‘จอห์น เดวิดสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์’ เจ้าของ ‘Esso’ ราชาน้ำมันที่(เคย)รวยที่สุดในโลก

‘จอห์น เดวิดสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์’ เจ้าของ ‘Esso’ ราชาน้ำมันที่(เคย)รวยที่สุดในโลก

ทำความรู้จัก ‘จอห์น เดวิดสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์’ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เคยขึ้นแท่นรวยที่สุดในโลก เจ้าของ ‘ExxonMobil’ หรือปั๊ม Esso ซึ่งจากนี้กิจการในไทย จะเป็นของ ‘บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ หลังจากเข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่า 55,500 ล้านบาท

  • ‘จอห์น เดวิดสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์’ เป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เคยขึ้นแท่นคนที่รวยที่สุดในโลก เจ้าของ ‘ExxonMobil’ หรือปั๊ม Esso ที่คนไทย
  • เขาเป็นคนทำทุกวิธีทาง (บางครั้งก็บีบให้รายเล็ก หรือคู่แข่งอยู่ไม่ได้)เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองยิ่งใหญ่ 
  • แม้ร่ำรวยมหาศาล แต่การทำงานหนัก และเครียด ทำให้ในวัย 50 กว่าปี เขาป่วยหนัก และเริ่มเรียนรู้สร้างความสุขให้ชีวิตผ่านคำว่า ‘ให้’ 
  • เขาได้ก่อตั้ง ‘มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์’ ด้วยเงิน 500 ล้านดอลลาร์ ช่วยเหลือด้านการกุศล

แม้เขาจะจากโลกนี้ไปนาน แต่ยังเป็นตำนานให้มหาเศรษฐีรุ่นปัจจุบัน อาทิ บิลล์ เกตส์ หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตอยู่เสมอ 

หากย้อนกลับไปเมื่อราว 20 - 30 ปีที่แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในธุรกิจที่ทรงพลังที่สุดของโลก คือธุรกิจน้ำมัน และหนึ่งในบริษัทที่เคยติดทำเนียบบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ยาวนานกว่า 20 ปี (หากย้อนกลับไประหว่างปี ค.ศ. 1996 - 2017) ก็คือ ‘ExxonMobil’ หรือปั๊ม Esso ที่คนไทยเรียกติดปากจนคุ้นชินหู

แม้ในวันนี้ด้วยวิกฤตราคาน้ำมัน และการมาถึงของพลังงานสะอาด จะทำให้มูลค่ากิจการเกี่ยวกับน้ำมันลดลง ทว่าหากย้อนเวลากลับไป เส้นทางของ ExxonMobil นับว่ารุ่งโรจน์ถึงขีดสุด 

ภายใต้การกุมบังเหียนของ ‘จอห์น เดวิดสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์’ (John D. Rockefeller) มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เคยขึ้นแท่นคนที่รวยที่สุดในโลก 

จากพนักงานบัญชีสู่ธุรกิจน้ำมัน

ชายที่เชื่อว่า ทุกวิกฤตคือโอกาสอย่าง ร็อกกี้เฟลเลอร์ เกิดที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในฟาร์มเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในปี 1839 เขามีพ่อที่เป็นนักค้าขายที่ชื่อเสียงดูไม่ค่อยดีนัก มีข่าวว่า ชอบหลอกขายยาที่อ้างว่ามีสรรพคุณรักษาได้ทุกโรค ทั้งยังคบซ้อนและไม่ค่อยดูแลครอบครัวเสียเท่าไร ส่วนแม่เป็นหญิงที่เคร่งในศาสนาคริสต์แบ๊บติสต์ ซึ่งเป็นผู้ที่คอยอบรมสั่งสอนเขามาโดยตลอด

ร็อกกี้เฟลเลอร์ฉายแววนักค้าขายในช่วงราวปี 1853 ตอนที่ครอบครัวของเขาย้ายไปรัฐโอไฮโอ เริ่มต้นด้วยการระบายสีก้อนหินขายให้กับเพื่อน ๆ จนได้เงินเก็บราว 50 ดอลลาร์ ก่อนนำเงินดังกล่าวไปปล่อยกู้ให้กับเพื่อนบ้าน คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี

ในวัย 16 ปี เขาได้รับงานแรกเป็นผู้ช่วยพนักงานบัญชีให้กับบริษัทนายหน้าขนาดเล็กชื่อ ‘เฮวิตต์แอนด์ทัตเทิล’ ซึ่งที่นั่นสอนให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการคำนวณเงินโลจิสติกส์ เขาทำงานจนได้รับตำแหน่งเป็นพนักงานบัญชีในที่สุด

แต่แน่นอนว่า หัวการค้าของร็อกกี้เฟลเลอร์ไม่ให้เขาหยุดอยู่แค่ตำแหน่งพนักงานบริษัท ในปี 1859 เขาหันมาทำธุรกิจแรกของเขา ด้านสินค้าเกษตร - เป็นตัวแทนจำหน่ายเมล็ดข้าว ฟาง เนื้อสัตว์ ฯลฯ ธุรกิจไปได้ดีมาก เนื่องจากเกิดสงครามกลางเมือง ทำให้ความต้องการอาหาร ข้าว ขนมปัง มีมากกว่าปกติ

จังหวะนี้เอง เขาเริ่มเห็นช่องทางว่าธุรกิจน้ำมันจะเป็นบ่อทองคำในอนาคต เนื่องจากในเวลานั้น ราคาน้ำมันไขปลาวาฬและราคาน้ำมันขุดเจาะมีราคาสูงมาก จากความต้องการของตลาด

ถัดมาหลังจากไม่ลงรอยกับเพื่อนที่เปิดบริษัทอาหาร เขาหันมาร่วมตั้งบริษัทกับ ‘ซามูเอล แอนดรูว์ส’ (Samuel Andrews) และ ‘เฮนรี่ เอ็ม. แฟล็กเลอร์’ (Henry M. Flagler) ภายใต้ชื่อบริษัทว่า ‘ร็อกกี้เฟลเลอร์ แอนดรูว์ส แอนด์แฟล็กเลอร์’ เพื่อเดินหน้าธุรกิจน้ำมันอย่างเต็มตัว 

จุดสำคัญหนึ่งที่ทำให้บริษัทน้ำมันของร็อกกี้เฟลเลอร์พุ่งทะยานในเวลาอันรวดเร็ว คือ ซามูเอล แอนดรูว์ส เขาเป็นนักเคมีชาวยิวจากอังกฤษ ผู้ได้รับฉายา ‘อัจฉริยะด้านเคมี’ แทนที่จะขุดหาน้ำมัน พวกเขากลับหาวิธีกลั่นน้ำมันที่ต้นทุนถูกกว่าแทน จากนั้นพวกเขาเริ่มหาซื้อโรงกลั่นในคลีฟแลนด์ โอไฮโอ และทำการกลั่นน้ำมันให้กับบริษัทของตนเอง 

ต่อมาในปี ค.ศ. 1870 ร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ก่อตั้งบริษัทน้ำมันอย่างเป็นทางการขึ้น ในนามว่า สแตนดาร์ด ออยล์ (Standard Oil ผู้ผลิตน้ำมัน Esso) ชื่อบริษัทน้ำมันที่คนทั่วโลกรู้จัก และเป็นบริษัทแม่ของทั้ง Exxon และ Mobil (ก่อนควบรวม) นั่นเอง

ร็อกกี้เฟลเลอร์ราชาธุรกิจน้ำมัน

การเกิดขึ้นของสแตนดาร์ด ออยล์ ถือเป็นการกำเนิดของราชาน้ำมันในเวลาต่อมา ร็อกกี้เฟลเลอร์ไม่ได้คิดจะหยุดธุรกิจของเขาแค่เพียงการกลั่นขาย แต่มีความคิดที่จะควบรวมธุรกิจน้ำมันรายย่อยต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

แน่นอนด้วยเทคโนโลยีกลั่นต้นทุนต่ำของแอนดรูว์ส ทำให้สแตนดาร์ด ออยล์ เติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น สแตนดาร์ด ออยล์ กลายเป็นธุรกิจที่ควบคุมกิจการน้ำมันได้เกือบ 90% ในเวลานั้น (ช่วงปี 1870s) ซึ่งร็อกกี้เฟลเลอร์มีอายุเพียงวัยกลางคนเท่านั้น

การควบรวมและขยายในสเกลขนาดนี้ หากเกิดขึ้นในอเมริกา ในยุคปัจจุบันคงจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากถือเป็นการ ‘ผูกขาดทางธุรกิจ’ แน่นอนว่ากรณีสแตนดาร์ด ออยล์ ก็ขึ้นแท่นเป็น case study ที่ใช้สอนในหลายคลาสเรียนในทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่และความร่ำรวยของสแตนดาร์ด ออยล์ ก็สั่นคลอนลงในช่วงปี 1911 หลังถูกฟ้องว่าบริษัทผูกขาดธุรกิจน้ำมัน ทำให้ศาลอเมริกาสั่งให้หั่นแยกบริษัทออกมาเป็นกว่า 30 บริษัท อาทิ ExxonMobil และ Chevron เป็นต้น

ทว่าการแยกร่างในครั้งนี้ก็ไม่ใช่จุดจบของธุรกิจของร็อกกี้เฟลเลอร์เสียทีเดียว ในสหรัฐอเมริกายิ่งใหญ่ไม่ได้ ก็ไปต่างประเทศเสียเลย… 

การขยายธุรกิจไปต่างประเทศของร็อกกี้เฟลเลอร์ประสบความสำเร็จอย่างมาก การโดนหั่นบริษัทออกจากกันไม่ได้ทำให้เขาจนลงเลย - ร็อกกี้เฟลเลอร์กลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดแห่งยุคใหม่ เขาถูกประเมินว่าทรัพย์สินมีมากกว่า 10 ล้านล้านบาท กลายเป็นราชาแห่งโลกน้ำมันอย่างเต็มภาคภูมิ และตระกูลของเขากลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอเมริกา มาจนถึงทุกวันนี้ 

เข้าใจว่า…กระทั่งวันนี้ ยังไม่มีใครสามารถรวยหรือมีทรัพย์สินมากกว่าเขาได้

 

การเกษียณของร็อกกี้เฟลเลอร์

ร็อกกี้เฟลเลอร์ - เขาเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจคนหนึ่ง

เขามองหาโอกาสเสมอ ในทุกจังหวะ

เขาไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ และมองเส้นทางไว้ยาวไกล โดยมองว่าทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ ดังที่เขาเคยเขียนจดหมายถึงลูกชายโดยบอกว่า “พ่อชอบเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่เคยยอมแพ้”

แต่ก็ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาเป็นคนที่เฉียบขาด และมองผลกำไรเป็นตัวตั้ง เพราะหากย้อนกลับไปในยุค 1870s ที่เขาเริ่มตั้งสแตนดาร์ด ออยล์

เขาเป็นนักธุรกิจที่ทำทุกอย่างเพื่อขยายโรงกลั่นน้ำมันของเขาให้ยิ่งใหญ่ที่สุด

ในปี 1872 โรงกลั่นน้ำมันในโอไฮโอ 26 แห่ง เป็นของเขาไปแล้ว 22 แห่ง ด้วยวิธีบีบโรงกลั่นที่เล็กกว่า ตั้งราคาถูกกว่าในฐานะโรงงานใหญ่ หรือการขยายระบบโลจิสติกส์ชนิดส่งตรงหน้าบ้านลูกค้า ทำให้รายอื่นอยู่ไม่ได้ 

นั่นทำให้เขากลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก…

ทว่าการรวยที่สุดในโลกก็ได้สอนเขาหลายอย่าง หลังจากหลายสิบปีของการทำงานหนัก เครียด คิด ตลอดเวลา ไร้ซึ่งช่วงเวลาแห่งเสียงหัวเราะ ในวัย 50 กว่าปี เขาล้มป่วยหนัก

เขาจึงเริ่มคิดถึงเรื่องการบาลานซ์สิ่งต่าง ๆ ในชีวิต - หากมีเงินมากมาย แล้วสุขภาพแย่ ความสุขที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์’ ที่เขาใช้เงิน 500 ล้านดอลลาร์ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการกุศล ทั้งด้านการศึกษา การแพทย์ วิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะเกษียณตัวเองในปี 1902 ในวัย 63 ปี และจากโลกนี้ไปในอีก 34 ปีต่อจากนั้น ในวัย 97 ปี ซึ่งถือว่าเป็นอายุที่ยาวนานเลยทีเดียว

แม้ว่าร็อกกี้เฟลเลอร์จะจากไปแล้ว แต่เขายังเป็นตำนานให้มหาเศรษฐีรุ่นปัจจุบันเรียนรู้บทเรียนชีวิตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ เกตส์ หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ตาม

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น แม้ทุกวันนี้บริษัทน้ำมันจะมีมูลค่าลดลงจากวิกฤตราคาน้ำมัน แต่ ExxonMobil ก็ยังคงเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงอยู่ดี โดยมูลค่าในเดือนมกราคม 2023 อยู่ที่ 439,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในประเทศไทย ExxonMobil เข้ามาทำธุรกิจเกือบ 125 ปีแล้ว ภายใต้ชื่อ ‘เอสโซ่’ (Esso) เริ่มจากกิจการค้าน้ำมันก๊าดในปี พ.ศ. 2437 ปัจจุบันมีโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมีในอำเภอศรีราชา เครือข่ายคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ และธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติ โดยมีพนักงานในไทยกว่า 3,000 คน

เมื่อไม่นานมานี้มีกระแสข่าวว่า บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะเข้าซื้อกิจการเอสโซ่ในประเทศไทยทั้งหมด ด้วยมูลค่า 55,500 ล้านบาท ซึ่ง ณ ตอนนั้นทั้งสองบริษัทปฏิเสธไม่ให้ความเห็นถึงกระแสข่าวดังกล่าว

แต่วันนี้ (12 มกราคม 2023) ทางบางจากฯ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ได้ปิดดีลนี้เรียบร้อยแล้ว พร้อมให้เหตุผลของการเข้าซื้อว่า เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากและประเทศไทย เพราะการลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง คือ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ซึ่งจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง 

โดยคาดว่า การซื้อขายครั้งนี้จะแล้วเสร็จช่วงครึ่งหลังของปี 2023 และนี่อาจเป็นการปิดฉากธุรกิจในไทยของเอสโซ่ 

.

ภาพ : Getty Images, ExxonMobil

.

อ้างอิง

.

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

macrotrends 

blockdit

exxonmobil