Red Lobster ร้านซีฟู้ดดังอายุ 54 ปีที่อยากให้คนกินของดีในราคาเป็นมิตร กับการปักหมุดแรกในไทย

• Red Lobster เป็นร้านอาหารทะเลที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1968 โดย ‘บิล ดาร์เดน’ (Bill Darden) 
• จุดเด่นของร้าน คือ เน้นอาหารที่มีคุณภาพ มีความสดใหม่ รสชาติอร่อยในราคาเป็นมิตร
• ปี 2565 ‘บริษัท เร้ด ล็อบสเตอร์ รีเทล เอเชีย จำกัด’ ในเครือไทยเบฟเวอเรจฯ ได้นำเข้ามาเปิดในไทย โดยยึดจุดขายเดิมไว้
• เปิดสาขาแรกที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และมีแผนจะเปิด 1-3 สาขาใน 1-2 ปี

เมื่อไม่นานมานี้ธุรกิจร้านอาหารในไทยเพิ่งได้ต้อนรับน้องใหม่ (ที่แบรนด์มีมานาน 54 ปี) อย่าง Red Lobster (เร้ด ล็อบสเตอร์) ร้านอาหารทะเลสัญชาติอเมริกันที่โด่งดัง มีสาขากว่า 700 แห่งทั่วโลก โดยการเข้ามาในบ้านเรามี ‘บริษัท เร้ด ล็อบสเตอร์ รีเทล เอเชีย จำกัด’ หนึ่งในกลุ่มธุรกิจอาหาร ภายใต้เครือ ‘บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)’ เป็นผู้บริหาร และเปิดสาขาแรกไปแล้ว ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1968 ‘บิล ดาร์เดน’ (Bill Darden) ได้เปิดร้าน Red Lobster ขึ้นมาที่เมืองเลคแลนด์ รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นร้านอาหารทะเลแบบ Casual Dining ที่ต้องการให้คนที่อาศัยอยู่ห่างจากทะเลได้รับประทานอาหารทะเลได้ง่ายมากขึ้น ในคอนเซปต์ Friends & Family

จุดเด่นของร้านคือเน้นอาหารที่มีคุณภาพ มีความสดใหม่ รสชาติอร่อยในราคาเป็นมิตร และด้วยจุดเด่นนี้เอง ทำให้ร้าน Red Lobster ประสบความสำเร็จหลังเปิดให้บริการเพียง 2 ปี และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว จนต่อมากลายเป็นเชนร้านอาหารทะเลที่โด่งดัง มีการขยายสาขาทั้งในสหรัฐอเมริกาและในหลายประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก ฯลฯ รวมแล้วมากกว่า 700 สาขาทั่วโลก 

นอกจากนี้ยังถูกเสนอชื่อจากนิตยสาร Forbes ให้เป็นบริษัทยอดเยี่ยมในสหรัฐอเมริกาในด้าน America’s Best Large Employers และ Best Employers for Diversity ประจำปี 2022 

Red Lobster สาขาแรกในไทย

สำหรับการเดินทางสู่ประเทศไทยของร้าน Red Lobster ‘นงนุช บูรณะเศรษฐกุล’ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า มาจากโจทย์ที่ทางบริษัทฯ ต้องการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น ซึ่งแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และแม้จะอยู่มานาน 54 ปี แต่คนรุ่นใหม่ยังอยากมาลองอยู่

 

“เราทำอะไรจะนึกถึงลูกค้าเป็นหลัก และคนไทยเป็นคนที่ชอบกินอาหารหลากหลาย แบรนด์นี้มีมานานเป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะคนที่เคยไปเรียนหรือไปทำงานที่อเมริกา และในไทยไม่มี เลยมองเป็นโอกาสที่สามารถเติบโตได้อีกมาก”

ระยะแรกร้าน Red Lobster ในไทย ยังคงเสน่ห์ตามแบบฉบับเดิมไว้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจุดขายของอาหารที่เน้นคุณภาพ ความสดไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งมาก โดยล็อบสเตอร์ที่ใช้จะนำเข้ามาจากแคนาดา แหล่งที่มีชื่อเสียงว่าล็อบสเตอร์ตัวโตและกล้ามใหญ่ บวกกับการอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกที่มีกระแสน้ำเย็น จึงทำให้เนื้อมีความหวานกว่าจากแหล่งอื่น

 ในส่วนของเมนูอาหารที่พลาดไม่ได้เมื่อมาร้านนี้ อาทิ Live Maine Lobster ที่ทางร้านเลือกใช้ล็อบสเตอร์น้ำหนักประมาณ 550 - 600 กรัมต่อตัว นำมาปรุงด้วยวิธีการนึ่งไอน้ำ ทำให้เนื้อล็อบสเตอร์คงความสดและเนื้อสัมผัสนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง กินคู่กับ Butter Sauce แบบ Original Red Lobster เสิร์ฟพร้อมร็อกเก็ตสลัดและเฟรนช์ฟรายส์  

Spaghetti Aglio Olio with Bacon & Live Maine Lobster สปาเกตตีพริกกระเทียม เบคอน มาพร้อม  Live Maine Lobster ทั้งตัว ปรุงรสด้วยเนยกระเทียม และ Cheddar Bay Biscuits เป็นเมนูยอดฮิตที่เป็นซิกเนเจอร์ของทางร้านตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เป็นต้น

แต่จะมีซิกเนเจอร์ที่มีเฉพาะในไทยแห่งเดียวก็คือ ‘น้ำจิ้มซีฟู้ด’ และในอนาคตจะมีเมนูใหม่ที่เป็นการพัฒนาร่วมกันออกมา  

หวังกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น

ส่วนเหตุผลที่เลือกเปิดร้านสาขาแรกที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพราะว่าต้องการขยายกลุ่มเป้าหมายไปในกลุ่มนักธุรกิจและชาวต่างประเทศ นอกเหนือจากกลุ่มเป้าหมายเดิมของแบรนด์ ในกลุ่มครอบครัว, กลุ่มคนวัยทำงาน, พนักงานออฟฟิศ, ลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารทะเลและอาหารสไตล์ตะวันตก 

“เรามองว่าปิดประเทศมานาน คนต่างชาติจะกลับมา และโลเคชั่นที่เปิดจะมีกลุ่มนักธุรกิจ ชาวต่างชาติ ซึ่งการดึงแบรนด์ต่างประเทศมาอยู่ที่นี่เป็นที่เชิดหน้าชูตา แสดงศักยภาพของประเทศไทย แล้วกลุ่มที่เคยกินตอนไปเรียนอเมริกา จะกลับมารียูเนียนที่นี่”

สำหรับการคาดหวัง นงนุชกล่าวว่า อันดับแรกของคนทำธุรกิจ คือต้องประสบความสำเร็จ สามารถเดินต่อไปได้ในระยะยาวอย่างแข็งแรง ซึ่งการเปิดแบรนด์ใหม่ในช่วง 1 - 2 ปี จะไม่ค่อยเร่งสปีดเปิดสาขามากนัก เพราะถ้ารีบมากไปจะ ‘สะดุด’ โดยวางไว้ 1 - 3 สาขาในปีแรก เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางถึงจะขยายสาขาไปเรื่อย ๆ 

ถัดมาต้องการเรียนรู้ Global Standard จากร้าน Red Lobster ซึ่งเป็น International Brand เพื่อจะนำมาช่วยยกระดับและพัฒนามาตรฐานแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจทั้งหมดของไทยเบฟ

ที่สำคัญ จะทำให้คนในเครือได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ พร้อมกับเพิ่มศักยภาพ และพัฒนาให้เห็น Career Part ในการเติบโตบนเส้นทางการทำงานร่วมกับกลุ่มไทยเบฟได้ชัดเจนขึ้น  

“เมื่อก่อนอยู่แบรนด์เดิมแล้วเกืดเบื่อ ก็จะลาออก ตอนนี้พอมีแบรนด์ใหม่มา ทำให้สามารถขยับได้ และเห็นทางเติบโต เพราะอย่างที่รู้กันเมื่อก่อนหากหัวหน้าไม่ขยับ ลูกน้องก็ขยับเพื่อโตยาก ดังนั้นการมีแบรนด์ใหม่ทั้งเราพัฒนาเอง หรือนำมาจากต่างประเทศ จะมาเป็นการดูแลในเรื่องนี้”

.

ภาพ : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม