หากจะจำกัดความ เจค จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) ว่าเขาเป็นนักแสดงแบบไหนคงจะลำบาก เพราะเขาแสดงมาแล้วแทบทุกแนว แถมยังเป็นนักแสดงทั้งละครเวทีและภาพยนตร์ ที่งานของเขามีตั้งแต่หนังทุนต่ำไปจนถึงระดับบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเจคเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะเขามีคุณพ่อ สตีเฟน จิลเลนฮาล (Stephen Gyllenhaal) เป็นผู้กำกับซีรีส์และภาพยนตร์โทรทัศน์, คุณแม่ นาโอมิ ฟอเนอร์ (Naomi Foner) เป็นมือเขียนบทและผู้กำกับหญิง, พี่สาว แมกกี จิลเลนฮาล (Maggie Gyllenhaal) ก็เป็นนักแสดงมากฝีมือ ซึ่งเธอก็ได้แต่งงานกับรุ่นพี่นักแสดงคนสนิทของเขา ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (Peter Sarsgaard) ทำให้รอบ ๆ ตัวของเขามีแต่คนเด่น คนดัง หรือคนในวงการเต็มไปหมด
เจคเริ่มเป็นที่จับตาในช่วงวัยรุ่นเมื่อแสดงในเรื่อง October Sky (1999) ส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award ตามมาด้วยการแสดงใน Donnie Darko (2001) ไปจนถึงหนังฟอร์มยักษ์อย่าง The Day After Tomorrow (2004)
นอกเหนือจากการแสดงภาพยนตร์ เจคยังได้ฝึกปรือฝีมือทางการแสดงละครเวทีด้วยการแสดงละครเรื่อง This Is Our Youth ในปี 2002 ในลอนดอน นับเป็นการเปิดตัวที่สวยเพราะเขาได้รับคำชมอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันนี้เขายังคงรับงานละครเวทีสลับกับการแสดงภาพยนตร์เสมอ
[caption id="attachment_9528" align="aligncenter" width="1600"]
Brokeback Mountain (2005)[/caption]
หุบเขาเร้นรัก และการจากไปของฮีธ เลดเจอร์
การเข้าฉายของ Brokeback Mountain (2005) ผลงานของผู้กำกับ อั้ง ลี่ (Ang Lee) ในปี 2005 ตำนาน “หุบเขาเร้นรัก” ไม่เพียงแต่สร้างกระแสไปทั่วโลกและทำให้ ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) กับ เจค จิลเลนฮาล กลายเป็นขวัญใจของชาว LGBTQ แต่มันยังสร้างกระแสสังคมในอีกหลาย ๆ มิติ เฉพาะวงการหนังฮอลลีวูดที่เริ่มมีการเปิดกว้างในการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับเกย์มากขึ้น โดยที่ไม่ยึดติดแต่รูปแบบเหมารวมแบบเดิม ๆ Brokeback Mountain สร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ถึงขั้นที่เสื้อของ “เอนนิส เดล มาร์” (ตัวละครของฮีธ) และ “แจ็ค ทวิสต์” (ตัวละครของเจค) ถูกนำมาประมูลใน eBay เพื่อการกุศลให้กับ The Children’s Charity of Southern California และขายได้มากกว่า 101,000 ดอลลาร์
สำหรับเจค ฮีธไม่เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงาน แต่พวกเขาเป็น “เพื่อนรัก” กัน ทั้งสองรู้จักกันตั้งแต่ออดิชันบท Moulin Rouge! (2001) ของ บาซ เลอห์มาน (Baz Luhrmann) ด้วยกัน ซึ่งสุดท้ายแล้ว ยวน แมคเกรเกอร์ (Ewan McGregor) กลายเป็นผู้ที่คว้าบทไปได้ อย่างไรก็ดี ระหว่างการออดิชันพวกเขาไม่ได้เจอกัน แต่มาสนิทกันตอนที่แสดง Brokeback Mountain ซึ่งสาเหตุที่พวกเขาสนิทกันได้เร็วก็เพราะรู้ว่า ต่างคนต่างอกหักจากการออดิชันมานั่นเอง
ฮีธไม่เคยลืมอดีตของเขากับเจค วันหนึ่งหลังจากพวกเขาประสบความสำเร็จจาก Brokeback ฮีธก็โทรหาเจค “เขาบอกผมว่า เฮ้ เพื่อน ฉันมีเรื่องจะบอกนาย ผมก็ถามว่ามีอะไรเหรอ เขาตอบว่า บาซเสนอให้ฉันเล่นหนังเรื่องใหม่ของเขาล่ะ แต่ว่าฉันอยากจะบอกให้นายรู้ไว้ว่า ฉันบอกปัดไปแล้วว่ะ นั่นแหละทำให้ผมรู้ว่าเขารักผมมากแค่ไหน” เจคกล่าว
สำหรับฮีธ เจคก็ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานเช่นกัน แต่เขายัง “พ่อทูนหัว” ของ มาทิลด้า (Matilda) ลูกสาวของฮีธกับ มิเชล วิลเลียมส์ (Michelle Williams) อีกด้วย พวกเขาคือเพื่อนในวงการที่หายากนักที่ใครจะเป็นเพื่อนแท้ของกันและกัน การที่เจคเติบโตมาในวงการบันเทิงทำให้เขารู้ดีว่า วงการมายานี้มันส่งผลอย่างไรกับชีวิตของเขา เขาทำงานมาตั้งแต่อายุ 11 และไม่ค่อยได้มีชีวิตที่อยู่นอกวงการบันเทิงมากนัก และเขาเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่โอเคที่จะมีมิตรภาพแบบฉาบฉวย แต่ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปหลังจากการจากไปอย่างกะทันหันของฮีธ ในปี 2008
“มันส่งผลกระทบกับผมในแบบที่ว่าผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย” เจคยอมรับในการสัมภาษณ์กับ NPR ว่า ฮีธเป็นเพื่อนสนิทคนแรกในชีวิตของเขาที่เสียชีวิต “ผมคิดถึงเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผมคิดถึงการทำงานร่วมกับเขา สิ่งที่น่าเศร้าคือเราไม่สามารถเห็นความงดงามจากการแสดงของเขาได้อีกแล้ว”
ชีวิตของเจค เปลี่ยนไปจากการจากไปของฮีธ เขาช่วยเหลือ มิเชล วิลเลียมส์ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากและยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนถึงวันนี้ เจคเปลี่ยนแนวทางของชีวิตของเขาใหม่ จากการเคยชินกับความสัมพันธ์ในวงการที่ไม่ยั่งยืน เขาพยายามที่จะสานสัมพันธ์อย่างจริงใจกับทุกการทำงานในกองถ่าย
“ผมพยายามจะอยู่กับปัจจุบัน ผมพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่จริงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการทำงานในกองถ่าย และเข้าหาผู้คนมากขึ้นเพราะว่าผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่า ไม่ใช่แค่เพราะผมรู้ว่าการทำงานแบบนี้มันจบลงได้ง่ายในระยะเวลาอันสั้น แต่เพราะว่า ‘ชีวิตเป็นสิ่งที่ล้ำค่า’”
[caption id="attachment_9530" align="aligncenter" width="1200"]
Prince of Persia: The Sands of Time (2010)[/caption]
เจ้าชายเปอร์เซียคนขาว และจุดเปลี่ยนสู่เส้นทางอินดี้
เป็นเวลากว่า 9 ปีแล้วที่ เจค จิลเลนฮาล ไม่ได้สัมผัสชีวิตดาราใหญ่ ชีวิตช่วงที่ผ่านมาเขาวนเวียนอยู่กับหนังอินดี้ขายฝีมือ และหนังระดับกลางที่ไม่ได้ใช้ทุนสร้างมากนัก ทั้ง ๆ ที่เขาเคยเป็นหนึ่งในนักแสดงชายที่โด่งดังที่สุดในฮอลลีวูด และมีศักยภาพมากพอที่จะไปได้ไกลกว่านี้
ปมในใจของเขาสรุปด้วยคำง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า "หนังเจ๊ง"
ปี 2010 เจคได้รับเลือกให้แสดงหนังทุนสร้างสูงที่สุดในชีวิตของเขากับเรื่อง Prince of Persia: The Sands of Time (2010) หนังที่สร้างจากวิดีโอเกมดังเรื่องนี้ใช้ทุนสร้างไปประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งดิสนีย์หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าจะต้องทำลายอาถรรพ์หนังจากเกมให้ได้ และน่าจะสร้างแฟรนไชส์หนังเรื่องใหม่ให้หาเงินกันต่อไปแบบยาว ๆ เหมือน Pirates of the Caribbean เจคทุ่มเทกับการรับบทเจ้าชายเปอร์เซียผู้เป็นที่รักของแฟนเกมอย่างเต็มที่ ทั้งฝึกหนัก ฟิตร่างกาย เพื่อแสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเอง แต่แล้วหนังกลับไปไม่ถึงฝั่งฝัน ทำเงินทั่วโลกไปเพียง 336 ล้านดอลลาร์ ไม่มากพอที่สตูดิโอจะไฟเขียวสร้างภาคต่อ
ทำไมหนังถึงไม่ประสบความสำเร็จ?
คำตอบก็คือ “นักแสดง” แม้เหล่าดารานำของเรื่องนี้จะมีชื่อเสียง ทั้งเจค ทั้ง เจมมา อาร์เทอร์ตัน (Gemma Arterton), เบน คิงส์ลีย์ (Ben Kingsley) และ อัลเฟรด โมลินา (Alfred Molina) ทุกคนล้วนเป็น “คนขาว” ไม่ได้มีเชื้อสายอิหร่านอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้หนังโดนวิจารณ์อย่างหนักเรื่อง Whitewashing หรือการใช้คนขาวมาแทนคนเชื้อชาติอื่นในสื่อบันเทิง
แม้จะไม่ใช่ความผิดของเจคโดยตรง แต่เขาก็ยอมรับในภายหลังว่ารู้สึกผิดที่รับแสดงในบทที่เขาไม่เหมาะสม “ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้ว่า ควรไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะรับงานใด ๆ ผมควรจะคิดให้ดีก่อนที่จะตกลงทำ มันทำให้ผมรู้ว่าบทไหนไม่เหมาะ บทไหนไม่ใช่ตัวผมอย่างแท้จริง และมันก็มีบทแบบนี้อยู่เยอะ แต่มันก็มีบทที่เหมาะอยู่ด้วย”
เมื่อประตูหนึ่งปิดลง ประตูใหม่ก็จะเปิดออก หลังจากเจคเข็ดจากการรับงานหนังฟอร์มยักษ์ เขาเริ่มพิถีพิถันกับการเลือกงาน ผลงานหลังจากนั้นทำให้เราได้รู้จักกับเขาในฐานะนักแสดงมากฝีมือ ทั้งเรื่อง Love & Other Drugs (2010) ที่เขาได้กลับมาแสดงกับ แอนน์ แฮทธาเวย์ (Anne Hathaway) อีกครั้ง หลังจากประกบคู่กันมาใน Brokeback Mountain และทำให้เขาได้ชิงรางวัล Golden Globe, เรื่อง End of Watch (2013) หนังแนวอาชญากรรมชั้นดีของ เดวิด อายเยอร์ (David Ayer) ที่เขายอมลงทุนโกนหัวจนล้านเลี่ยน ไปจนถึงเรื่อง Nightcrawler (2014) ที่ได้รับคำชมว่าเป็นเรื่องที่เขาแสดงได้ดีที่สุดเท่าที่เคยแสดงมา รวมถึง Stronger (2017) ที่รับบทที่สร้างจากเรื่องจริงเป็น เจฟฟ์ เบาว์แมน (Jeff Bauman) ผู้สูญเสียขาไปจากเหตุระเบิดที่บอสตันมาราธอน
[caption id="attachment_9527" align="aligncenter" width="1536"]
Spider-Man: Far From Home[/caption]
ก้าวเข้าสู่วงการซูเปอร์ฮีโร่ และ “เพื่อนคนใหม่”
เจค จิลเลนฮาล ก้าวเข้าสู่วงการหนังซูเปอร์ฮีโร่ด้วย Spider-Man: Far From Home กับการรับบท “มิสเทริโอ” บุรุษมากปริศนา แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาพัวพันกับ Spider-Man เพราะว่าเขาเคยได้รับการวางตัวเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะได้มาแสดงแทนที่ โทบี แมคไกวร์ ใน Spider-Man 2 เพราะโทบีบาดเจ็บจากการแสดงเรื่อง Seabiscuit (2003) แต่สุดท้ายแล้วก็อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าโทบีกลับมารับบทตามเดิม ไม่นานเจคและโทบีก็ได้มาร่วมงานกันในเรื่อง Brothers (2009) แทน ซึ่งทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแม้ว่าเจคจะเคยเดทกับ เคียร์สเตน ดันสต์ (Kirsten Dunst) อดีตแฟนสาวของโทบีสมัยที่เป็น Spider-Man ก็ตาม
เจคได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจร่วมงานใน Far From Home เพราะว่าเขาได้เฝ้ามองและติดตามจักรวาล MCU (Marvel Cinematic Universe) มาตลอดและรักในตัวละครในแฟรนไชส์นี้ การที่รับการทาบทามมาเล่นจึงถือเป็นโอกาสที่ดีให้กับเขา เจคจึงตัดสินใจรับแสดงอย่างง่าย ๆ
แต่เขาไม่รู้มาก่อนว่า ผู้ที่ยิงสายใยแมงมุมดึงให้เจคได้กลับเข้ามาสู่โลก Spider-Man คือ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) เพราะนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งที่บังเอิญพูดให้เหล่าโปรดิวเซอร์ได้รู้ว่า เขามี เจค จิลเลนฮาล เป็นอันดับหนึ่งในไอดอลขวัญใจที่อยากร่วมงานด้วย
การพบกันของเจคกับทอมเป็นเหมือนกับโชคชะตา พวกเขาได้เจอกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ทั้งสองแนะนำตัวกัน แต่ตอนนั้นเจคยังไม่รู้ว่าเขากำลังจะได้รับการทาบทามให้มาร่วมแสดง เขาบอกกับ ทอม ฮอลแลนด์ ไปว่า “หวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะ” และซึ่งนอกจากมันจะเกิดขึ้นจริงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาได้กลายมาเป็น “เพื่อน” กันในชีวิตจริงนอกจออย่างรวดเร็ว ซึ่งตรงกับสิ่งที่เจคเคยตั้งเป้าที่จะสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานอย่างจริงใจทุกครั้งหลังจากการสูญเสีย ฮีธ เลดเจอร์
"การทำงานกับทอมมันเยี่ยมมาก เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ Spider-Man ออกมายอดเยี่ยม เขารู้ว่าเขาต้องได้รับแรงกดดัน เขารู้ว่ามีคนรักสไปเดอร์แมนมากแค่ไหน แล้วเขาทุ่มสุดตัวทั้งกายทั้งใจให้กับการทำงาน เขาให้คำแนะนำที่ผมต้องการหลายอย่าง เขาคลายกังวลให้กับการเข้ามาทำงานในจักรวาลฮีโร่ มันทำให้เราได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน เขาชื่นชอบผม ผมก็ชื่นชอบเขา เราทั้งสองก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป นักแสดงต่าง ๆ มักให้สัมภาษณ์สื่อว่าชอบการร่วมงานด้วยกันแค่ไหน ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ผมชอบเขามาก ๆ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และผมมีความสุขเวลาที่ได้อยู่กับเขานอกเหนือจากการทำงาน”
[caption id="attachment_9529" align="aligncenter" width="1024"]
ทอม ฮอลแลนด์ และ เจค จิลเลนฮาล[/caption]
อ้างอิง
yahoo
gq
npr
เรื่องโดย: ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้