ้าเขาไม่โอเคเดี๋ยวเราขอถอยก่อนดีกว่า ถอยในที่นี้ก็หมายความว่าเราจะถอนจากโปรเจกต์นั้น แล้วก็จะต้องกลับไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่ต้องรอต่อไป
มันทำให้ผมกับเพื่อนต้องมาคุยกันว่าจะเอาอย่างไร ถกกันไปถกกันมาสุดท้ายก็แพ้โหวต คือมีผมคิดว่าเราควรจะทำต่อ เพื่อนอีกคนหนึ่งงดออกเสียง อีก 2 คนบอกว่าเราควรจะถอย มันก็เลยจบด้วยการว่าถอย ในใจผมตอนนั้นคิดไว้ว่า 3 ปีระหว่างผมกับทางบ้าน มันน่าจะต้องมีคำตอบอะไรบางอย่าง ถ้าผมไม่ทำตรงนี้ผมก็ควรจะต้องออกไปทำอะไรบางอย่างสักอย่างหนึ่งแล้ว เพราะว่ามันนานเกินไป ตอนนั้นน่าจะ 25 แล้ว เพื่อนที่จบมาทำงานเขาก็เริ่มจะตั้งหลักกันได้แล้ว เมื่อยก็ใกล้จบแล้วเหมือนกัน ผมยังแบบฝึกอยู่เลย ผมก็เลยบอกที่วงว่าโอเค ไม่เป็นไร ผมถอนตัวแล้วกัน เพราะว่าผมคงไปต่อในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้แล้ว
ก็กลับบ้านด้วยการแบบ 3 ปีไม่มีอะไร สูญเปล่า แล้วเจ้าของค่ายพี่นิค (วิเชียร ฤกษ์ไพศาล) ก็รับทราบ ก็กลับบ้านไปงง ๆ อยู่ 2-3 วัน แต่ผมรู้สึกว่ามันคาใจอะไรบางอย่าง ผมก็เลยคิดว่าเราควรจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมก็เลยลองยกหูถามพี่นิคว่า พี่นิคครับ ถ้าเพลงนั้นมันเป็นเพลงที่ผมแต่งเป็นหลัก แล้วเนื้อก็เป็นพี่เป๋า (กมลศักดิ์ สุนทานนท์) เป็นคนเขียนให้ ถ้าผมยังอยากเอามันไปทำต่อให้จบแต่ว่ามันไม่ใช่วงนี้ แต่มันเป็นเพลงนี้แล้วผมรวมตัวกลุ่มเพื่อนขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อทำโปรเจกต์นี้ พี่นิคจะติดอะไรไหม
พี่นิคก็บอกว่าก็ลองเอามาดู แต่ว่าเขาขอดูวงก่อน คือไม่ใช่อยู่ ๆ จะมาลักไก่เลย ก็ต้องมี test ก่อน ตอนนั้นผมก็ถามเมื่อยเลยว่า เมื่อยเอาไหม เมื่อยก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว เขาก็เอา แล้วผมก็ไปชวนคนน้องอีก 2 คนที่เป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมัธยมมารวมตัวกันแล้วก็ไปเสนอ คือมันจบในเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ชื่อวงก็ชื่อวง ‘อาย’ (EYE) ตั้งกันแบบด่วน ๆ สุดท้ายก็ออกมาเป็นเพลง ‘วันนี้ดีจัง’ ที่อยู่ใน Intro 2000 ซึ่งนั่นคือข้อต่อแรกที่ทำให้ผมกับเมื่อยได้เริ่มทำงานด้วยกันและมีผลงานสู่สาธารณชนจริง ๆ
แต่ก็ยอมรับว่าอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนะ การที่ผมเลือกที่จะลาออก ประมาณอาทิตย์กว่า ๆ ผมก็กลับมาพร้อมกับอีกวงหนึ่ง แล้วสุดท้ายในที่สุดวงนั้นมันก็ไปอยู่ในลิสต์นั้นแทน เพื่อนก็โกรธอยู่แล้ว เพื่อนก็คิดว่าทุกอย่างมันคือสิ่งที่ผมวางแผนไว้แล้ว สุดท้ายใช้เวลาเคลียร์ใจกันนานมาก เพื่อนบางคนยังเพิ่งมาคุยกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง พอมันผ่านช่วงเวลานั้นมา มันก็แค่ยอมมองย้อนกลับไปแล้วเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนั้นมัน...แทบจะแยกย้ายไม่คุยกันเลย คนรอบข้างก็มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ
มันก็เป็นเรื่องที่ก็ต้องเก็บเอาไว้ แล้วผมก็คิดแค่ว่าแบบ... อาจจะดูหล่อนะ แต่ผมคิดแค่ว่าเวลาและงานมันจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่าเราทำอะไรอยู่ คือผมคิดในใจไว้แค่นั้น ไม่ได้คิดว่าต้องมาเป็น Scrubb หรืออะไรทุกวันนี้นะ แต่ไอ้จุดนั้นมันก็พาให้ผมกับเมื่อยมันกลายเป็นสร้างวง Scrubb ขึ้นมา แล้วมันก็ทำงานกันมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะงั้นจริง ๆ มุมหนึ่งนอกจากไอ้สิ่งที่เจอมาตรงนั้น ผมพยายามทำงานอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้งานมันพูดแทนเหตุผลหรือเหตุการณ์บางอย่างที่เราเคยตัดสินใจในวันหนึ่งไว้ แต่ผมว่างานมันตอบได้ดีที่สุด ดีกว่าพยายามไปนั่งอธิบายให้ใครฟังว่าเราคิดอะไร ทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้น ณ เวลานั้น มันเป็นทั้งความฝันแล้วก็เป็นทั้งเครื่องพิสูจน์ตัวเองของผม
[caption id="attachment_8952" align="aligncenter" width="960"] Scrubb[/caption]The People : ช่วงแรกที่ทำวงด้วยกัน เจอแต่คำพูดว่า ‘ดีนะ แต่ยังดีไม่พอ’
เมื่อย : เราเจอตลอดปะ (หัวเราะ)
บอล : พอเริ่มทำด้วยกันจริง ๆ แล้วหนักกว่านั้นอีก พอเอาเดโมของตัวเองมาส่งจริงจัง เป็นผมกับเมื่อยเริ่มทำเพลง ผมว่าพี่นิคปวดหัวกว่าเดิม ผมก็รู้สึกว่าตัวเองแม่งโคตรดื้อเลยตอนนั้น คือมันไม่ใช่ว่า ‘ดีนะแต่ยังไม่ถึง’ แต่มันเป็นเรื่องที่ว่า ในยุคนั้นคือใครเขาทำแบบนี้กัน ใครเขาร้องแบบมึง ใครเขาเล่นดนตรี เล่นกีตาร์แบบนี้ สุดท้ายวงอายมันก็จบแค่นั้นจริง ๆ แล้วการทำงานมันก็เหลือแค่ 2 คน แต่โชคดีที่เมื่อยเรียนจบกลับมาอยู่กรุงเทพฯ มันก็สะดวกขึ้นตรงที่เราก็มีเวลาในกรุงเทพฯ มากขึ้น ผมก็ไปอาศัยรบกวนบ้านป๊าบ้านม้า เมื่อยก็ทำเดโม ดึกแล้วก็นอนเลย ตื่นมาก็ขอกินข้าวแล้วก็ออกไปทำงาน กลางคืนก็กลับมาเจอกัน มันได้เจอกันมากขึ้น ทำงานกันมากขึ้น แต่งานเราก็ถือว่าในช่วงแรก แบบ...คำวิจารณ์ก็จะหนักอยู่
The People : งานที่ถูกปฏิเสธกลายมาเป็นก้าวสำคัญของชีวิต
เมื่อย : แล้วมันก็เลยมาถึงจุดเลี้ยว แต่ก่อนมันจะมีร้านเทปพวกโดเรมี พวก JU พวกร้านดีเจสยาม และเริ่มรู้ว่าเขามีการทำเพลงใต้ดินกัน ก็เลยแค่คิดเล่นๆ ว่าเฮ้ย งั้นเราเอาเพลงที่มันถูกคนปฏิเสธมาลองทำใต้ดินดูดีกว่า ก็หาที่หาทาง ซื้อเครื่องมือ ยืมห้องอัดเพื่อน จนได้เทปออกมา 500 ม้วน ก็ทำตรง ๆ เลยไปหาที่ฝากขายที่ละ 5 ม้วน 10 ม้วน ตรงไหนแปะโปสเตอร์ได้ก็แปะ ตอนนั้นยังเรียนอยู่ปีสี่ก็มีร้านสหกรณ์ ก็ไม่ใช่เรื่องก็ไปฝากเขาขายงานลอยกระทง ก็ลองไปขายเขาดู ซึ่งเอาจริง ๆ เขาก็ซื้อด้วยความเห็นอกเห็นใจ
บอล : เรียกว่าช่วยเหลือกัน
เมื่อย : ใช่ เพราะว่ายิ่งย้อนกลับไปฟังก็ยิ่ง...อื้อหือ เอามาขายได้ไงวะเนี่ย เต็มไปด้วยความ...ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
บอล : ผิดทุกกฎที่เขาตั้งไว้
เมื่อย : เราแค่แบบเฮ้ย เรา 2 คนโอเคกับมัน ก็น่าจะมีคนชอบบ้างคิดเล่น ๆ แค่นี้ รวมถึงไปส่งวิทยุด้วย อย่างตอนไปส่งที่วิทยุก็ไปทื่อ ๆ เลย ก็อยากไปส่ง ตอนนั้นมีโอกาสก็เข้าไปหามัน เราก็สนุกกับการที่มันมีปฏิกิริยาตอบกลับเล็กน้อย ยังมีขึ้นชาร์ตบ้าง ได้สัมภาษณ์หนังสือ ยังจำความรู้สึกได้ว่า อ้าว ตอนที่เอาเทปไปขายใต้ดินมีงานแฟตฯ ก็ไปปั๊มแผ่นขาย ยังคิดว่า เฮ้ย อย่างนี้ก็สนุกดีนะ ทุกปีทำแค่นี้ก็ได้เงินมาทำอะไรสนุก ๆ ทุกปีก้อนเล็ก ๆ
บอล : พอเสร็จจากอัลบั้มชุดใต้ดินอันนั้น พี่ฟั่น-โกมล บุญเพียรผล เขาก็เห็นแล้วว่าเราทำอะไรอยู่ บางวันแกก็จะมาช่วยเรา พวกเราก็เข้าไปสิงสุมหัวในบ้านแก มันก็เลยมีเดโมอีกชุดหนึ่งที่มันคือชุดแรก มันคือชุดแรกครึ่งหนึ่งแล้วมีเพลง ‘เธอ’ มี ‘ทุกอย่าง’ ที่เป็นเวอร์ชั่นเก่ามีเพลงแบบดาร์กๆทั้งหลายแหล่อยู่กลุ่มหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่งก็เหมือนไปขอเล่นงานแฟตเฟส ครั้งที่ 2 ก็ไปเล่นเป็นวงเปิดของวงเปิดอีกทีหนึ่ง ไม่มีชื่ออยู่ในลิสต์ ไปแทรกเขา คือถ้ามีประวัติผมว่า Scrubb เป็นวงที่ชุ่ยอยู่ประมาณหนึ่งเลย ทุกอย่างไปขอเขาหมด คือถ้าเป็นผู้ใหญ่วันนี้ ผมว่ามองลงไป มองตัวเองกลับไปวันนั้น ผมยอมรับนะ เราแม่งเป็นแก๊งเด็ก 2 คนที่น่ารำคาญประมาณหนึ่ง คือมันตอดไปเรื่อย จีบไปเรื่อย แล้วคิดว่าผมเป็นผู้ใหญ่ผมก็คงรำคาญ แล้วผมก็คงปฏิเสธมันเหมือนกัน แต่ในวัยนั้นพอกลับเป็นเราเราไม่รู้หรอกว่าไอ้ตอนนั้นแม่งน่ารำคาญแค่ไหน
[caption id="attachment_8923" align="aligncenter" width="1200"] "บอล“ ต่อพงศ์ จันทบุบผา[/caption]แต่ระยะเวลา 3 ปี กลายเป็นว่าสิ่งที่เราเคยหว่านไปเรื่อย มันเลยกลายเป็นว่ามันดันอ้าว ชิบหายฝนดันตก ปุ๋ยดันมา วัวดันมาขี้ไว้อะไรก็ไม่รู้ เพลงก็เริ่มมีคนรู้จักบ้าง ไอ้ตรงนู้นก็เริ่มมีคนเห็นสัมภาษณ์นั่นนู่นนี่ ไอ้ซีดีที่ทำไปขายที่ไปซุย ๆ ที่เคยไปขอเขาเล่น เพลงที่เคยเอาไปให้พี่เต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) ฟัง พี่เต็ดก็ดันไปส่งต่อให้พี่จู๋ที่กำลังทำ Blacksheep อยู่ ไป ๆ มา ๆ อาทิตย์เดียวเมื่อยก็โทรมาบอกว่าพี่เต็ดบอกว่ามีค่ายอยากคุยด้วย
ตอนนั้นเหมือนมันเราโดนมาน่วมจนชาไปแล้ว มันเฉยชาไปแล้ว รู้สึกว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ก็คงเหมือนเดิม แต่พอไปคุยเสร็จ เขาจะขอเซ็นเลย จะปล่อยเพลงเลย คิดดูจาก 6 ปีของผม 3 ปีของเมื่อย เล่น Fat Festival ครั้งที่ 2 พฤศจิกายน เสร็จ ธันวาคมคุยเลย มกราคมเซ็นสัญญา เมษายนออกเพลง ‘ทุกอย่าง’ สิงหาคม ออกอัลบั้มแรก และก็ได้ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมกลายเป็นที่รู้จักเลย
คือแบบอะไรวะ ! ตอนเขาบอกว่าจะเซ็นเลย พวกผมยังไม่เชื่ออยู่เลย ยังถามกันอยู่เลยว่าใช่เหรอมึง ค่ายแม่งมิจฉาชีพเปล่าวะ มันไม่ใช่แค่ไปนั่งคุยกันทีหนึ่งแล้วก็ยื่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันอย่างนั้นจริง ๆ คำถามแรกที่พี่จู๋ถามคือ ’พร้อมจะออกเมื่อไหร่ มีอัลบั้มครบยัง’
ซึ่งกลับไปมองดูถ้ามันคลาดจากธันวาคมไปนิดเดียวเป็นมกราคม ไอ้นี่ก็ไปอยู่ภูเก็ต แล้วผมก็เลิกทำแล้ว บางครั้งชีวิตมันก็แค่นี้มันอะไรไม่รู้วันที่พยายามแล้วแม่งก็แบบโอ้โหโคตรพยายามแล้วแม่งโคตรเปล่าประโยชน์
The People : ยังคงภูมิใจกับความดื้อของตัวเองในวันนั้นไหม
บอล : ส่วนตัวผมเป็นคนโอเคกับตัวเราในวันใดวันหนึ่งแบบนั้นตลอดนะ ผมไม่ค่อยโทษตัวเองเลย ผมจะเป็นคนมองตัวเองวันนั้นแบบขำ ๆ มึงทำอะไรลงไปเนี่ย แต่มันคือไทม์ไลน์ มันคือ milestone ของชีวิตว่าเพราะเหตุและผลแบบนั้น ตัวเราแบบนั้น สิ่งแวดล้อมคนรอบข้างแบบนั้น การตัดสินใจ ณ วันนั้น มันก็แค่เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เราเป็นวันนี้ คือผมเคารพตัวเองในทุก ๆ ช่วงเวลาที่ผมโตมา
เมื่อย : ผมชอบตัวเองตอนนั้นอยู่แล้ว เพราะมันไม่คิดอะไรจริง ๆ มันไม่ได้คิดว่าจะทำเพลงไปเพื่อที่หนึ่งในชาร์ต ตอนนั้นทำเพลงแบบไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอะไรทั้งนั้น เอาสิ่งที่ตัวเองคิดจริง ๆ ไม่มีตรรกะด้วย ไม่ต้องมาคิดว่าดีไม่ดี โง่ก็โชว์โง่เลย มาฟังดูอีกทีก็รู้สึกโง่ดีว่ะ คิดอะไรวะ แต่ว่ามันก็สนุกดี มันไม่เหมือนตอนที่เราทำมาสักระยะหนึ่งแล้ว มันก็จะมีเรื่องนู้นเรื่องนี้ที่ต้องคอยคิดมากหน่อย ชอบความรู้สึกที่มันไม่ต้องคาดหวัง ซึ่งทุก ๆ วงน่าจะมีอารมณ์นี้ครั้งเดียว การทำอย่างนี้
บอล : เหมือนทุกวันนี้ก็ยอมรับว่าพออายุเท่านี้ ทำงานจนถึงทุกวันนี้ โดยใจในการทำงานมันก็ไม่สามารถกลับไปคิดแบบ ณ วันนั้นได้แล้ว ถึงแม้จะอยากเป็นแบบนั้นแค่ไหนก็ตาม
The People : สมัยนั้นอาชีพนักดนตรีอาจถูกมองว่าเป็นงาน “เต้นกินรำกิน”
บอล : คนใกล้ตัวเลยแหละ
เมื่อย : เหมือนที่บ้านก็ไม่สนับสนุนเหมือนกัน เราเป็นลูกคนจีน แล้วก็จริง ๆ ควรจะรับผิดชอบกิจการที่บ้านต่อ เราขอเขาไว้ว่า 2 ปี แล้วหลังจาก 2 ปีก็ดื้อมาเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้ แต่ก็เอาจริง ๆ ก็ยอมรับว่าตอนนั้นยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นยังไงเหมือนกัน รู้แต่ว่าเราอยากทำ (งานเพลง) แล้วก็อยากลองทำสักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะต้องออกเทปหรืออะไร เพราะว่ายุคนั้นมันเป็นยุคที่มันต้องหน้าตาดีแล้วก็ต้องพร้อมจะเป็นทุกอย่าง
[caption id="attachment_8922" align="aligncenter" width="1200"] "เมื่อย" ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ[/caption]The People : การรักษาแนวเพลงป๊อบ ในแบบฉบับของ Scrubb เป็นเรื่องที่ยากหรือเปล่า
บอล : ผมใช้คำว่าป๊อป เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรที่ยาก คำว่าป๊อบมุมหนึ่งมันอาจจะหมายถึงว่ามันได้รับความนิยมโดยถ้วนทั่ว แต่ความป๊อบมันคือเหมือนความเรียบง่าย ความ sing along ความฮัมได้ร้องได้ ซึ่งถ้าพื้นฐานที่ผมทำงานมาแล้วผมได้เดโมจากเมื่อย เมื่อยเป็นคนที่เล่นอะไรกับกีตาร์ตัวเดียว บางครั้งก็มากับเนื้อเลย บางครั้งก็ทำอะไรมาไม่รู้ ซึ่งไอ้ความเรียบง่ายตรงนั้นมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องเอามาเรียบเรียงต่อก่อนจะส่งให้พี่ฟั่นดูเรื่องในห้องอัดอีกทีหนึ่ง ผมว่าดนตรีหรือสิ่งที่เราเอาไปนำเสนอมันก็คือความสนใจของผมและเมื่อยในช่วงเวลานั้นแหละ เริ่มต้นเราอาจจะสนใจแนวดนตรีใกล้ ๆ กันจากวงที่เราโตมาด้วยกัน ชอบเหมือน ๆ กัน
แต่พอตอนนี้อัลบั้มชุดหลัง ๆ อย่าง "Season" ก็จะเห็นเลยว่าตอนทำเดโมจริง ๆ ก่อนที่มันจะเป็นเสียงเมื่อยใส่ลงไป มันมีความไม่ Scrubb สูงมาก จนบางคนก็ถามว่าจะทำแบบนี้จริง ๆ เหรอ แต่ถ้ามันไม่ได้ลองทำ มันก็ไม่รู้ว่าผลออกมาจะเป็นยังไง แต่พอใส่เสียงเมื่อย เอาเมื่อยร้องเติมเข้าไปปุ๊บ สุดท้ายมันก็เป็น Scrubb ที่เรายังเคยได้ยินกันอยู่ บวกกับอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้นหู ซึ่งนั่นในความไม่คุ้นหูมันหมายความว่ามันคือของใหม่ที่เราพยายามจะเอามาใส่มานำเสนอ
เพราะว่าการทำอัลบั้มลําดับที่ 7 มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วคนที่จะปรึกษาก็น้อยมาก ไม่ได้หมายความว่าตัวเองเก่งนะ แต่หมายถึงว่าตัวเองยังได้รับโอกาสที่ได้ทำอัลบั้มจนถึงลำดับที่ 7 ซึ่งบางครั้งเราไม่รู้ว่าจะไปปรึกษาใครว่า พี่ชุด 7 ทำอะไรดี คนที่จะปรึกษารอบ ๆ ข้างมันก็น้อยมากที่จะคุย เพราะงั้นเราแค่ต้องกลับไปดูว่าเราเดินผ่านอะไรมาบ้าง เราทำอะไรไปแล้วบ้าง มีอะไรที่เราชอบไม่ชอบ มีอะไรที่เราอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำอีก รวมถึงมีอะไรที่เราน่าจะลองทำ แล้วเอาไปใส่เอาไปทดลองอยู่ในนั้น
นี่ถือว่าเป็นความโชคดีของผมนะ รวมถึงหลาย ๆ วงด้วย ผมคิดว่าวงดนตรีที่มีนักร้องที่มีคาแรคเตอร์ส่วนตัวสูง ไม่ว่าคุณจะทดลองดนตรีไปในแบบไหน เมื่อนักร้องของคุณได้มาลงเสียงแล้วมันกลายเป็นวงของคุณ นั่นคือความโชคดีของวงนั้นมาก ๆ มันให้อิสระต่อคนที่ดูแลในพาร์ตดนตรีมากว่าผมค่อนข้างจะ free form มาก เหมือนทุกวันนี้ถ้าเกิดยังทำเพลงอยู่ ผมจะรู้สึกว่าอยากทำแบบนู้นแบบนี้เต็มไปหมด ผมไม่ต้องคิดแล้วว่า Scrubb เคยเป็นแบบไหนตอนนี้เราชอบอะไร
The People : เพลงที่ชอบที่สุดตั้งแต่ทำงานมา
บอล : มันชอบไปเยอะมาก แต่เอาช่วงเวลานี้แล้วกัน ถ้าเมื่อก่อนผมจะพูดถึง ‘เข้ากันดี’ บ่อย พูดถึงตัวเองว่าตัวเองได้ทำอะไรในนั้นเยอะในฐานะนักดนตรี อันนั้นเป็นความภูมิใจ แต่ถ้าถึงวันนี้เวลานึกถึงตัวเอง ผมชอบ ‘Inchan Tree’ มันเป็นเพลงที่ค่อนข้างเรียบง่ายประมาณหนึ่ง คือเพลงนี้ตลกมากเพราะตอนแรกมันเป็นเพลงที่เมื่อยเอามาอวดว่า เนี่ย ผมทำเสื้อขาย แล้วทำเพลงบรรเลงไว้เพลงหนึ่ง เป็นเพลงฮัมเพื่อจะเอาไว้ให้คนที่ซื้อเสื้อไปแล้วก็ได้ซีดีนี้ไปเปิดประกอบตอนใส่เสื้อ
เมื่อย : เพี้ยนปะล่ะ
บอล : คือเราเคยทำเพลงที่มันเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่เราไปแล้วเราประทับใจ อย่าง ‘Art bar’ ก็เป็นบ้านเพื่อนของน้องชื่ออาร์ต ก็ตั้งชื่อว่า Art bar ‘See scape’ ก็เป็นร้านที่เมื่อยไปเจอ ไปใช้ชีวิตช่วงเวลาหนึ่ง อินจัน ทรี มันเป็นที่ที่เรา 2 คนชอบไป มันคือรีสอร์ตของเพื่อนที่ทุก ๆ เทศกาลสำคัญ เราจะพาแฟน พาเพื่อน พาครอบครัวไปอยู่ แล้วก็ไปรวมตัวเจอกัน คือไม่ได้ภูมิใจว่านี่คือมหากาพย์นะ แต่มันทำให้เราแบบอมยิ้ม ผมอมยิ้มกับเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าดีใจที่มีเพลงนี้อยู่เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของวง แล้วมันง่ายมากด้วย
เมื่อย : ของผมมาจากอัลบั้มใหม่ล่าสุดเพลง ‘ละคร’ ก็ชอบเพราะว่าเราอินกับเรื่องราวอะไรประมาณนี้อยู่ ต้องลองไปฟังดูว่าเป็นยังไง ก็ไม่สดใสมาก แต่ก็ไม่หม่นมาก เป็นเรื่องกลาง ๆ ยิ่งอาจจะอายุมากขึ้นแล้วมันก็...มองอะไรเป็นกลางๆ
[caption id="attachment_8921" align="aligncenter" width="1200"] Scrubb[/caption]The People : อยู่ด้วยกันมา 19 ปีแล้ว อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ยังทำงานราบรื่นจนถึงทุกวันนี้
บอล : ณ วันนี้ผมกล้าพูดว่าสิ่งที่มันทำให้ทำงานได้จนถึงทุกวันนี้ ก็คือความที่ผมกับเมื่อยเป็นเพื่อนสนิทกันที่ ณ ปัจจุบันไม่มีอะไรเหมือนกันเลย คือตั้งแต่จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ แล้วอย่างที่บอก เมื่อยเป็นลูกคนจีน ผมเป็นลูกคนไทย บ้านเมื่อยค้าขาย ผมรับราชการ เมื่อยจะเป็นคนหัวความคิดสร้างสรรค์ ชอบคิดชอบทดลองทำอะไรโดยที่แบบเดี๋ยวค่อยวัดผล ไปลองดูข้างหน้าว่าเป็นไง ผมเป็นคนแบบถ้าไม่คิดไว้ก่อน วางแผนไว้ก่อน ประเมินผลว่าจะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก ผมจะไม่กล้าออกจาก safe zone ออกไปทำ
คือโตกันมาแบบนี้ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งมันคือถ้าเราเหมือนกันไปหมดทุกอย่าง มันก็คงจะแห่กันไปขึ้นสวรรค์ หรือพากันไปลงนรก แต่การที่มันไม่เหมือนกันเลย หลาย ๆ ครั้งที่บอกว่าทำไมถึงราบรื่น มันไม่ราบรื่นเลย (หัวเราะ) มันทะเลาะกันตลอดเวลา แต่การทะเลาะนั้นมันคือทะเลาะโดยเรารู้ว่าสครับบ์มันคือนามสกุลกลางของเรา ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงคนใดคนหนึ่ง มันคือของที่เราสร้างขึ้นมา
คนชอบถามอย่างนี้มาเรื่อย ๆ นะ แล้วเราก็ตอบ ด้วยคำตอบอื่น ๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมว่าพอเข้าปีที่ 20 การที่อยู่กันได้ผมกล้าพูดเลยว่าแม่งเพราะเรา 2 คนแม่งโคตรไม่เหมือนกันเลย เราจึงเป็นกระจกซึ่งกันและกัน
The People : เหมือนเป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน
บอล (หัวเราะ) เจ็บปวด แต่ประมาณนั้น
เมื่อย : ใช่ๆๆ