เด็กน้อยเสียงสวรรค์ นักร้องลูบเป้า ศิลปินอื้อฉาว ชายผู้เป็นโรคด่างขาว มหาเศรษฐีผู้ไม่รู้จักโต ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะมองชายคนนี้ในรูปแบบไหนและสายตาแบบใด คำนำหน้าของเขามักขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘King’ เสมอ แม้วันนี้เจ้าของฉายามากมายจะจากไปเป็นปีที่ 10 แต่ชื่อและบทเพลงของชายคนนี้ยังดังก้องอยู่ในใจของคนฟังเพลงทั่วโลก ผู้ชายที่ชื่อ ไมเคิล แจ็กสัน
ด้วยจุดเริ่มต้นที่เหมือนพระเจ้าต้องการทดสอบอะไรบางอย่าง ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) หรือ MJ เกิดในปี 1958 ในครอบครัวที่มีพี่น้องรวมกันถึง 9 คน โดยมีผู้นำครอบครัวอย่าง โจเซฟ วอลเตอร์ แจ็กสัน และผู้เป็นแม่คือ แคเธอรีน แจ็กสัน เลี้ยงดูเด็กน้อยทั้ง 9 คน ที่มีอายุห่างกันไม่มาก
MJ วิ่งเล่นอยู่ในโรงงานถลุงเหล็กที่พ่อของเขาทำงานอยู่ ในช่วงว่างจากงานอันแสนหนัก โจเซฟก็มักชวนเพื่อนร่วมงานและลูก ๆ มาร่วมร้องรำทำเพลงเพื่อผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า นั่นทำให้ MJ ค้นพบพรสวรรค์ของตน เขาและพี่ชายเริ่มต้นตั้งวงดนตรีตั้งแต่เขาอายุ 6 ขวบ ตระเวนร้องเพลงตามคลับต่าง ๆ ในชื่อ The Jackson Brothers
ด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ MJ และความสามารถของสมาชิกคนอื่น พวกเขาออกเดินสายทั้งร้องเพลงในคลับ เดินสายประกวดร้องเพลงตามรายการทีวี จนค่ายเพลงแนวอาร์แอนด์บีและโซลที่ทรงอิทธิพลในยุคนั้นอย่าง Motown Records มาเห็นการแสดงของพี่น้องกลุ่มนี้เข้าพอดี จึงจับวงเซ็นสัญญาและเปลี่ยนชื่อเป็น The Jackson 5
เพลงแรกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกได้รู้จักพวกเขาคือเพลง I Want You Back ด้วยความเป็นครอบครัวแบบวง Sly and the Family Stone บวกกับการร้องประสานเสียงแบบวง The Temptation ในแบบรุ่นเล็ก โมทาวน์ผลักดัน The Jackson 5 อย่างเต็มที่ โดยให้ราชินีเพลงโซล ไดอานา รอสส์ ช่วยแนะนำวงนี้ในอัลบัม Diana Ross Presents The Jackson 5 (1969) ทำให้วงพี่น้องในโรงถลุงเหล็กโด่งดังเป็นพลุแตก และหลังจากเพลง I Want You Back วงก็สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการพาเพลง ABC, The Love You Save และเพลง I'll Be There ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลล์บอร์ด
เหมือนถนนสายบันเทิงของ MJ จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของเขากลับเป็นวัยเด็ก ภาพที่อบอุ่นของครอบครัว อาหารมื้อค่ำที่ควรจะอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า กลับแทนที่ด้วยตารางทัวร์แบบไม่มีวันหยุดพัก ไร้ซึ่งเพื่อนฝูงในวัยเดียวกัน มีก็แต่พี่ชายซึ่งก็ไม่อาจจะเติมเต็มชีวิตของเขาได้ (มีเรื่องเล่าว่าเพลง Ben อีกหนึ่งเพลงยอดเยี่ยมของ MJ ที่ร้องตอนออกอัลบัมเดี่ยว ซึ่งคว้ารางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมลูกโลกทองคำ ปี 1972 มาจากชื่อของหนูที่เขาแอบเลี้ยงไว้จนแทบจะกลายเป็นเพื่อนกัน แต่ต่อมาพ่อของเขาเอาหนูไปปล่อย สร้างความสะเทือนใจจนกลายเป็นบทเพลงนี้)
แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธโอกาสและชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามา MJ จึงต้องก้าวข้ามชีวิตในวัยเด็กเพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปในฐานะป็อปสตาร์ ที่ต้องแบกรับทั้งในฐานะสมาชิกวงและฐานะศิลปินเดี่ยว และด้วยการทำงานอย่างหนักหน่วงที่ตักตวงเอาแต่ผลประโยชน์ ท้ายที่สุดครอบครัวแจ็กสันก็ฉีกสัญญาจากค่าย และเดินหน้าไปยังค่าย CBS ที่ต่อมาคือ Epic Records ทำเพลงร่วมกับครอบครัวจนอายุ 21 ปี MJ เข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัว เขาควรเปลี่ยนแปลงตัวเองมากกว่าเด็กน้อยเสียงแหลมที่คนเอ็นดูมากกว่าจะเห็นในพรสวรรค์ได้แล้ว…และความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนผู้ชายคนนี้ไปตลอดกาล
Off the Wall ในปี 1979 คือจุดเริ่มในฐานะศิลปินเดี่ยวแบบเต็มตัว หลังจากที่ MJ ขอแยกออกจากวงของครอบครัว และทำงานร่วมกับ ควินซี โจนส์ โปรดิวเซอร์มือทองที่ผลักดันให้เขากลายเป็นป็อปสตาร์ จนล่วงเข้าสู่ปี 1983 MJ ก็ได้สร้างตำนานหน้าสำคัญของวงการดนตรีด้วยอัลบัม Thriller ที่ไม่เพียงเขย่าขวัญคนฟังทั่วทั้งโลก แต่สะเทือนไปทั่วทั้งวัฒนธรรมเพลงป็อป ไม่ว่าจะเป็นมิวสิควิดีโอที่ปกติเป็นเพียงของเล่นของคนขาว แต่ MJ สามารถพิสูจน์ว่าคนผิวสีก็สามารถอยู่ในทีวีได้ ด้วยการยืนกรานที่จะปล่อยมิวสิควิดีโอความยาวเกือบ 14 นาที แม้ MTV จะลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะมหาชนต่างแห่โทรมาขอเพลงนี้อย่างไม่ขาดสาย มันไม่ใช่เพียงภาพประกอบศิลปินร้องเพลงเท่านั้น แต่มันคือหนังสั้นที่เปลี่ยนแปลงวงการดนตรีไปตลอดกาล
ไม่นับรวมท่าเต้นอันแสนมหัศจรรย์ ที่ MJ ทลายขีดจำกัดของสรีระมนุษย์ ทั้งท่ามูนวอล์คอันเลื่องชื่อ หรือการเอียงตัวทำมุม 45 องศา ก็สร้างความเกรียวกราวและน่าทึ่งให้กับคนในยุคนั้น รวมไปถึงแฟชันเครื่องแต่งกายที่กลืนวัฒนธรรมคนขาวจนทลายกำแพงแห่งสีผิว
นอกจากนี้ แต่เดิมภาพจำที่ผู้คนมีต่อเขาคือเพลงแนวอาร์แอนด์บีและโซลอันแสนซ้ำซาก แต่ MJ ก็พิสูจน์ว่าดนตรีป็อปเขาก็อยู่ร่วมได้ แถมทำได้ดีเสียอีก 7 เพลงที่ตัดออกมาเป็นซิงเกิล สามารถไต่ขึ้นไปสู่อันดับท็อป 10 ได้อย่างง่ายดาย และทำยอดขายได้ถึง 33 ล้านก็อปปี้ในสหรัฐอเมริกา และกว่า 110 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก เป็นสถิติที่ยังไม่มีใครสามารถทำลายได้ลงจวบจนปัจจุบัน MJ จึงไม่ใช่เพียงนักร้องที่ทำยอดขายแผ่นสูงเป็นประวัติการณ์เท่านั้น แต่ยังช่วยฟื้นฟูและผลักดันให้อุตสารกรรมดนตรีแข็งแกร่งขึ้นด้วย
ผลตอบแทนในความสำเร็จนี้นำมาซึ่งชื่อเสียงและเงินทองมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างอัตคัดขัดสนรวมกับพี่น้องของเขาอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน MJ ก็มีอิสระเสรีที่จะไม่กล้ำกลืนเป็นเครื่องจักรผลิตเพลงเหมือนที่วัยเด็กเขาต้องฝืนทน ระหว่างที่เขาตักตวงความสำเร็จจากอัลบัม Thriller เขาก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการร่วมเขียนเพลงกับ ไลโอเนล ริชชี ในเพลง We are the World ที่รวบรวมนักร้องมากมายมาร่วมร้องเพลงเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้ในแอฟริกา MJ จึงเป็นทั้งศิลปินที่นอกจากความสามารถรอบด้าน ยังเป็นผู้เคลื่อนไหวทางสังคมที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
MJ สานต่อความสำเร็จด้วยอัลบัม Bad (1987) ที่ยังคงเส้นคงวาในด้านเพลงที่มีสีสันของความเป็นร็อคเพิ่มขึ้น รวมไปถึงภาพลักษณ์ขบถหัวรุนแรง ที่ส่งผ่านทั้งชื่ออัลบัมและเพลงชื่อเดียวกัน โดยเฉพาะท่าเต้นลูบเป้าก็เริ่มเป็นที่โจษขาน ในขณะที่เขาได้รับฉายาจากเพื่อนซี้ต่างวัยอย่าง เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ ดาวประดับฟ้าของฮอลลีวูด ว่า ‘King of Pop’ คนไทยก็ไปเติมฉายาจากท่าเต้นของเขาว่า ‘ราชาลูบเป้า’ จนคนหัวโบราณหลายคนมองเขาในแง่ลบ
MJ ทุ่มเงินซื้อคฤหาสน์ที่เปรียบดังการเติมเต็มความฝันในวัยเยาว์อย่าง Neverland ที่บ่งบอกถึงความเป็นเด็กที่ยังไม่รู้จักโตในหัวใจ เขาเปิดคฤหาสถ์แห่งนี้ให้เด็กผู้ยากไร้มากมายได้แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชม ภายในมีตั้งแต่สวนสนุกจนถึงสวนสัตว์ รวมไปถึงการอุปการะเด็ก ๆ มากมาย เพื่อมอบโอกาสในการเติบโตและมีอนาคตที่ดีอย่างเต็มที่
แน่นอนว่า MJ ควรจะได้รับสิ่งดี ๆ จากความโอบอ้อมอารีครั้งนี้ แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ช่วงอัลบัม Dangerous (1991) ระหว่างที่ผู้คนกำลังตื่นตะลึงกับมิวสิควิดีโอที่ลงทุนมหาศาลอย่าง Black or White และประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ได้เห็น ไมเคิล แจ็กสัน ตัวจริงในวันที่ 24 และ 27 สิงหาคม ปี 1992 ที่สนามศุภชลาศัย ระหว่างที่คนไทยต่างโกลาหลกับวาระแห่งชาติ แย่งบัตรจนต้องเปิดรอบสอง และรอบสองก็ถูกเลื่อนเนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่สู้ดีนักของตัว MJ (ซึ่งในยุคนั้นกว่าจะรู้ว่ามีการเลื่อนคือคนเข้าไปอยู่ในสนามแล้ว) สิ่งที่รุมเร้าจิตใจของเขาอย่างหนักหน่วงก็คือ จู่ ๆ MJ ก็ถูกพ่อของ จอร์แดน นีล แชนด์เลอร์ หรือ ‘จอร์ดี’ ฟ้องร้องข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ
ข้อหานี้ทำให้ MJ กลายเป็นจำเลยสังคม แม้ท้ายสุดเขาจะยอมจ่ายค่าเสียหายถึง 22 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อแลกกับการจบคดี และเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับตลอดกาล และแม้คู่กรณีจะยอมจบเรื่องนี้ แต่ความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของ MJ กลับถาโถมจนเขาตั้งตัวไม่ทัน
ภาพลักษณ์ชายหนุ่มขี้อายจนหลายคนสงสัยในเพศสภาพ สีผิวที่ค่อย ๆ กลายจากดำเป็นขาว และพฤติกรรมการรักเด็กอย่างออกหน้าออกตา รวมถึงหน้าตาที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนเกือบจำไม่ได้ กลายเป็นข่าวกอสสิปบนหน้าสื่อแทบทุกฉบับอยู่เรื่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของ MJ อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ต่อมา MJ จะประกาศแต่งงานกับ ลิซา มารี เพรสลีย์ ลูกสาวของ เอลวิส เพรสลีย์ ราชาร็อคแอนด์โรล ในปี 1993 แต่หลายคนก็มองว่าเป็นการจัดฉากเพื่อกลบข่าวที่เขาละเมิดทางเพศเด็ก เพราะ 2 ปีต่อมาทั้งคู่ก็แยกทางกัน
แม้อัลบัม History: Past, Present and Future, Book I (1995) จะยังคงเป็นอัลบัมที่ขายดี ที่บรรจุทั้งเพลงใหม่และเพลงฮิต แต่กราฟชีวิตของ MJ ก็ยังคงดิ่งลงเหวอย่างไม่ลดละ ผิวที่ซีดขาว หน้าตาที่เปลี่ยนไปจนหลายคนเป็นห่วง แถมคดีเกี่ยวกับเด็กที่พุ่งเข้าหาเขาอย่างไม่ลดละ MJ สร้างครอบครัวใหม่กับ เด็บบี โรว์ มีลูกร่วมกัน 3 คนแต่สุดท้ายทั้งสองก็แยกย้าย ไม่ต่างกับรักแรกของขเา
ช่วงต้นยุค 2000s MJ ต่อสู้อย่างหนักทั้งชื่อเสียงเชิงลบ ส่งผลให้ Invincible (2001) กลายเป็นอัลบัมที่ยอดขายแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ภาพลักษณ์ที่น่าตกใจ จับลูกที่แบเบาะห้อยเหวี่ยงไปมาโชว์นักข่าว จนสุดท้ายประกาศขาย Neverland ทำให้กราฟชีวิตของเขาทิ้งดิ่ง ช่วงยุค 2000s ศิลปินต่าง ๆ ล้วนเกิดใหม่มากมายในยุคแห่งโลกไร้พรมแดน แต่ศิลปินในตำนานกลับต้องต่อสู้กับข่าวแย่ ๆ หลายอย่าง รวมไปถึงสภาวะความเครียดที่นำไปสู่ความเจ็บป่วยที่ไม่อาจเยียวยา
หลายปีที่ MJ พยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์จากข่าวลือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่วงละเมิดทางเพศที่ไม่มีหลักฐานเพียงพอในการเอาผิดเขา การเป็นโรคด่างขาวที่ทำให้ผิวของเขาขาวขึ้น รวมไปถึงใบหน้าที่เปลี่ยนไปจากการติดยาแก้ปวดที่เกิดขึ้น หลังจากเกิดอุบัติเหตุจากการถ่ายโฆษณาน้ำอัดลมเมื่อปี 1988 จนไฟไหม้ศีรษะ MJ ต้องรับการผ่าตัดหนังศีรษะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มที่ทำให้ติดยาแก้ปวดอย่างรุนแรง
ศรัทธาในตัว MJ เริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง เขาอยากหวนคืนสู่เวที นำไปสู่การประกาศคอนเสิร์ต This Is It ที่ O2 Arena กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ บัตรคอนเสิร์ตจำนวน 50 รอบ หมดอย่างรวดเร็ว ทุกคนรอคอยที่จะเห็นกลับมาของราชาเพลงป็อปอย่างยิ่งใหญ่ MJ ซ้อมอย่างหนักเพื่อให้สมค่ากับการรอคอยครั้งนี้
แต่แล้วความหวังก็สลาย เมื่อเช้าวันที่ 26 มิถุนายน 2009 มีคนพบ MJ เป็นลมหมดสติในบ้านของเขา หมอประจำตัวพยายามปั๊มหัวใจเพื่อเรียกสัญญาณชีพของเขาให้กลับมา แต่ก็สายเกินไป MJ จากไปด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เนื่องจากทานยานอนหลับติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน สายเกินไปที่จะยื้อชีวิตของเขากลับคืนมา
สายเกินไปที่เขาจะได้รับความสุขจากผลงานที่เขาทุ่มเทมาทั้งชีวิต
สายเกินไปที่เขาจะได้ใช้ชีวิตบั้นปลายเพื่อรับใช้ความเป็นเด็กที่ขาดหาย
สายเกินไปที่เขาจะล้างภาพลักษณ์เสีย ๆ หาย ๆ จากข่าวที่เกิดจากคนที่หวังจะทำลายชื่อเสียงของเขา
ไมเคิล แจ็กสัน กลายร่างเป็นตำนานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาความทะเยอทะยานในการสร้างผลงานเพลง การรับมือกับความมืดดำของข่าวฉาว และการไม่เคยลืมภาพความเยาว์วัยที่ตัวเอง ข่าวการจากไปของ MJ ทำให้โลกเหมือนหยุดหมุน หลายคนใจสลาย เพราะทุกคนไม่ว่าจะชอบหรือชังเขา บทเพลงของเขาล้วนแต่ผ่านหูทุกคนมาแล้ว เพราะผู้ชายคนนี้คือแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนนับล้าน
แม้จะผ่านความเสียใจมา 10 ปีแล้ว แต่บทเพลงของ MJ ยังคงดังกึกก้องในใจของคนทั่วทั้งโลก และเราไม่มีวันจะลืมเลือนผู้ชายคนนี้ ป็อปสตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่มีหัวใจเยาว์วัยตลอดกาล