เรียกว่า สิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ คลุกคลีกับแวดวงอสังหาริมทรัพย์มาแทบจะทั้งชีวิตก็คงไม่ผิดความจริงเท่าใดนัก เพราะตั้งแต่เรียนจบด้านอสังหาฯ จากรั้วมหาวิทยาลัย สิริพงศ์ก็พาตัวเองเข้าสู่วงการที่เขารักทันที เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งฝ่ายขาย การตลาด นิติบุคคล รวมถึงหัวหน้าทีมกฎหมาย ทำให้รู้รอบแบบครบจบในตัว
สิริพงศ์ทันทุกเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของวงการในรอบเกือบ 30 ปีมานี้ ตั้งแต่ยุคทาวน์เฮาส์บูม วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ทำเอาตลาดอสังหาฯ ในภาพรวมจุกหนัก กระทั่งมาถึงยุคการเติบโตของธุรกิจคอนโดมิเนียม ที่เมื่อผู้คนมีกำลังซื้อสูงและต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมใจกลางเมือง คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยรสนิยม
เมื่อฝีมือเข้าขั้นฉกาจ สิริพงศ์จึงได้รับความไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI บริษัทอสังหาฯ ครบวงจรของไทย รับหน้าที่กุมบังเหียนคอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ แบรนด์ ‘Park Origin’ (พาร์ค ออริจิ้น) ที่ยึดหัวหาดทำเลทองย่าน CBD ไว้ทั้งสุขุมวิท 24 พญาไท ทองหล่อ พร้อมพงษ์ และ จุฬา-ราชเทวี พร้อมรุกมองหาทำเลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์ของชายผู้ไม่ยอมหนีจากธุรกิจนี้ไปไหน กับความท้าทายในการสร้าง ‘Park Origin’
The People: จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจงานด้านอสังหาฯ คืออะไร
สิริพงศ์: ผมเป็นวัยรุ่นที่โตมาในยุค ‘น้าชาติ’ (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี) สิ่งที่เห็นคือการพัฒนาบ้านเมือง มีความเปลี่ยนแปลงทั้งถนนหนทาง และธุรกิจอสังหาฯ ที่บูมมาก รู้สึกสนุกที่ได้เห็นอะไรพวกนี้ เป็นการจุดประกายให้ชอบเรื่องอสังหาฯ เลยเลือกเรียนปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ วิชาเอกอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจ แต่ช่วงนั้นคนสนใจเรียนไม่มากนัก คลาสหนึ่งประมาณ 7-10 คนเท่านั้น จากนั้นผมก็ต่อปริญญาโทที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาเคหการ ที่จุฬาฯ
พอเรียนจบก็ทำอสังหาฯ ทันที เริ่มตั้งแต่เป็นนักประเมิน แล้วก็เปลี่ยนมาทำการตลาด เซลส์ อยู่ตั้งแต่ยุคทาวน์เฮาส์บูม แล้วก็หมุนไปหลายรอบ สองรอบใหญ่สำหรับวิกฤตอสังหาฯ ของเมืองไทย จากนั้นก็โตในวงการนี้มาเรื่อย ๆ มาถึงตอนนี้ก็คิดว่าคงจะไปไหนไม่ได้นอกจากอยู่ในวงการอสังหาฯ
The People: หลังจากยุค ‘น้าชาติ’ ไม่ถึงสิบปีคือวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบหนักพอสมควร ตอนนั้นคุณรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร
สิริพงศ์: ต้องบอกว่าทุกคนเครียด ลุ้นทุกวัน เสียใจ เศร้าใจ ได้เห็นหมด ไม่ใช่วงการอสังหาฯ ที่มีปัญหาอย่างเดียว แบงก์ ทรัสต์ ต่าง ๆ ก็เจอปัญหาด้วย ล้มกันระเนระนาด คำว่าทรัสต์แทบไม่เห็นเลยในปัจจุบัน ช่วงนั้นผมอยู่บริษัทอสังหาฯ ระดับท็อป 5 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ตั้งแต่เพื่อนเต็มห้อง จนเหลือเรากับใครไม่กี่คนเพื่อจัดการเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สำเร็จให้ได้ ทั้งหนี้บริษัท การขายให้ลูกค้า แม้กระทั่งได้ไปรู้จักการประมูลแบบ ปรส. (องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน) เป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเราต้องเรียนรู้ คืออย่าปิดหูปิดตาหรือว่าปิดใจ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาต้องเรียกว่าเบิก...เบิกตาให้กว้างไว้ เปิดหูไว้ฟัง ฟังว่ามันจะเกิดอะไร เพราะมันเป็นสิ่งใหม่มากในยุคนั้น ไม่มีใครเจอมาก่อน ถ้าไม่เรียนรู้ก็จะไม่เข้าใจ ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ พอฟังแล้วต้องคิด คิดให้ทัน คิดว่าจะต่อยอดอย่างไร ช่วงนั้นบริษัทลดค่าใช้จ่าย คนก็น้อยลง ทุกอย่างรวมอยู่ที่เราคนเดียว ตั้งแต่การตลาด ฝ่ายโอน ฝ่ายขาย ทำงานจนไม่มีโอกาสได้ท้อ ก็ช่วยกันแก้ปัญหามาเรื่อย ๆ
หลังวิกฤตปี ’40 ผมก็ติดตามเจ้านายไปอยู่บริษัทใหม่ ไปเริ่มวิธีการใหม่ ๆ ต้องบอกว่าผมเป็นพนักงานมาตลอดชีวิต เราก็ค่อย ๆ ไต่ไป โชคดีว่าได้เจ้านายที่ค่อนข้างเข้าใจแล้วก็อยู่ร่วมกันมานาน ท่านก็ได้ให้โอกาสในการทำงานหลาย ๆ แผนก
The People: เรียนรู้อะไรจากวิกฤตเศรษฐกิจช่วงนั้น
สิริพงศ์: ต้องบอกว่าโตขึ้นมาทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะว่าเรามีทัศนคติหนึ่งคือไม่เกี่ยงงาน ผมทำตั้งแต่การตลาด ฝ่ายขาย นิติบุคคลอาคาร นิติบุคคลหมู่บ้าน ผมเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายด้วย (หัวเราะ) เราเรียนด้านอสังหาฯ เรื่องแรกที่เราต้องทำเลยก็คือกฎหมาย เขาบังคับอย่างไรเราต้องรู้
The People: เริ่มคลุกคลีกับคอนโดฯ ไฮเอนด์เมื่อไหร่
สิริพงศ์: จริง ๆ ก็หลายปีแล้ว ตึกที่เป็นคอนโดฯ ไฮเอนด์ตัวแรก ๆ ก็เสร็จไปน่าจะเกือบสิบปีแล้ว อยู่ในย่านทองหล่อ พอตัวเราเปิดรับเรื่องใหม่ ๆ เลยทำให้มีโอกาสทำอสังหาฯ ทั้งรูปแบบทาวน์เฮาส์ที่อยู่ไกลจากเมือง บ้านเดี่ยว โครงการริมทะเลสาบ จนมาถึงคอนโดฯ ไฮเอนด์
อสังหาฯ เป็นธุรกิจที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วิธีการใช้ชีวิตของคนในกรุงเทพฯ ก็เปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน เราก็ต้องตามให้ทัน
The People: หลายปีมานี้ มีคอนโดฯ ไฮเอนด์ค่อนข้างเยอะ แล้วคอนเซปต์ของแบรนด์ ‘Park Origin’ คืออะไร
สิริพงศ์: ของเราจะเป็นลักษณะที่เรียกว่า ‘compact luxury’ หมายความว่าพื้นที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ไม่เยอะ ไม่ใหญ่จนเกินไปนัก แล้วราคาก็เหมาะสม
ส่วนแกนหลักของแบรนด์แบ่งเป็น 3 แกน เราใช้ชื่อ ‘Park’ เพราะฉะนั้นตัวแรกเลยคือ ธรรมชาติ วิธีการดีไซน์ของโครงการเราสามารถปั้นสวนออกมาเป็นก้อน ขอยกตัวอย่าง ‘Park Origin Thonglor’ สวนตรงกลางถือว่าใหญ่มากเมื่อเทียบกับคอนโดฯ ไฮเอนด์ด้วยกัน สวนเขาอาจจะเป็นแค่สวนริมรั้ว แต่เรามีสวนใจกลางของตัวกลุ่มอาคาร เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาอยู่บนตึกสูงก็จริง แต่มีพื้นที่สีเขียว สามารถเหยียบหญ้าได้ ตอนเช้าออกมาจากลิฟต์ผ่านโถงทางเดินก็ได้กลิ่นของดินบ้าง
สองคือ เทคโนโลยี เราเป็นผู้นำคนแรก ๆ ในการนำ smart mirror มาใช้ ฟังก์ชันต่าง ๆ และลำโพงถูกฝังไว้ในกระจกห้องน้ำ ซึ่งสามารถกันความชื้นได้ดี หรือการวางทีวีในห้องน้ำ เป็นการให้สิ่งที่ลูกค้าอยากจะใช้ในชีวิตตรงนั้น หรืออย่างการจอดรถก็เป็น automatic parking ถ้าเป็นคนยุคเก่าจะรับฟังก์ชันนี้ไม่ได้เลย แต่คนยุคใหม่สบายมาก จอดตรงนั้นได้เสมอแล้วมีหุ่นยนต์เก็บขึ้นไปให้ ตอนลงมาก็แค่กดปุ่มหรือแปะการ์ด หุ่นยนต์ก็ยกมาส่งให้ สิ่งเหล่านี้ครับที่บอกว่ามันทันสมัยมากขึ้น ทำให้เขาใช้เวลาน้อยลง
แกนที่สามคือ โซเชียล เวลาทำคอนโดฯ ราคาสูง ๆ โลเคชันต้องมีดีด้วย สภาพแวดล้อมต้องสะดวกต่อการใช้ชีวิตจริง ๆ เรามีบริการสนับสนุนเพื่อให้เกิดความพึงพอใจและความสะดวกสบายกับลูกค้า เช่น เราขอเชนโรงแรมกลุ่ม IHG มาสร้างโปรแกรมบริหารนิติบุคคลอาคารชุด นิติบุคคลจึงกลายมาเป็นผู้บริการ เป็นพ่อบ้านให้กับลูกค้า เราต้องทำบริการนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นความไฮเอนด์ก็จะไม่เกิด
The People: คิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดของลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ และลูกค้ากลุ่มนี้ต่างจากสมัยก่อนมากน้อยแค่ไหน
สิริพงศ์: สำหรับลูกค้าลักชัวรี ‘ใจ’ กับ ‘เวลา’ ของลูกค้าสำคัญที่สุด พูดถึงใจก่อน หมายถึงทุกอย่างต้องถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ อุปกรณ์ที่ให้ ต้องมีความเรียบลื่นและแสดงออกถึงความทันสมัยเป็นตัวเขา บริการที่ได้ก็ต้องประทับใจ คือต้องถูกใจไว้ก่อน ตัวที่สองคือเรื่องเวลา ในที่สุดสิ่งที่มีค่าสำหรับมนุษย์ก็คือเวลา การที่ผมนำเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างมาใช้ เพราะมันทำให้เขาได้เวลาที่มีค่าของเขาไปทำเรื่องต่าง ๆ ได้มากขึ้น
วิธีการคิดของไฮเอนด์เจเนอเรชันนี้ไม่เหมือนกับที่ผมเคยทำเมื่อสิบปีที่แล้ว ยุคนี้เขามีความเป็นตัวเองสูง มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองคิด ปรารถนา ไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์เหมือนอดีต และสมัยก่อนความสุขอาจจะอยู่ในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้ความสุขก็อยู่ในครอบครัวนะครับ แต่ไม่ได้อยู่ที่บ้านหรือในห้องอย่างเดียว ตอนนี้คนออกไปเสพประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย เปิดกว้างและปรับรูปแบบการใช้ชีวิตตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้แหละที่เราต้องใช้เป็นปัจจัยในการพัฒนาตัวเรา เขาใช้อะไรถี่ที่สุด เยอะที่สุด ในการดำรงชีวิตอยู่ในห้อง เราต้องตอบสนองตรงนั้นก่อน
[caption id="attachment_9668" align="aligncenter" width="640"]
'Park Origin Phromphong' คือหนึ่งในโปรเจกต์ของแบรนด์ 'Park Origin' ที่สิริพงศ์กุมบังเหียนบริหาร[/caption]
The People: หลายคนบอกว่า ‘แบรนด์’ เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าไฮเอนด์ แต่ ‘Park Origin’ เป็นแบรนด์ไฮเอนด์มาใหม่ของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ คุณจะตีโจทย์นี้อย่างไร
สิริพงศ์: อสังหาฯ เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง แล้วออริจิ้นมาทำเซ็กเมนต์ที่เป็นไฮเอนด์ สิ่งหนึ่งที่ลูกค้าติดอยู่คือเรื่องพื้นเพเดิมหรือเรื่องของแบรนด์
พูดกันตรง ๆ เลยเรื่องของแบรนด์ แบรนด์น้องใหม่ส่วนใหญ่จะถูกท้าทายมากกว่าแบรนด์รุ่นพี่เสมอ เพราะความเหนื่อยยากหรือการจะพิสูจน์ตัวเองในการจะทำแบรนด์เพื่อไปสู่ฐานแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มันต้องใช้ความพยายามมากกว่ารุ่นพี่ 4-5 เท่าตัว คนที่แบรนด์ติดแล้วก็สบายแล้ว แต่ว่าคนที่แบรนด์ยังไม่ติด ก็ต้องใช้สินค้า แนวคิด วัสดุ หรือการส่งมอบเหล่านั้นเป็นการพิสูจน์ตัวเอง
ต้องบอกว่าเราใช้ความอดทนค่อนข้างสูงมาก ๆ ในการจัดการ เพราะผมคิดว่าถ้าเรามุ่งมั่นที่จะมาแน่นอนอยู่แล้ว เราคิดถูกทางแล้ว เวลาก็จะช่วยเรา แต่เราก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพาเราไปอย่างเดียว เราต้องใช้ความสามารถหลาย ๆ อย่าง นำเสนอไอเดียให้มากเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
สำหรับลูกค้าไฮเอนด์ รายละเอียดเป็นพระเจ้า ก็เหมือนกับสมาร์ทโฟนของเรา ติ่งนิดหนึ่งก็ไม่อยากได้ ปุ่มนิดหนึ่งก็ไม่อยากได้ อยากได้เรียบ ๆ เนี้ยบ ๆ ซึ่งเรานำเสนอสิ่งนั้นภายใต้วิธีการคิดกับเทคโนโลยีวิธีการทำงานที่ละเอียด เช่น การจะก่อสร้างห้องน้ำให้เนี้ยบ มันมีเทคนิคอยู่ภายใต้นั้นเยอะ รายละเอียดเป็นเรื่องสำคัญ ถึงจะส่งผลออกมาให้ดูแล้วรู้สึกว่าเหมือนไม่มีอะไร แต่จริง ๆ อะไรมันมากมายก่ายกองอยู่ใต้ความเรียบนั้น
The People: มองว่า ‘Park Origin’ จะช่วยหนุนการเติบโตของบริษัทแม่มากน้อยแค่ไหน
สิริพงศ์: ถ้าดูภาพรวมของออริจิ้น ยอดขายเราขึ้นท็อป 10 หรือท็อป 5 แล้ว แต่ถ้าดูสัดส่วนแยกย่อยลงมา เฉพาะของ ‘Park Origin’ ไม่ได้มีมาก แต่ก็ต้องแบ่งพอร์ตและให้ความสำคัญ เพราะว่าน่านน้ำของกลุ่มนี้ยังโตต่อไป มีผู้บริโภคที่เสพสินค้าที่ต้องการความถูกใจและมีคุณภาพสูง เหมือนกับต้องการเครื่องเสียงที่ดี เสียงทุ้มเสียงแหลมต้องได้ มันจะมีความถูกใจในลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น แบรนด์ ‘Park Origin’ ก็ต้องไปตอบสนองความนุ่มลึกตรงนั้น ต้องมีสิ่งที่ไม่ใช่สินค้าแมส อาจไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ แต่ก็เป็นตลาดที่เราไม่ละทิ้ง
The People: คุณเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ มายี่สิบกว่าปีแล้ว ถึงตอนนี้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
สิริพงศ์: เปลี่ยนไปเยอะมากครับ แล้วต้องบอกว่าพยากรณ์ไม่ถูกด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่วงการอสังหาฯ แล้วจะพยากรณ์ได้แม่น ยุคที่ผมเติบโตใหม่ ๆ คือยุคที่เมืองกระจาย มีถนนใหม่ ๆ เราก็ออกไปสร้างหมู่บ้าน แต่ยุคใหม่กลับไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้ว ไม่ได้อยากไปไกล อยากจะกลับมาอยู่ร่วมกันในแนวตั้งมากขึ้น เพราะมันจะเกิดความสะดวกสบายหลาย ๆ อย่าง
ต้องบอกว่าแนวคิดของอสังหาฯ ไม่เคยจบสิ้น แล้วก็ไม่เคยเหมือนกัน อย่างญี่ปุ่นก็พยายามคิดว่า เก็บป่าไว้เถอะ มาอยู่ในเมืองร่วมกัน เริ่มสร้างมหานครเป็นแนวคิดแบบสุด สุดเหมือนกันที่ว่าสร้างนครบนอาคาร ลักษณะนั้นนะครับ ไม่มีแนวคิดไหนถูกหรือผิด เพียงแต่ว่าเหมาะสมกับเราในเวลา ในแบบนั้น ในช่วงจังหวะนั้นกับคนของเราหรือเปล่า เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าเปลี่ยนแปลงเยอะไหม เยอะไปหมดเลยครับ เยอะไปหมดจนไม่รู้จะบอกว่ามีไอเท็มไหนที่ยังเหมือนเดิมอยู่ด้วยซ้ำไป
The People: ความคิดที่ว่าไม่มีแนวคิดไหนถูกหรือผิด ทำให้คุณได้รับฉายาว่าเป็น ‘นักฉีกกฎ’ จากทีมงานหรือเปล่า
สิริพงศ์: (หัวเราะ) อันนี้โดนมาเยอะ ทั้งฉายา ‘นักฉีกกฎ’ ฉายา ‘เฮียรื้อ’ แต่ว่าผมพยายามบอกน้อง ๆ ว่ามันเป็นวิวัฒนาการ จริง ๆ ที่ฉีกหรือว่าต้องต่อยอดก็คือวิวัฒนาการ แต่ไม่เคยทิ้งกฎ และต้องรู้กฎก่อนถึงจะฉีกได้
ตัวอย่างเช่น บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าทำไมกฎหมายบอกว่าห้องเล็กที่สุดต้องมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 8 ตารางเมตร ที่กำหนดว่า 8 ตารางเมตรคือเขาดูจากการนอนของคนสองคนในช่วงข้ามคืน การใช้อ็อกซิเจนกับคาร์บอนไดออกไซด์ในห้องปิดจะมีปริมาตรที่เพียงพอในการทำให้มีชีวิตอยู่รอดได้ ถ้าเล็กเกินไป อัดกันเกินไป ไม่มีอากาศถ่ายเท ก็จะน็อกได้ ดังนั้น เดี๋ยวนี้เรามีเทคโนโลยี มีเครื่อง VRV ในการถ่ายเทอากาศดีเข้าสู่ตัวห้อง เมื่อติดตั้งไปในห้องนอนก็จะทำให้ลูกค้าหลับสบายมากขึ้น นี่เป็นที่มาว่าทำไมต้องรู้กฎหมายก่อน
The People: หลักคิดการทำงานแบบซีอีโอในสไตล์ ‘สิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์’
สิริพงศ์: ผมคงไม่กล้าบอกว่าตัวเองประสบความสำเร็จไปเสียทุกเรื่อง ต้องมีล้มบ้าง ต้องมีความผิดพลาดให้น้อย แล้วก็จบให้เร็ว เสียหายน้อยที่สุด และทำให้สิ่งที่ประสบความสำเร็จท่วมขึ้นมา วิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ผ่านไป มันไม่ได้บอกว่าแก้วิธีนี้แล้วถูก แก้วิธีนี้แล้วผิด บางเรื่องไม่มีถูกผิด แต่ขอให้จบ อันนี้เป็นคีย์หลักที่ผมเอามาใช้อยู่ตลอดเวลา บางเรื่องแก้ได้มาก บางเรื่องแก้ได้น้อย แต่ขอให้แก้นะครับ แก้ได้เท่าไหร่ ลงตัวตรงไหน ก็พยายามตรงนั้นให้จบ
ต้องบอกว่าไม่มีอาชีพไหนไม่มีแรงกดดันนะครับ (หัวเราะ) กดดันทุกที่ ไม่มีเซ็กเมนต์ไหนที่ไม่กดดัน มันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง ปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน เราก็ต้องไปจัดการตรงนั้นให้ได้ ผมว่าเป็นความท้าทายมากกว่า