นาดิยา เซฟเชนโก จำเลยผู้ชูนิ้วกลางใส่หน้าศาลรัสเซีย
“พวกมึงอยากฟังคำแถลงสุดท้ายงั้นเหรอ?” นาดิยา เซฟเชนโก (Nadiya Savchenko) อดีตนักบินทหารชาวยูเครน กล่าวต่อหน้าบัลลังก์ศาลแห่งหนึ่งในรัสเซีย หลังจากเธอตกเป็นจำเลยในคดีสังหารชาวรัสเซียซึ่งเธอเห็นว่าเป็นการกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ก่อนชูนิ้วกลางใส่หน้าศาลแล้วถามว่า “เห็นกันทั่วรึยังล่ะ?” (BBC)
ปลายปี 2013 ความขัดแย้งภายในยูเครนระหว่างประชาชนฝ่ายโปรยุโรปกับรัฐบาลโปรรัสเซียขยายตัวกลายเป็นจลาจลนำไปสู่การสิ้นอำนาจของรัฐบาลวิกตอร์ ยานูโควิช (Victor Yanukovych) รัสเซียจึงได้ยื่นมือเข้าแทรกแซงทางการทหาร รวมถึงการผนวกภูมิภาคไครเมียของยูเครนมาเป็นของตนเอง
รัฐบาลใหม่ของยูเครนพยายามต่อสู้กับฝ่ายแบ่งแยกดินแดนที่มีรัสเซียเป็นแบ็กอัพ (รวมถึงการส่งกองกำลังที่ไม่สำแดงสังกัด) เพื่อยึดคืนดินแดนที่เสียไป
นาดิยา เซฟเชนโก นักบินหญิงคนแรกของยูเครนที่จบหลักสูตรการบินทหาร เคยได้ทำหน้าที่เป็นนักบินนำทางและผู้บังคับปืนบนเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธแบบ Mi-24 และเคยไปประจำการอยู่ในอิรัก (Radio Free Europe) เมื่อได้เห็นความขัดแย้งในไครเมียปะทุขึ้น จึงได้เป็นอาสาสมัครร่วมรบกับกองกำลังภาคตะวันออกของยูเครน ก่อนที่เธอจะถูกกองกำลังที่รัสเซียหนุนหลังจับเป็นเชลย และไปปรากฏตัวอีกครั้งที่รัสเซีย พร้อมถูกตั้งข้อหาสังหารนักข่าวชาวรัสเซียในเดือนมิถุนายน 2014
คดีความดังกล่าวถูกกล่าวหาจากทางฝ่ายยูเครนและตะวันตกเป็นการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมกับเซฟเชนโก เธอซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่แล้วในบ้านเกิด เมื่อถูกฝ่ายรัสเซียจับตัวไปชื่อเสียงของเธอจึงยิ่งขจรขจายในฐานะวีรสตรีที่ต่อสู้เพื่อชาติ
การต่อต้านอำนาจศาลรัสเซีย ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการอดข้าว การแสดงท่าทีที่ไร้ความเคารพ (เช่น การชูนิ้วกลางใส่ศาล) ยิ่งทำให้เธอเป็นที่นิยมยิ่งขึ้น และได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่เธอยังอยู่ในการควบคุมตัวของทางฝั่งรัสเซีย ขณะที่สื่อฝ่ายรัสเซีย พยายามฉายภาพให้เห็นว่าพฤติกรรมของเธอคือลักษณะของพวกฟาสซิสต์คลั่งชาติต้านรัสเซียหัวรุนแรง
จากข้อมูลของ NPR ระหว่างความขัดแย้งในปี 2014 เซฟเชนโกเข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้ชี้เป้าหมายให้กับหน่วยทหารปืนใหญ่ ฝ่ายรัสเซียกล่าวหาว่าเธอจงใจชี้เป้าไปที่เป้าหมายซึ่งเป็นพลเรือนชาวรัสเซีย ทำให้นักข่าวของสื่อรัฐบาลรัสเซียเสียชีวิตสองราย และยังลักลอบข้ามพรมแดนไปยังฝั่งรัสเซียโดยผิดกฎหมาย
แต่ฝ่ายเซฟเชนโกแก้ตัวว่า เธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้เลย เพราะเธอถูก “ลักพาตัว” ไปโดยฝ่ายแบ่งแยกดินแดนตั้งแต่ก่อนที่นักข่าวรัสเซียจะถูกฆ่าตายนานอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง โดยแสดงหลักฐานเป็นภาพระบุตำแหน่งของสัญญาณโทรศัพท์
นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายวิดีโอแสดงให้เห็นว่า เธอถูกจับกุมตัวไว้โดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนบนแผ่นดินยูเครน และถูกสอบปากคำโดยกลุ่มกบฏ แต่อัยการฝ่ายรัสเซียกลับอ้างว่า กลุ่มกบฏจับตัวเธอได้แล้วก็ปล่อยตัวเธอไป เธอจึงลักลอบหนีข้ามพรมแดนไปยังฝั่งรัสเซีย
ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างที่ออกจะประหลาด เพราะหากเธอถูกทหารกบฏปล่อยตัวจริงเหตุใดถึงจึงไม่เดินทางกลับไปยังหน่วยต้นสังกัดกลับวิ่งเข้าหาศัตรู เธอซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหาตำแหน่งและการนำทางก็ไม่น่าจะหลงทางได้ขนาดนั้น?
สื่อตะวันตกจึงเชื่อว่า การที่ฝ่ายกบฏและรัสเซียจงใจจับตัวเธอก็เพราะชื่อเสียงของเธอ และต้องการใช้การดำเนินคดีกับเธอเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ (ซึ่งออกจะให้ผลในทางตรงกันข้าม) หลังการดำเนินคดีเป็นเวลาสองปี ศาลแห่งดอแนตสก์ของรัสเซีย (ชื่อเดียวกันกับเมืองในฝั่งยูเครน) ก็ได้มีคำพิพากษาให้จำคุกเซฟเชนโกเป็นเวลา 22 ปี
แต่ในเดือนพฤษภาคม 2016 สองเดือนหลังจากศาลรัสเซียมีคำพิพากษา เซฟเชนโกก็ได้รับการอภัยโทษและปล่อยตัว หลังรัสเซียยอมรับข้อเสนอแลกตัวของเธอกับนักโทษรัสเซียสองรายที่ถูกทางยูเครนจับกุมตัวไว้ในฝั่งยูเครน
ทั้ง ๆ ที่รัสเซียอ้างมาโดยตลอดว่าพวกเขาไม่เคยส่งทหารเข้ารุกรานยูเครน และปฏิเสธว่ากองทัพรัสเซียมิได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับนักโทษทั้งสองราย วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียก็ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงนักโทษทั้งสอง ส่วน วาเลนตินา มัตวิเยนโก (Valentina Matviyenko) ประธานวุฒิสภารัสเซียให้ความเห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ถือเป็นการ “แลกตัวนักโทษ” แต่เป็นการปฏิบัติตามสนธิสัญญาเพื่อให้นักโทษที่ได้รับโทษในต่างแดนสามารถกลับมารับโทษในรัสเซียได้ (The New York Times)
เซฟเชนโกเดินทางกลับประเทศในฐานะวีรสตรี คะแนนนิยมของเธอในหมู่ประชาชนพุ่งสูงยิ่งกว่านักการเมืองรายใด จนมีการคาดหมายว่าเธอจะกลายมาเป็นประธานาธิบดีในอนาคตอันใกล้
แต่แล้วในปี 2018 เธอก็ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีก่อการร้ายในบ้านเกิดของตัวเอง เมื่อมีการเปิดเผยบันทึกวิดีโอแอบถ่ายแสดงภาพของเธอขณะพูดถึงแผนการวางการรัฐประหารด้วยการวางระเบิดรัฐสภา ทำให้เธอถูกควบคุมตัวด้วยข้อหาพยายามก่อการร้าย
เธอซึ่งได้รับการปล่อยตัวระหว่างการสอบสวนแก้ตัวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นแผนการของศัตรูที่ต้องการกำจัดเธอออกจากเส้นทางการเมือง เธอไม่มีทางที่จะทำร้ายชาวยูเครนด้วยกัน มันเป็นเพียง “โจ๊ก” ที่ฝ่ายตรงข้ามอยากได้ยินอยู่แล้วเพื่อใช้เล่นงานทางการเมือง
ขณะเดียวกันเซฟเชนโกยอมรับว่าเธอเองไม่ใช่แฟนของระบอบประชาธิปไตย และอยากให้ยูเครนอยู่ใต้ระบอบอำนาจนิยมเป็นระยะเวลาสัก 3 ปี ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญภัยคุกคามทางทหาร
และหากกองทัพจะยึดอำนาจของประธานาธิบดีเปโตร โปโรเชนโก (Petro Porochenko) เธอก็พร้อมให้การสนับสนุนโดยกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เพราะเราเองก็เป็นทหารกองทัพยูเครน...เราปฏิญาณสัตย์ต่อประชาชนยูเครนที่จะปกป้องผืนแผ่นดินยูเครน ไม่ใช่ต่อฝ่ายผู้ถืออำนาจของยูเครน" (DW)
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ภาพของเธอจึงเปลี่ยนจากวีรสตรีที่สู้เพื่อชาติมาเป็นกบฏหัวรุนแรงแทน และคะแนนเสียงของเธอที่เคยพุ่งสูงจนมีคนคาดหมายว่าเธอจะกลายมาเป็นประธานาธิบดียูเครนในอนาคต ก็ได้ตกลงอย่างน่าใจหาย