15 ก.ค. 2562 | 16:36 น.
“วันนี้หยุดหนึ่งวัน ทำไรดี ?”
นี่กลายเป็นคำถามโลกแตกที่ใครหลายคนได้เจอกันอยู่เป็นประจำ แน่นอนกิจกรรมยอดนิยมที่น่าจะเป็นคำตอบของคำถามนี้ คงหนีไม่พ้นการไปเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้า ดูหนังฟังเพลง ไปนั่งชิลกินกาแฟถ่ายรูปเล่น หรือแม้กระทั่งอยู่บ้านนอนดูหนังเน็ตฟลิกซ์ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นตัวเลือกในการผ่อนคลายของใครหลาย ๆ คน แต่สำหรับคนที่ชอบไลฟ์สไตล์ลุยๆ หน่อย หรือหลงใหลในการผจญภัย การออกเดินทางไปเที่ยวในต่างจังหวัดน่าจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์คุณได้
“แล้วเราจะไปไหนกันดี ?”
กรอบระยะเวลาเท่านี้ ตัวเลือกเหมาะที่สุดน่าจะเป็น “เขาใหญ่” หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของคนกรุงฯ ที่ใช้เวลาเดินทางไม่เกินสามชั่วโมง
แต่การจะไปเขาใหญ่โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งวันให้คุ้มค่าและเหนื่อยน้อยที่สุด ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คุณทำภารกิจนี้ลุล่วงไปได้ ก็คือการมียานพาหนะที่ตอบโจทย์การขับในหลายรูปแบบ เพราะเขาใหญ่มีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งทางตรงขึ้นเขาชัน ๆ จนไปถึงโค้งหักศอกหนัก ๆ ซึ่งลองคิดดูแล้ว รถที่น่าจะเหมาะกับทริปแบบนี้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นรถยนต์อเนกประสงค์ แบบ PPV (Pick-Up Passenger Vehicle)
รถจำพวกนี้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และมีการแข่งขันที่สูงมากเช่นกัน คำถามก็คือเราจะเลือกรถที่ใช่ได้อย่างไร สำหรับการเดินทางไปเขาใหญ่ทริปนี้ เราจำเป็นต้องใช้รถที่จะสร้างความมั่นใจในการขับ และที่สำคัญที่สุด จะต้องเป็นรถที่ให้ความสะดวกสบายแก่ทั้งผู้โดยสารและตัวคนขับเองด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อดูจากตัวเลือกทั้งหมดน้องใหม่ล่าสุดอย่าง นิสสัน เทอร์ร่า (Nissan Terra) จึงน่าจะเป็นตัวรถที่เติมเต็มทริปของเราในครั้งนี้ได้ดี
นิสสัน เทอร์ร่า คันนี้ รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูบึกบึนแข็งแกร่ง มีส่วนผสมของ นิสสัน ซาร์ฟารี หรือตัว นิสสัน พาโทรล จีอาร์ ผสมกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 2.3 ลิตร และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยให้มาด้วยมากมาย รวมถึงความกว้างขวาง นั่งสบาย ของห้องโดยสาร โดยเฉพาะแถวกลาง ที่พับได้เพียง กดปุ่มครั้งเดียว เรียกได้ว่ามีความเหมาะกับครอบครัวทีเดียว แถมแอร์ในห้องโดยสารเย็นสบาย เพราะมีช่องแอร์มีเยอะแถมกระจายเป็น 360 องศา อีกด้วย
เราเริ่มต้นออกจากกรุงเทพ ฯ เวลาประมาณ 9.30 น. พร้อมกับเปิดอัลบั้ม Workin' with the Miles Davis Quintet (1956) หนึ่งในผลงานสุดคลาสสิกจาก ไมล์ส เดวิส นักทรัมเป็ตแจ๊สระดับตำนานคลอไปด้วย โดยแทร็กแรกของอัลบั้มนี้ คือ ‘It Never Entered My Mind’ เพลงแจ๊สสไตล์บัลลาดที่ทรงพลังจากเสียงทรัมเป็ตของไมล์ส และเสียงเบสของ พอล เชมเบอร์ส ที่แฝงด้วยพลังสุด ๆ เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่จะทำให้คุณรู้สึกทิ้งความเหนื่อยล้าออกไปจากหัวได้ดี
พอมาถึงบริเวณอำเภอปากช่อง ประมาณ 12.30 น. เราหลีกหนีความวุ่นวายของถนนธนะรัชต์ มุ่งหน้าตรงสู่ที่หมายแรกของเราในวันนี้ คือ “ศาลาเขาใหญ่ รีสอร์ท” (Sala Khaoyai) ที่พักบนยอดเขาที่ “เงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัว” สุด ๆ
รีสอร์ทแห่งนี้อยู่ท่ามกลางป่าเขาที่ให้ความเป็นส่วนตัวอย่างมาก ภาพรวมของทั้งรีสอร์ทมีห้องพักเพียง 7 ห้อง และแต่ละห้องจะมี Pool Villa ที่เน้นความเป็นส่วนตัว โดยมีสันเขาเป็นแนวกันตามธรรมชาติ ทำให้ผู้เข้าพักรู้สึกเหมือนอยู่ในอาณาจักรของตัวเอง การบริการของที่นี่จะมีความเป็น casual service เรียบง่าย สบาย ๆ ไม่เป็นทางการเท่าใดนัก ตามแนวคิดของทางโรงแรมที่เน้นความรู้สึกให้เหมือนกับการอยู่บ้าน
นอกจากนี้ที่นี่ยังเน้นเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ เยอะมากทีเดียว เช่น ภายในห้องพักจะมีกลิ่นมิ้นท์ออแกนิก กลิ่นเฉพาะของทางรีสอร์ทเท่านั้น ตัวสระว่ายน้ำก็จะเป็นน้ำเกลือที่มีเครื่องดูแลแยกเดี่ยวเฉพาะในตัว อันเนื่องมาจากที่นี่ให้ความสำคัญกับเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างมากนั่นเอง
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ! มาถึงนี่แล้ว จะไม่ลองชิมอาหารของที่นี่ก็กระไรอยู่ ในส่วนห้องอาหารนั้น ที่นี่มีเมนูอาหารฟิวชั่นหลายตัวให้เลือกลิ้มรส เช่น พิซซ่าซีฟู้ด, ยำปูนิ่ม, หมี่โคราช โดยมีเมนูไฮไลท์อย่าง แซลมอนสเต็ก รวมถึง คอหมูย่างน้ำจิ้มแจ่ว เป็นอาหารแนะนำ ภาพรวมของอาหารถือเป็นอาหารที่มีรสชาติเหมาะกับลิ้นคนไทยอย่างมาก มีความเข้มข้นของรสชาติที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งสำหรับใครที่ชอบรสแบบ western จ๋า ๆ อาจจะไม่ชอบเท่าไหร่นัก
สำหรับใครที่เบื่อความวุ่นวายแถวเส้นธนะรัชต์ ความเงียบสงบของที่นี่ก็น่าหลงใหลไม่น้อยทีเดียว
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว การชาร์จร่างกายด้วยกาแฟและของหวานท่ามกลางบรรยากาศดี ๆ น่าจะเป็นกิจกรรมต่อไปของพวกเรา โอ้โห ! แต่พอนึกถึงร้านกาแฟในเขาใหญ่ เข่าก็แทบจะทรุดเพราะที่นี่มีร้านกาแฟเป็นพัน ๆ ร้านได้ หลังครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้นเองเสียงร้องที่เปรียบเหมือนเสียงสวรรค์ของ ริงโก้ สตาร์ แห่งวง The Beatles กับเนื้อเพลงที่ร้องว่า “We all live in a yellow submarine Yellow submarine, yellow submarine” ก็ช่วยให้เราหาร้านที่ใช่ได้ในทันดี ใช่แล้ว สถานที่ต่อไป ก็คือร้านกาแฟสุดชิค อย่าง “เยลโล่ ซับมารีน คอฟฟี แทงค์” (Yellow Submarine Coffee Tank)
ระหว่างทางเราต้องผ่านถนนที่ค่อนข้างมีโค้งหักศอกเยอะ และมีความชันมาก บวกกับเป็นเส้นทางที่กำลังปรับปรุงถนน ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (HDC) ทำให้การขับในสถานการณ์นี้ราบรื่นขึ้น เรียกได้ว่าทำให้เราเหนื่อยน้อยลง และไม่เกิดอาการ panic เลย
เยลโล่ ซับมารีน เป็นร้านกาแฟที่โดดเด่นเรื่องงานสถาปัตยกรรม โดยมีจุด photogenic เด่น ๆ ให้ชวนเก็บภาพอย่าง งานสถาปัตย์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางสวนต้นยมหอมบริเวณด้านหน้า ซึ่งการตกแต่งของที่นี่มาในโทนสีดำเข้ม ล้อมรอบไปด้วยสวนหินกรวด ที่ให้ความสุขุมและความเรียบง่ายอย่างลงตัว
ไฮไลท์ของที่นี่มีหลายอย่างด้วยกัน โดยมีกาแฟซิกเนเจอร์อย่าง “Yellow Americano” เป็นตัวชูโรง ซึ่งเจ้าอเมริกาโน่เหลืองของที่นี่ มีให้เลือกด้วยกันสองแบบคือ แบบคั่วอ่อน ที่จะให้ความสดชื่น มีความฟรุตตี้ มีกลิ่นหอมของพีช สโตนฟรุต โดยเป็นเมล็ดกาแฟที่มาจากภาคเหนือของบ้านเรา ส่วนตัวที่สอง จะมีบอดี้ใหญ่ขึ้น เข้มขึ้น แต่ไม่เบิร์น มีความเป็นนัตตี้ มีช็อกโกแลต มีกลิ่นที่ซับซ้อน เมล็ดกาแฟนำเข้ามาจากแทนซาเนีย อินโดนีเซีย และไทย ผสมผสานกัน
สำหรับของหวานแนะนำก็มีอย่าง Black Honey Toast หรือขนมปังชาร์โคล ที่เสิร์ฟพร้อมกับไอศครีมวานิลลา ราดด้วยน้ำผึ้ง ซอสสตรอเบอร์รี่และคาราเมล เรียกได้ว่ากินจนลืมคำว่าผอมไปเลย
หลังจากอิ่มหนำไปกับการกินแล้ว กิจกรรมสุดท้ายก่อนกลับ เราตัดสินใจเลือกที่จะไปเยี่ยมชมไร่ไวน์ชั้นนำของประเทศ อย่างไร่ “กราน มอนเต้” (Gran Monte) ซึ่งระหว่างเดินทาง ฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เสียงของสายฝนเบา ๆ บวกกับเสียงกีตาร์แจ๊สในแบบรูบาโต (Rubato) เพราะ ๆ ของแอนโธนี วิลสัน ในเพลง ‘Isn't It Romantic’ ของนักร้องสาวไดอานา ครอลล์ ถือเป็นการเพิ่มอรรถรสการฟังที่แตกต่างจากเดิมมากทีเดียว แต่สิ่งที่น่าแปลกใจมาก ๆ คือ สภาพอะคูสติกภายในห้องโดยสารยังคงเงียบอย่างน่าแปลกใจ (แม้จะเปิดเพลงไปพร้อมกับเสียงฝน)
เหตุการณ์นี้ทำเอาผมถึงขั้นอดความสงสัยไม่ได้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาข้อมูลของ นิสสัน เทอร์ร่า คันนี้เพิ่มเติมทันที อ่านไปอ่านมาก็รู้ว่า เจ้ารถรุ่นนี้มีจุดเด่นในเรื่องการเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ดีมาก แม้รถจะวิ่งผ่านพื้นผิวขรุขระ หรือลมปะทะเสียงดังแรง ๆ ก็ตาม
พูดถึง ไร่ไวน์ กราน มอนเต้ สักหน่อย ที่นี่ก่อตั้งโดย วิสุทธิ์ โลหิตนาวี บนพื้นที่ 100 ไร่ของหุบเขาอโศก เขาใหญ่ ที่นี่ดำเนินการปลูกองุ่นและผลิตไวน์มานาน 20 ปี ปัจจุบัน มีกำลังการผลิตปีละ 90,000 ขวด ส่วนใหญ่เป็นการบริโภคภายในประเทศ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ส่งออกไปต่างประเทศ
ไม่เพียงสภาพทิวทัศน์อันสวยงาม แต่พื้นที่ของไร่ไวน์แห่งนี้ยังนับว่าเป็นชัยภูมิที่ดี ด้วยลักษณะเป็นหุบเขา ล้อมรอบด้วยสันเขาทุกทิศทาง จึงสามารถป้องกันลมมรสุมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ลักษณะของดิน จัดเป็นชุดดินวังสะพุงที่ประกอบด้วยหินดินดาน หินชนวน และหินอื่น ๆ ที่แปรสภาพแล้ว ซึ่งก่อตัวมาตั้งแต่ 290 ล้านปีที่แล้ว จึงมีคุณสมบัติระบายน้ำ และมีแร่ธาตุเหมาะกับการเติบโตของต้นองุ่น
แรกเริ่มเดิมที ไร่ไวน์แห่งนี้ ปลูกองุ่นพันธุ์ เชอแนง บลองก์ (Chenin Blanc) สำหรับผลิตไวน์ขาว และองุ่นพันธุ์ ซีราห์ (Syrah) สำหรับผลิตไวน์แดง แต่ปัจจุบัน มีผลผลิตจากองุ่นพันธุ์อื่น ๆ เช่น เซมิยอง (Semillon) แคนาดา มุสแคท (Canada Muscat) และ กาเบอร์เนต์ โซวิยอง (Cabernet Sauvignon) ทำให้สามารถผลิตไวน์ที่มีความหลากหลายได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแปลงทดลองปลูกองุ่นอื่นๆ อีกราว 40 สายพันธุ์ ภายใต้การดูแลของ นิกกี้ โลหิตนาวี ไวน์เมคเกอร์ของที่นี่
นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ไร่กราน มอนเต้ ได้พัฒนาวิธีการปลูกองุ่นให้สอดรับกับกระแสออร์แกนิก โดยงดใช้สารเคมีในช่วง 5 ปีหลัง ในการเยี่ยมไร่ไวน์ กราน มอนต้ ความน่าสนใจพิเศษ อยู่ตรงแปลงที่ 20 เนื่องจากแปลงดินที่มีลักษณะลาดเอียง ต่ำลงกว่าพื้นที่อื่นๆ จึงมีสภาพอากาศเฉพาะ (micro climate) ที่ให้อุณหภูมิต่ำกว่าแปลงปกติ จึงใช้ปลูกองุ่นพันธุ์ เชอแนง บลองก์ เพื่อผลิตไวน์ขาวมีฟอง (sparkling wine) โดยเฉพาะ โดยทางไวเนอรี่จะเริ่มเก็บเกี่ยวองุ่นแปลงนี้เร็วกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อรักษาความสดของผลองุ่น ที่สามารถให้ acidity สูง
อีกทั้งในกระบวนการผลิตยังค่อนข้างพิถีพิถัน ด้วยการใช้เทคนิกแบบดั้งเดิม ที่เรียกกันว่า traditional method อันเป็นวิธีการเดียวกันกับการผลิตแชมเปญ ในประเทศฝรั่งเศส ผลลัพธ์ที่ได้ คือ สปาร์กลิงไวน์ที่ให้พรายฟองละเอียด รสชาติสดชื่น ให้กลิ่นหอมของดอกไม้อันจรุงใจ
ถ้าพูดถึงเพลงที่เหมาะกับบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนหน่อย แต่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ restart การใช้ชีวิต หรือเป็นการเติมไฟให้คุณกลับไปลุยกับงานที่รออยู่ เพลงหนึ่งที่ผมนึกถึงคือ "Where the Streets Have No Name" ของ U2 ซึ่งมันเหมาะต่อการเป็นเพลงส่งท้ายในทริปนี้ของเราอย่างมาก
หลายคนอาจจะคุ้นชินหรือเคยไปพักผ่อนที่เขาใหญ่มาบ้างแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าประสบการณ์ที่ได้รับคงล้วนแต่ต่างกันออกไปตามสถานการณ์ แต่การท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ล้วนแต่ต้องมียานพาหนะคู่ใจที่พร้อมจะเพิ่มความสุขจากการพักผ่อนของคุณให้มีคุณค่าและน่าจดจำมากยิ่งขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการมีรถที่พร้อมและเหมาะสม จึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดสำหรับการเดินทาง
เทคโนโลยีจากรถที่ดีช่วยเราได้จริง ๆ เพราะความมั่นใจระหว่างการขับ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก การที่คุณมีเทคโนโลยีความปลอดภัยหลากหลาย เห็นได้ชัดเมื่อเราต้องเผชิญในสถานะการต่าง ๆ อย่าง ระบบ AVM นี้ ช่วยให้เราเห็นรอบๆคันรถคันโต ๆ นี้ ได้ดีขึ้น รวมถึงระบบตรวจจับวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection) ไปจนถึง ขณะขับขี่ที่มีการช่วยเตือนเมื่อมีวัตถุเข้ามาในจุดอับสายตา อย่าง (Blind Spot Warning) และถึงระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทางขับขี่ (Lane Departure Warning) เป็นอะไรที่ทำให้การเดินทางของคุณราบรื่นกว่าเดิมมาก
จริงอยู่ว่า เทอร์ร่า คันนี้จะมีขนาดที่ก็ค่อนข้างใหญ่ไปหน่อยสำหรับขับในเมือง แต่พวงมาลัยที่มีระบบพาวเวอร์ของ นิสสัน เทอร์ร่า ก็ช่วยให้การขับขี่ในเมืองเป็นไปอย่างไม่ยากเย็นนัก พวงมาลัยที่มีน้ำหนักนิด ๆ ก็เป็นข้อดีสำหรับการขับในระยะทางไกล ๆ ที่ต้องใช้ความเร็วสูง เพราะให้ความมั่นใจได้ดีกว่า รวมถึงมีความมั่นคงสูงยามใช้ความเร็วบนทางหลวง เรียกได้ว่ารถที่มีระบบการขับขี่สี่ล้อแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกพร้อมจะ “ลุยถึงไหนถึงกันได้ สบาย ๆ” แม้เครื่องยนต์ของรถคันนี้จะมีสมรรถนะกับพละกำลังที่สูงให้ความรู้สึกสนุกขณะขับมาก ๆ แต่ที่ทึ่งมาก ๆ คือ มันไม่ซดน้ำมันเยอะอย่างที่คิดไว้เลย ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ถือเป็นข้อดีมาก ๆ
คนเรามักจะเก็บบันทึกประสบการณ์การเดินทางจากภาพถ่ายหรือสมุดบันทึก แต่สำหรับคนที่รักในการขับรถ การเก็บบันทึกความทรงจำผ่านรถคันโปรดคงเป็นความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือน