/ เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในปีหน้า ฤดูใบไม้ผลิดอกไม้จะแย้มกลีบงดงาม หลับตาฝันกลางค่ำคืนฤดูร้อน สัมผัสฤดูใบไม้ร่วง จากนั้นเป็นลมหนาว สี่ฤดูวนครบรอบปี และฤดูใบไม้ผลิจะหวนกลับมา… /
แม้ห่างหายจากการปล่อยเพลงใหม่มาตั้งแต่ปี 2018 แต่ผู้คนที่รักและรอการกลับมาของ ‘BIGBANG’ นั้นยังล้นหลามไม่ต่างจากที่เคย ในปีนั้น ศิลปินที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘Kings of K-Pop’ กลุ่มนี้ ได้บรรจงฝากเพลง ‘Flower Road’ เอาไว้ และด้วยเนื้อร้องอย่าง ‘นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งสุดท้ายของเรา วันที่ดอกไม้ผลิบาน เราจะพบกันอีกครั้ง’ ที่ปรากฏในเพลง ก็ทำให้ ‘V.I.P’ หรือแฟนคลับของพวกเขา แน่ใจได้ว่าการพบกันครั้งใหม่ผ่านเสียงดนตรี ของศิลปินกลุ่มนี้และแฟน ๆ จะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน
แม้ระหว่างความเงียบงันอันน่าใจหายซึ่งเกิดขึ้นบ้างระหว่างที่ BIGBANG ไม่ได้เคลื่อนไหวในนามวง V.I.P จะต้องรับมือกับข่าวร้ายว่าด้วยคดีความและการยุติบทบาทบนเส้นทางบันเทิงของ ‘อี ซึงรี’ สมาชิกผู้มีศักดิ์เป็น ‘มักเน’ ของวง ทำให้แฟน ๆ หลายคนรู้สึกได้ว่าระหว่างช่วงเวลาแห่งการรอคอยนั้น ในความเป็นจริงคงห่างไกลกับ ‘เส้นทางสายดอกไม้’ อันมีความหมายถึงเส้นทางชีวิตที่เปี่ยมสุขและงดงามตามในเพลงที่ BIGBANG กล่าวอยู่ไม่น้อย แต่ก็จริงอย่างที่ V.I.P หลายคนมักพูดติดตลกกันอยู่เสมอว่า ‘V.I.P รอเก่งนะ’
พวกเขา (และเราด้วย) รอคอยอย่างมีหวัง กระทั่งวันเวลาผ่านไป 4 ปี นับจากการปล่อยเพลงครั้งสุดท้าย ‘ดอกไม้’ ดอกแรกก็ผลิบาน พร้อมด้วยหมู่มวลกลีบเล็กกลีบน้อยที่ค่อย ๆ แย้มกลีบเผยกายประดับโลก
BIGBANG ทำตามคำสัญญาที่พวกเขาให้ไว้ ด้วยการกลับมาพร้อมทุ่งดอกไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิ และพา ‘Still Life’ มาให้พวกเรารัก ด้วยท่วงทำนองเพลงป็อปหวานปนเศร้า เนื้อเพลงที่แต่งโดย ‘G-Dragon’ และ ‘T.O.P’ เริ่มต้นด้วยสัจธรรมของโลกใบนี้และฤดูทั้ง 4 - 4 ฤดูเช่นเดียวกับพวกเขาที่เหลืออยู่ 4 คน
ด้วยความหมายที่เล่าไว้ในเนื้อความ และสัญญะที่วาดระบายในมิวสิกวิดีโอ ‘Still Life’ ทำให้ผู้เขียนนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ตนเองรู้จัก BIGBANG นึกถึงวัยเยาว์ในครานั้น นึกถึงวันที่ความสุขโดยมากของเราผูกพันกับรอยยิ้มและความสำเร็จของเขา นึกถึงช่วงเวลาที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับทุกเพลงของวง นึกถึงวันที่ไลต์สติ๊กรูปมงกุฎสีเหลืองนับหมื่นกลายเป็นทะเลดาว สุกสกาวไปทั่วโถงจัดแสดง
และพร้อมกันนั้น ผู้เขียนนึกถึงหลักไมล์ที่ศูนย์ของพวกเขา นึกถึงจุดเริ่มต้นของ BIGBANG ศิลปินที่ใครหลายคนยกให้เป็นบอยแบนด์เกาหลีวงแรกที่พวกเขารัก - ยังรักอยู่ในปัจจุบัน - และจะยังรักในวันต่อ ๆ ไป
ฤดูใบไม้ผลิเมื่อสิบหกปีที่แล้ว
จุดเริ่มต้นที่พาพวกเขาก้าวออกจากห้องซ้อมขึ้นสู่เวที และกลายเป็นวงที่ผู้คนมากมายมอบความรักให้นั้นถูกบรรจุอยู่ใน ‘BIGBANG The Beginning’ (2006) ทีวีโชว์เชิงสารคดีจากค่าย ‘YG Entertainment’ ว่าด้วยการฝ่าฟันเพื่อความฝันของเด็กฝึกหัด 6 คน ที่จะถูกคัดเลือกให้ได้เดบิวต์เป็นศิลปินใต้ชื่อวงเปี่ยมความหมาย ‘BIGBANG’
ภายใต้ ‘การระเบิดครั้งใหญ่’ นั้นบรรจุความตั้งใจของ ‘ยาง ฮยอนซอก’ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารค่าย YG ที่ต้องการสร้างบอยแบนด์ซึ่งพร้อมสรรพด้วยความสามารถทั้งแร็ป ร้อง เต้น และเอนเตอร์เทนคนดู ในหนึ่งวง โดยเด็กฝึกที่อยู่ใต้ปีกโปรเจกต์นั้นได้แก่
‘ควอน จียง’ หัวหน้าวงวัย 18 ปี ผู้มีทักษะการแร็ปโดดเด่น และเดบิวต์ในฐานะแร็ปเปอร์อันเดอร์กราวนด์ตั้งแต่อายุ 12 ปี เขาถูก YG ทาบทามและกลายเป็นเด็กฝึกนับจากนั้น นับถึงวันที่โปรเจกต์คัดเลือกเกิดขึ้น ก็นับขวบปีแห่งการฝึกฝนได้ 6 ปี เช่นเดียวกับ ‘ทง ยองเบ’ นักร้องเสียงหวานมีเอกลักษณ์ ที่อายุเท่ากับจียงและเริ่มต้นฝึกในช่วงเวลาไล่ ๆ กัน ขณะที่คนอื่น ๆ นั้นบ่มเพาะความสามารถใต้หลังคาค่ายมาน้อยปีกว่า
ช่วงเวลาดังกล่าว ‘คัง แดซอง’ คือเด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่มีหัวใจรักในเสียงดนตรี แม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว โดยเฉพาะพ่อของเขาที่ต่อต้านอาชีพนักร้องหัวชนฝา ‘ชเว ซึงฮยอน’ หรือที่ตอนนั้นถูกเรียกว่า ‘ซึงฮยอนใหญ่’ คือแร็ปเปอร์วัย 19 ปี ที่ออกจากโลกอันเดอร์กราวนด์และก้าวสู่โลกของค่ายเพลง เขาเต็มไปด้วยความสามารถเมื่อขยับปากแร็ป จุดอ่อนเดียวของเขาคือการเต้น ต่างจาก ‘อี ซึงฮยอน’ หรือ ‘ซึงฮยอนเล็ก’ น้องเล็กวัย 16 ปี ที่มีจุดแข็งเป็นการขยับตัวเต้นได้ดั่งใจ ส่วน ‘จาง ฮยอนซึง’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ก็มีดวงตากลมโตและเสียงร้องหวาน ๆ เป็นเสน่ห์ประจำตัว
พวกเขาทั้ง 6 รู้ดีตั้งแต่เริ่มถ่ายทำ ‘BIGBANG The Beginning’ ตอนแรก ๆ ว่าการถ่ายทำรายการกึ่งสารคดีในครั้งนี้ การฝึกซ้อมและการประเมินรายสัปดาห์ต่อจากนี้ คือโค้งสุดท้ายแห่งการเป็นเด็กฝึกหัดภายใต้ชายคา YG ของพวกเขา เช่นเดียวกับที่พวกเขารู้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ฝึกมาด้วยกันจะได้เดบิวต์ในนาม ‘BIGBANG’ สมาชิกในห้องซ้อมทั้ง 6 คน จะมีบางคนสมหวัง ได้เหยียบสองเท้าขึ้นเวที และมีบางคนผิดหวัง ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านหรือออกเดินทางครั้งใหม่บนเส้นทางอื่นต่อไป
นั่นคือวัยเยาว์ของพวกเขาที่เรารู้จัก คือช่วงเวลาที่ความฝันของพวกเขาผลิบานแล้วริบหรี่ ริบหรี่แล้วผลิบาน ตามความไม่แน่ไม่นอนของการประเมินที่ขึ้นตรงกับความสามารถของพวกเขาเอง พวกเขาฝึกซ้อมด้วยกัน พยายามมากมายเพื่อเอื้อมคว้าความฝัน บางคนคว้ามันได้ บางคนแตะเส้นชัยในนาทีสุดท้ายของการแข่ง อีกคนต้องบอกลาสนาม ก่อนโอบประคองตนเองเพื่อเริ่มการเดินทางรอบใหม่
สุดท้าย BIGBANG ก็เดบิวต์ด้วยสมาชิก 5 คน ‘ควอน จียง’ กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘G-Dragon’ ส่วน ‘ทง ยองเบ’ ก็เปล่งประกายสมชื่อ ‘แทยัง’ ที่เขาได้รับ ‘แดซอง’ ก็ยังเป็น ‘แดซอง’ ที่มาพร้อมกับรอยยิ้ม ส่วนสองซึงฮยอนก็ถูกเรียกขานด้วยนามใหม่ ‘ซึงฮยอนใหญ่’ กลายเป็น ‘T.O.P’ ส่วนน้องเล็กของวงก็ถูกเรียกขานด้วยชื่อ ‘ซึงรี’ นับจากนั้น
ทะเลดาวและทุกฤดู
พวกเขาตะโกนทักทายโลกทั้งใบด้วยเพลง ‘LA-LA-LA’ และโลกก็ร้องตอบกลับมา - พวกเราร้องตอบกลับไป ไม่ว่าจะเป็นเพลง ‘HARU HARU’, ‘LIE’ หรือเพลงอื่นใดจากขวบปีแรก ๆ ของพวกเขา V.I.P มากมายจะกู่ตะโกนให้ดังทัดเทียมกัน ให้มีแต่เสียงของพวกเขาทั้ง 5 และพวกเราที่ไม่อาจนับจำนวนดังก้องระหว่างคอนเสิร์ตทุก ๆ ครั้ง
และเมื่อ G-Dragon เป็นคนแรกในอุตสาหกรรมเคป็อปที่คิดขึ้นมาว่าท่ามกลางแสงหลากสีเพลินตาบนเวที ตัดกับความมืดของโซนที่นั่งสำหรับผู้ชม ควรจะมี ‘Light Stick’ หรือ ‘แท่งไฟ’ ให้แฟนคลับถือ เพื่อที่ศิลปินจะได้รู้ว่าแฟนคลับของตนเองนั่งอยู่ตรงไหน - V.I.P จึงเป็นแฟนคลับไอดอลกรุปกลุ่มแรกถือแท่งไฟและโบกมันระหว่างรับชมคอนเสิร์ต รูปลักษณ์ของมันเป็นมงกุฎสีเหลือง เมื่อแฟนคลับทั้งหมดเปิดไฟพร้อมกัน ไลต์สติ๊กรูปมงกุฎก็จะกลายเป็นทะเลดาวสีเหลืองสดใส และงดงาม
วัยเยาว์ของเราที่มี BIGBANG เป็นส่วนประกอบมีสีเหลืองสดใส และงดงาม
เสียงดนตรีและการมีอยู่ของ BIGBANG ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตใครหลายคน พวกเขาโด่งดังอย่างที่เคยวาดฝันไว้ และยิ่งใหญ่เกินฝันสำหรับผู้คนที่คอยเฝ้ามอง บทเพลง เวที โชว์ เสียงร้องรับ และแท่งไฟ เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและแฟนคลับให้เปี่ยมความหมาย แฟนจำนวนมากที่พร้อมสนับสนุนราวลมใต้ปีกส่งศิลปินของตนให้ทะยานไปข้างหน้า ขณะที่เสียงเพลงของคนทั้ง 5 ก็ต่อชีวิต เติมวันพรุ่งนี้ให้กับคนมากมาย
ตลอดช่วงเวลานานปีที่น่าจดจำนั้น มีบางอย่างผู้เขียนเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมาจริง ๆ ก็ตอนฟัง ‘Still Life’ นั่นคือความรู้สึกที่ว่า
รู้ตัวอีกที เราก็กลายเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว
การบอกลาวัยเยาว์และเก้าอี้เปล่าที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
ความหมายหนึ่ง ‘Still Life’ ที่ BIGBANG เลือกใช้เป็นชื่อเพลงนั้นแปลได้ว่าภาพนิ่ง เป็นประเภทหนึ่งของงานศิลปะซึ่งวาดเขียนลงบนกระดาษหรือผืนผ้าใบ ขณะที่อีกนัย มันอาจหมายความได้ถึงการใช้ชีวิต หมายถึงทุกนาทีที่เข็มนาฬิกาก้าวไปข้างหน้า ผ่านวันเวลา และความทรงจำบางอย่างที่ผ่านพ้นตามวันแต่ถูกบันทึกในความทรงจำคล้ายภาพนิ่งภาพโปรดในใจ
เริ่มด้วยการพูดถึงสัจธรรมของโลกอย่างฤดู และการกล่าวถึง ‘บทเพลงสี่ฤดู’ ที่ประพันธ์โดยนักแต่งเพลงแห่งยุคบาโรก ‘อันโตนีโอ วีวัลดี’ (Antonio Vivaldi) BIGBANG ได้พาเราบอกลาวัยเยาว์ไปด้วยกันในท่อนถัดมา
/ ลาก่อนวัยเยาว์อันเป็นที่รัก ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวอันแสนสวยงามของเรา /
ระหว่างที่ขับร้องเพลงด้วยเสียงนุ่มหูเป็นเอกลักษณ์ ‘แทยัง’ นั่งอยู่กลางลานดอกไม้บนเรือที่คลับคล้ายว่าอิงมาจาก ‘เรือโนอาห์’ สื่อถึงตัวตนของเขาที่ศรัทธาในพระเจ้า และล่องเรือออกไปเพื่อพบโลกใบใหม่ - อาจเป็นโลกในชีวิตจริงหลังลงจากเวที แทยังเป็นคนแรกในหมู่พวกเขาที่พบรักและสร้างครอบครัวด้วยการแต่งงาน
ถัดมา ‘แดซอง’ ก้าวสองเท้าเข้ามาในห้องหนึ่ง และนั่งลงอย่างเดียวดายบนเก้าอี้ตัวหนึ่งจากเก้าอี้ 4 ตัวที่ตั้งอยู่ นาฬิกาเดินหน้า สีของภาพเปลี่ยนจากขาว-ดำเป็นมีสีสัน สัญญะเหล่านั้นสื่อถึงวงและความทรงจำอย่างชัดเจน บ้างตีความว่าเก้าอี้ 4 ตัวนั้นหมายถึงสมาชิก BIGBANG ที่เหลือหลังซึงรีประกาศถอนตัวจากเส้นทางดนตรี อันเนื่องมาจากคดีในชั้นศาล แต่บ้างก็คาดเดาว่าเก้าอี้ทั้ง 4 อาจหมายถึงสมาชิกทั้งหมดยกเว้น G-Dragon ที่จะมีเก้าอี้ของตนในอีกไม่กี่ฉากข้างหน้า และเก้าอี้ตัวสุดท้าย ที่ V.I.P ตาดีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่ามีตำหนิและบิ่นร้าวอยู่เล็กน้อย อาจหมายถึงน้องเล็กที่เคยเดินทางร่วมกับพวกเขาก็เป็นได้
ความทรงจำของแดซองเรียกน้ำตา และฉากถัดมา G-Dragon กางร่ม, ร่มสีรุ้งที่เขาถือแม้ไม่มีฝน อาจเป็นตัวแทนของโลกหลากสีในแวดวงแฟชั่น ขณะเดียวกันมันก็อาจเป็นเครื่องหมายของจียงในฐานะหัวหน้าวงผู้ถือร่มหนึ่งคันไว้กันแดด ฝน และลมหนาวให้เหล่าสมาชิกและแฟนเพลงของพวกเขาเสมอ
พี่ใหญ่ของวงปรากฏกายขึ้นเป็นคนสุดท้าย ท่ามกลางบรรยากาศเปลี่ยวเหงาและหิมะบนต่างดาว และเมื่อการแต่งกายของ ‘T.O.P’ สื่อถึงกระต่าย ดวงดาวที่เขาเหยียบเดินอาจเป็นดวงจันทร์อันสื่อถึงความโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา ที่เขาต้องเผชิญในปีที่ผ่าน
BIGBANG ไม่ใช่ศิลปินที่ไม่เคยทำผิดพลาด อันที่จริงศิลปินทุกคนก็เป็นเพียงมนุษย์ที่มีข้อบกพร่องมากน้อยต่างกันไป ท่อนแร็ปของ T.O.P เล่าถึงเรื่องราวเหล่านั้น ต่อท้ายด้วยการก้าวต่อไป เป็นคนที่ดีขึ้น พร้อมถ้อยคำ ‘for life’ หน้ากากรูปกระต่ายก็ถูกถอด ใบหน้าของ ‘ซึงฮยอน’ ที่มองมายังเรา ยังเหมือนวันวานครั้งที่เราได้เห็นเขาครั้งแรก
‘ฉันคิดถึงเหล่าหญิงและชายที่ร้องไห้และหัวเราะ จดจำได้ขึ้นใจถึงวันเวลาดี ๆ ที่ล้ำค่า’ ท่อนของจียงที่ร้องพร้อมฉากดวงดาวกลุ่มใหญ่จากแท่งไฟของแฟนคลับอาจทำให้ใครหลายคนเสียน้ำตาได้อย่างไม่ยากเย็น เช่นเดียวกับท่อน ‘ลาก่อนวัยเยาว์อันเป็นที่รัก’ ที่ฟังดูคล้ายประโยคบอกลา และเมื่อรวมกับความจริงที่ว่าสัญญาของ T.O.P กับค่าย YG ได้สิ้นสุดลงแล้ว (ท้ายประกาศสิ้นสุดสัญญาระบุว่า T.O.P จะยังทำกิจกรรมร่วมกับ BIGBANG ต่อไปหากวาระและโอกาสตรงกัน) ก็ฟังดูคล้ายกับว่าพวกเขาจะจากไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทเพลงนี้คือภาพฉายของศิลปินวงหนึ่ง ซึ่งเติบโตและกำลังแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต ปฏิเสธไม่ได้ว่าประโยคที่พวกเขาร้องเพื่อบอกลาช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีขณะยังเยาว์ทำให้เราใจหาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนคงรู้สึกราวสิ่งสำคัญหล่นหาย หากหลัง ‘Still Life’ จะไม่มีผลงานใหม่ ๆ จากศิลปินที่โลดแล่นในเส้นทางสายดอกไม้นี้มา 16 ปีให้ได้ฟังอีก
และแม้ผู้เขียนจะคาดหวัง - ยังคงคาดหวังว่าจากนี้ แม้ต้องรอคอยอีก 1 เดือน 4 ปี หรือแม้ยาวนานกว่านั้น คงมีอีกครั้งและอีกครั้งที่เส้นทางของพวกเขาจะมาบรรจบกัน และบัลลังก์แห่งโลกดนตรีจะเป็นของศิลปินผู้เป็นที่รักอีกครั้ง เช่นเดียวกับทุกคราวที่พวกเขาปล่อยเพลงออกมา
แม้ผู้เขียนจะคาดหวังอย่างนั้น คาดหวังว่าเสียงเพลงของ BIGBANG จะดำเนินต่อไปไม่รู้จบ เหมือนฤดูใบไม้ผลิที่จากไปเพื่อกลับมาอีกหน แต่ความหวังของเราก็เป็นสีเหลืองสว่างของแท่งไฟ เป็นการเฝ้ารักและขอบคุณเก้าอี้ที่ว่างเปล่าทั้ง 4 อยู่ไม่รู้ลืม
‘เรา’ เติบโตกันหมดแล้ว ทั้ง BIGBANG และ V.I.P แต่ไม่ว่าเราจะเติบโตกว่านี้เพียงใด จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ หรือร่อนโรยกลีบดอกด้วยวัยชรา เมื่อย้อนมองกลับมายังพวกเขาและวัยเยาว์ที่เราพ้นผ่าน ความทรงจำที่เรามีร่วมกับศิลปินกลุ่มนี้จะยังคงเล่นวนเหมือนเพลงโปรดในเพลย์ลิสต์ สวยงาม แจ่มชัดในใจตลอดไป
และวัยเยาว์ที่เปล่งประกายของ BIGBANG จะไม่ถูกลืมเลือน