‘หลุยส์ ซัวเรซ’ หนุ่มกวาดถนน สู่แข้งจอมกัด เจ้าของหัตถ์พระเจ้าฉบับอุรุกวัย

‘หลุยส์ ซัวเรซ’ หนุ่มกวาดถนน สู่แข้งจอมกัด เจ้าของหัตถ์พระเจ้าฉบับอุรุกวัย

‘หลุยส์ ซัวเรซ’ ทำผลงานยอดเยี่ยมทั้งในระดับสโมสร และทีมชาติอุรุกวัย จากหนุ่มที่เคยทำงานกวาดถนน พลิกมาสู่แข้งระดับโลก แต่อีกด้านหนึ่งก็มีวีรกรรมแสบมากมาย เช่น กัดคู่แข่ง จนถึงเรื่อง ‘หัตถ์พระเจ้า’

  • หลุยส์ ซัวเรซ คือดาวยิงที่ทุกคนยอมรับเรื่องฝีเท้า แต่ในด้านหนึ่ง เขากลับมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสม
  • ดาวยิงชาวอุรุกวัยคือผู้ใช้มือปัดบอลหน้าเส้นประตู ในเกมฟุตบอลโลก 2010 เป็น ‘หัตถ์พระเจ้า’ ฉบับอุรุกวัยอันลือลั่น
  • ซัวเรซ นำทีม อุรุกวัย มาพบกับ กานา อีกครั้ง ในฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์

หากจะเอ่ยถึงเหตุการณ์สำคัญในการแข่งขันฟุตบอลโลกหรือ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World Cup) ที่ยังติดตาตรึงใจแฟนฟุตบอลตั้งแต่อดีตมาจนทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นต้องมีจังหวะพังประตูทีมชาติอังกฤษด้วยมือของยอดตำนานกองหน้าอย่าง ดิเอโก มาราโดน่า ในเกมที่ทีมชาติอาร์เจนติน่าของเจ้าตัวสามารถเอาชนะทีมชาติอังกฤษไปได้ 2-1 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1986 รอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก

โดยหลังจากในครึ่งเวลาแรก ทั้งทีมชาติอาร์เจนติน่า และทีมชาติอังกฤษยังคงเสมอกันอยู่ที่ 0-0 ครึ่งเวลาหลังเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน ทีมชาติอาร์เจนติน่าก็ลำเลียงบอลไปยังฝั่งของทีมชาติอังกฤษ ก่อนจะต่อบอลจนไปถึงหน้ากรอบเขตโทษจนกองหลังทีมชาติอังกฤษตัดสินใจสกัดบอลลอยโด่งไปหน้าปากประตูของตัวเอง

ปีเตอร์ ชิลตัน ผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษกำลังจะออกมาชกบอล แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ ดิเอโก มาราโดน่า เทคตัวขึ้นเอามือชกบอลตัดหน้าเข้าประตูไป

ผู้ตัดสิน อาลี บิน นัสเซอร์ ชาวตูนิเซียตัดสินใจให้เป็นประตูขึ้นนำของทีมชาติอาร์เจนติน่าในนาทีที่ 51 ของการแข่งขัน โดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ดิเอโก มาราโดน่า มีส่วนสูงเพียง 165 เซนติเมตรซึ่งน้อยกว่า ปีเตอร์ ชิลตัน ถึง 20 เซนติเมตร

โอกาสที่จะทำประตูนี้ด้วยการโหม่งนั้นเป็นไปได้ยากมาก แถมผู้รักษาประตูก็ยังสามารถใช้แขนเพื่อเพิ่มระยะในการเข้าถึงลูกฟุตบอลได้อีก แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากและในยุคสมัยนั้นก็ยังไม่มีเทคโนโลยีช่วยตัดสินอย่างในทุกวันนี้

การทำประตูในจังหวะดังกล่าวถูกเรียกว่า หัตถ์พระเจ้า หรือ แฮนด์ ออฟ ก็อด (Hand of God) ที่ยากจะมีใครเลียนแบบได้

จนกระทั่งฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่มีความคล้ายคลึงกับแฮนด์ ออฟ ก็อด ในอดีต เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลลัพธ์เป็นการพังประตูคู่ต่อสู้ในทางตรงกันข้ามเหตุการณ์ดังกล่าวคือการป้องกันประตูและยื้อโอกาสให้ทีมของตนได้พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ชนะ

โดยผู้ที่สร้างวีรกรรมที่โลกยากจะลืมในเหตุการณ์นี้ก็คือ หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าของทีมชาติอุรุกวัย ผู้ที่ใช้สองมือปกป้องการทำประตูของทีมชาติกาน่า สร้างโอกาสให้อุรุกวัยไปถึงอันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น

บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับ หลุยส์ ซัวเรซ ให้มากขึ้นกันครับ

นักสู้ข้างถนนแห่งอุรุกวัย สู่แผ่นดินยุโรป

หลุยส์ อัลแบร์โต้ ซัวเรซ ดิอาซ หรือที่เราคุ้นชื่อกันว่า หลุยส์ ซัวเรซ เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 1987 ในเมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย โดยคุณพ่อ โรดอลโฟ ซัวเรซ เป็นอดีตทหารและนักฟุตบอล ส่วนคุณแม่ ซานดรา ดิอาซ เป็นแม่บ้าน

ครอบครัวของ หลุยส์ ซัวเรซ มีฐานะค่อนข้างยากจน ทำให้ในภายหลังครอบครัวของซัวเรซ ต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานในเมืองมอนเตวิเดโอ เมืองหลวงของประเทศอุรุกวัย แต่ในช่วงแรกนั้นซัวเรซยังอาศัยอยู่กับคุณตาและคุณยายก่อนที่จะย้ายตามครอบครัวไปในภายหลัง

เจ้าตัวจะเล่นฟุตบอลให้ทีมเยาวชนสปอร์ติโว อาร์ติกัส (Sportivo Artigas) ในบ้านเกิดซึ่งเป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนานมากกว่าที่จะจริงจังหรือมีความฝันที่จะต้องไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และต้องย้ายตามครอบครัวมาที่เมืองมอนเตวิเดโอก็เปลี่ยนมาเล่นให้กับทีมเยาวชนอูร์เรตา (Urreta)

ฟอร์มของเขาไปเข้าตาสโมสรระดับประเทศอย่าง นาซิอองนาล (Club Nacional de Football) จึงทำให้เริ่มคิดที่จะเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างจริงจัง เพราะหากสามารถเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรระดับประเทศได้นั่นก็หมายถึงชีวิตที่ดีขึ้น

แต่เส้นทางฝันก็ต้องมาสะดุดลงเมื่อคุณพ่อ โรดอลโฟ ซัวเรซ ได้ทิ้งครอบครัวไป นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของเด็กหนุ่มวัยเพียง 12 ปีที่ต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย

หลุยส์ ซัวเรซ ในวันที่อ่อนแอเลือกเดินทางผิดเจ้าตัวเริ่มติดสุราและคบหาเพื่อนที่ไม่ดีนัก

ซัวเรซ เลือกที่จะใช้ชีวิตไปแบบไม่มีจุดหมายความฝันที่เคยวาดไว้ว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเจ้าตัวก็ละทิ้งมันไป ขาดสมาธิในการเล่นฟุตบอลจนไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ตามที่สโมสรนาซิอองนาลต้องการ จนต้องถูกปล่อยตัว

ในขณะที่ชีวิตของ หลุยส์ ซัวเรซ กำลังจะจบลงแต่ก็เป็น วิลสัน ปิเรซ (Wilson Pírez) แมวมองผู้ที่พาซัวเรซ มายังสโมสรนาซิอองนาลเข้ามาแก้ไขปัญหาและทำให้ซัวเรซกลับมามีสมาธิในการเล่นฟุตบอลอีกครั้ง และเจ้าตัวก็สามารถทำผลงานได้ดี

ในฤดูกาล 2005-2006 ซัวเรซ มีโอกาสลงสนามให้สโมสรนาซิอองนาลไปทั้งสิ้น 27 นัดและทำได้ 10 ประตู ฟอร์มไปถูกตาต้องใจสโมสรเอฟซี โกรนิงเกน (FC Groningen) ของประเทศเนเธอร์แลนด์

ฤดูกาล 2006-2007 หลุยส์ ซัวเรซ ย้ายจากสโมสรนาซิอองนาลในประเทศอุรุกวัยสู่สโมสรเอฟซี โกรนิงเกน ของประเทศเนเธอร์แลนด์ นับเป็นการเปิดประตูบานแรกของเจ้าตัวบนเวทียุโรป และเพียงแค่ฤดูกาลแรกก็ทำผลงานได้อย่างสุดยอด ยิงไปทั้งสิ้น 15 ประตูจากการลงสนาม 37 นัด และฟอร์มการเล่นก็ไปถูกใจสโมสรอาแจ็กซ์ (Ajax) ยอดทีมจากกรุงอัมสเตอร์ดัม

หลุยส์ ซัวเรซ ย้ายสู่สโมสรอาแจ็กซ์ด้วยค่าตัวราว 7,500,000 ยูโร และตลอดระยะเวลากว่า 4 ฤดูกาลที่ค้าแข้งอยู่กับสโมสรแห่งนี้ เจ้าตัวก็สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงประตูได้กว่า 111 ประตูจากการลงสนามทั้งสิ้น 159 นัด สามารถพาสโมสรคว้าแชมป์ เคเอ็นบีวี คัพ (KNVB Cup) ในฤดูกาล 2009-2010 รวมทั้งคว้าแชมป์เอเรอดีวีซี (Eredivisie) ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ในฤดูกาล 2010-2011 โดยลงสนามไปเพียงครึ่งฤดูกาลเท่านั้น

หลุยส์ ซัวเรซ ยุคเล่นให้สโมสรลิเวอร์พูล ในอังกฤษ

สู่ยอดทีมกับการสร้างผลงานระดับโลก ก่อนกลับสู่จุดเริ่มต้น

ฤดูกาล 2011-2012 หลุยส์ ซัวเรซ ย้ายทีมครั้งสำคัญ โดยย้ายจากสโมสรอาแจ็กช์สู่ยอมทีมอย่างลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 26,500,000 ยูโร เจ้าตัวได้สวมเสื้อหมายเลข 7 ในถิ่นแอนฟิลด์

ซัวเรซ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในขวัญใจของแฟนบอล ทำผลงานได้ดีตั้งแต่การลงสนามนัดแรกให้ลิเวอร์พูลเมื่อสามารถยิงประตูได้ในเกมพบกับสโต๊ค ซิตี้ทั้งที่เพิ่งถูกเปลี่ยนตัวลงสนามได้เป็นนัดแรก และจากนั้นซัวเรซก็เป็นนักเตะที่ลิเวอร์พูลจะขาดไม่ได้ ซึ่งเจ้าตัวเองก็มักทำประตูสำคัญให้กับทีมเสมอ

ตลอดกว่า 3 ฤดูกาลครึ่งที่ซัวเรซ รับใช้ทีมลิเวอร์พูล ลงสนามทั้งสิ้น 133 นัดยิงไปทั้งสิ้น 82 ประตู แต่ผลงานที่ดีที่สุดมีเพียงถ้วยรางวัลฟุตบอลลีก คัพ (League Cup) 2011-2012 เท่านั้น จากนั้นการเดินของซัวเรซก็เริ่มต้นอีกครั้ง

ฤดูกาล 2014-2015 หลุยส์ ซัวเรซ ย้ายจากสโมสรลิเวอร์พูลสู่สโมสรเอฟซี บาร์เซโลน่า (FC Barcelona) ยอดทีมจากประเทศสเปน สโมสรนี้คือสโมสรที่มอบความสำเร็จให้กับซัวเรซอย่างมากมาย

เพียงแค่ฤดูกาลแรกที่มาถึงเจ้าตัวก็สามารถคว้าแชมป์ลา ลีกา (La Liga) ร่วมกับสโมสรได้ และตลอดการค้าแข้งกับสโมสรแห่งนี้ หลุยส์ ซัวเรซ สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดและแชมป์โคปา เดอ เรย์ (Copa del Rey) ไปครองได้รายการละ 4 สมัย

นอกจากนี้ ซัวเรซยังเป็นกำลังสำคัญช่วยพาเอฟซี บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (UEFA Champions League) 2014-2015 ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ (UEFA Super Cup) 2015 และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ (FIFA Club World Cup) 2015 ได้อีกด้วย

โดย หลุยส์ ซัวเรซ คือคนที่ซัดแฮตทริกใส่สโมสรกว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ (Guangzhou Evergrande) จากประเทศจีน ในรอบรองชนะเลิศของศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และในรอบชิงชนะเลิศเจ้าตัวก็ยิงอีก 2 ประตูช่วยให้เอฟซี บาร์เซโลน่าสามารถเอาชนะสโมสรริเวอร์เพลท (River Plate) จากอาร์เจนติน่าไป 3-0 คว้าแชมป์สโมสรโลกมาครองได้ พร้อมกับการที่ตัวซัวเรซเองก็ได้รางวัล Adidas Golden Ball จากการยิงไปทั้งหมด 5 ประตูในทัวนาเมนต์ดังกล่าว

(จากซ้ายไปขวา) เนย์มาร์, ลิโอเนล เมสซี่ และ หลุยส์ ซัวเรซ แนวรุกยุคหนึ่งของสโมสรบาร์เซโลน่า

ส่วนการแข่งขันยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2014-2015 นั้น หลุยส์ ซัวเรซ ก็คือหนึ่งในนักเตะที่ยิงประตูสำคัญในรอบชิงชนะเลิศกับสโมสรยูเวนตุส (Juventus) จากอิตาลี

นัดนั้นสโมสรบาร์เซโลน่าสามารถเอาชนะไปได้ 3-1 และซัวเรซคือคนที่ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำไป 2-1 และตลอดรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในฤดูกาลดังกล่าวเจ้าตัวก็ยิงไปทั้งหมด 7 ประตู

หลุยส์ ซัวเรซ คือหนึ่งในสามประสานแดนหน้าจากอเมริกาใต้ของสโมสรบาร์เซโลน่าร่วมกับลิโอเนล เมสซี จากอาร์เจนติน่า และเนย์มาร์ จากบราซิล ถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองของสโมสร แม้ซัวเรซ จะมีความสุขมากขึ้นเท่าไหร่ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อแต่ละคนจำต้องย้ายออกจากสโมสรไป

ฤดูกาล 2020-2021 ซัวเรซ ออกเดินทางอีกครั้ง และเป้าหมายต่อไปก็คือสโมสรแอตเลติโก มาดริด (Club Atlético de Madrid) และเพียงฤดูกาลเดียวซัวเรซก็สามารถช่วยให้แอตเลติโก มาดริด สามารถคว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้สำเร็จ โดยลงสนามไป 32 นัด ยิงประตูได้ 21 ประตู

การคว้าแชมป์ลีกสเปนในครั้งนี้ ช่วยให้ซัวเรซ ได้พิสูจน์ตัวเองให้ทีมเก่าอย่างเอฟซี บาร์เซโลน่า ได้เห็นว่า ซัวเรซ ยังมีค่ามากพอสำหรับสโมสรฟุตบอลสโมสรหนึ่ง

หลุยส์ ซัวเรซ ค้าแข้งอยู่กับสโมรแอตเลติโก มาดริด เพียง 2 ฤดูกาล ก่อนที่ล่าสุดเจ้าตัวจะย้ายกลับไปเล่นให้กับสโมสรนาซิอองนาล ในบ้านเกิดด้วยวัย 35 ปี ปิดฉากการสร้างผลงานค้าแข้งในทวีปยุโรปอันแสนยาวนาน และเป้าหมายต่อไปของกองหน้ารายนี้ก็คือ การนำทีมชาติอุรุกวัยลงสู้ศึกฟุตบอลโลก 2022 ณ ประเทศกาตาร์

จากเด็กกวาดถนน สู่คนที่ทำทุกอย่างเพื่ออุรุกวัย

ในช่วงวัยรุ่นที่ หลุยส์ ซัวเรซ ต้องประสบกับปัญหามากมายจนทำให้เจ้าตัวไม่มีสมาธิในการเล่นฟุตบอล อาชีพหนึ่งที่เจ้าตัวเคยทำนั่นก็คือการเป็นพนักงานกวาดถนนในช่วงที่เขาย้ายมาอยู่ที่มอนเตวิเดโอ

กาลเวลาผ่านไปจากเด็กที่กวาดถนนในวันนั้นสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ได้เดินทางไปค้าแข้งถึงทวีปยุโรป และอีกสิ่งหนึ่งที่ หลุยส์ ซัวเรซ พยายามต่อสู้มาโดยตลอด นั่นก็คือการพาทีมชาติอุรุกวัยให้ไปได้ไกลที่สุดในการแข่งขันระดับนานาชาติ

หลุยส์ ซัวเรซ เริ่มติดทีมชาติอุรุกวัยชุดใหญ่ในปี 2007 และเจ้าตัวยิงประตูไปทั้งสิ้น 5 ประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือกโซนอเมริกาใต้

ผลงานดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้อดีตแชมป์โลก 2 สมัยอย่างอุรุกวัยผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่จัดกันที่แอฟริกาใต้ โดยในการแข่งขันครั้งนั้นทีมชาติอุรุกวัยอยู่ในกลุ่มเอร่วมสายกับแอฟริกาใต้ (เจ้าภาพ) ฝรั่งเศส (แชมป์โลก 1998)

ในเกมนัดสุดท้ายของรอบแรกกับทีมชาติเม็กซิโก หลุยส์ ซัวเรซ ก็ซัดประตูชัยให้อุรุกวัยเอาชนะไปได้ 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบที่สองหรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปพบกับทีมชาติเกาหลีใต้

เกมกับทีมชาติเกาหลีใต้ หลุยส์ ซัวเรซ คือฮีโร่ของชาวอุรุกวัย เมื่อยิงคนเดียว 2 ประตูให้ทีมชาติอุรุกวัย สามารถเอาชนะเกาหลีใต้ได้ 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบควอเตอร์ไฟนอล (Quarter Final) หรือรอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป

ณ เวลานั้น ซัวเรซ คือกำลังหลักสำคัญที่อุรุกวัยจะขาดไปเสียไม่ได้ เจ้าตัวยังคงเครื่องหมายการค้า นั่นคือการยิงประตูสำคัญช่วยให้ทีมพลิกกลับมาได้เปรียบเสมอ อย่าง 3 ประตูที่เจ้าตัวทำได้ในฟุตบอลโลกก็เป็นประตูที่สร้างโอกาสให้ทีมอุรุกวัยได้เดินทางมาไกลขนาดนี้

2 กรกฎาคม 2010 ณ สนามซ็อคเกอร์ ซิตี สเตเดียม กรุงโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ คือสังเวียนการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 รอบ 8 ทีมสุดท้ายระหว่างทีมชาติอุรุกวัยและทีมชาติกาน่า

ทีมชาติกาน่ายุคนั้นถือว่าเป็นทีมที่ดี มีนักฟุตบอลไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่ทวีปยุโรปมากมาย เมื่อเริ่มเกมการแข่งขันมาทั้งสองทีมก็เล่นกันได้อย่างสนุก สูสี ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันจนกระทั่งช่วงทดเวลาบาดของครึ่งแรก ซัลลีย์ มุนตารี กองกลางจากสโมสรอินเตอร์ มิลาน ก็ซัดประตูให้ทีมชาติกาน่าขึ้นนำไปก่อน 0-1

ครึ่งหลัง ทีมชาติอุรุกวัยแก้เกมมาและเริ่มสร้างโอกาสที่จะทำประตูตีเสมอจนมาสำเร็จในนาที 55 จากการยิงลูกฟรีคิกสุดงดงามของ ดิเอโก ฟอร์ลัน นักเตะดังจากสโมสรแอตเลติโก มาดริดในศึกลา ลีกา ของสเปน

จบเกมการแข่งขันในเวลาปกติ ทั้งสองทีมเสมอกันไปแบบสนุก 1-1 ต้องมีการต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที แต่ทั้งสองทีมยังคงไม่อาจพังประตูเพิ่มกันได้เลยตั้งแต่ออกสตาร์ทจวบจนนาทีสุดท้ายของการต่อเวลา

ในช่วงเวลาดังกล่าว ทีมชาติกาน่าเปิดบอลจากลูกฟรีคิกทางกราบขวา บอลชุลมุนอยู่หน้าประตูของอุรุกวัยจนไปเข้าทางของ โดมินิค อดิเยียห์ โหม่งบอลกำลังจะเข้าประตู แต่ หลุยส์ ซัวเรซ กระโดดเอามือปัดบอลออกมาจากบนเส้นพอดี

แน่นอนว่า เจ้าตัวต้องรับใบแดงไล่ออกจากสนามไป แต่การทำผิดกติกาดังกล่าวคือการซื้อโอกาสให้ทีมชาติอุรุกวัยได้ต่อลมหายใจออกไปอีกเฮือก

และมันก็ได้ผล เมื่อ อซาโมอาห์ กียาน ของทีมชาติกาน่ายิงลูกจุดโทษดังกล่าวพลาดส่งให้หมดเวลา 120 นาที ทั้งสองทีมเสมอกันไป 1-1 ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ และเป็นอุรุกวัยที่ทำได้ดีกว่าจนสามารถผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากมาย เพราะต้องยอมรับกันตามตรงว่าหาก หลุยส์ ซัวเรซ ไม่ตัดสินใจใช้มือทำแฮนด์บอลในจังหวะดังกล่าว ก็คงเป็นทีมชาติกานาที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกครั้งนั้น

แต่สำหรับซัวเรซแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นตามกติกา เมื่อเจ้าตัวทำผิดก็พร้อมโดนลงโทษด้วยใบแดงและการแบนไม่ได้ลงสนามในนัดถัดไป

“ผมจะไม่ขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2010 ผมทำแฮนด์บอลก็จริง แต่กานาก็ยิงจุดโทษพลาดเอง ไม่ใช่ความผิดของผม ผมอาจจะขอโทษนะ ถ้าผมเข้าบอลจนคู่แข่งบาดเจ็บและผมต้องโดนใบแดง”

นี่คือการให้สัมภาษณ์ของ หลุยส์ ซัวเรซ เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบแบ่งกลุ่ม นัดสุดท้ายของกลุ่มเอช ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2022 ระหว่างทั้งสองทีมเป็นที่น่าจับตามองจากแฟนบอลทั่วโลกครับว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ และใครจะได้ชัยในเกมแห่งศักดิ์ครั้งนี้

หลุยส์ ซัวเรซ หลังกัด จอร์โจ คิเอลลินี ในฟุตบอลโลก 2014

วีรกรรมด้านมืดของซัวเรซ จอมกัด จอมพุ่งล้ม ถูกกล่าวหาเหยียดสีผิว

เรื่องราวความแสบของ หลุยส์ ซัวเรซ ไม่ใช่มีแค่เพียงการใช้มือปัดลูกยิงของ โดมินิค อดิเยียห์ ในฟุตบอลโลก 2010 เท่านั้น แต่เจ้าตัวยังมีวีรกรรมความแสบอีกมากมายในโลกของฟุตบอล และหนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นการกัดคู่แข่งขันจนเป็นที่วิจารณ์กันไปทั่ว

ปี 2010 หลุยส์ ซัวเรซ สมัยค้าแข้งกับสโมสรอาแจ็กซ์เจ้าตัวเคยกัดคอของ ออตแมน บัคคอล นักฟุตบอลของสโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น (PSV Eindhoven) ในฟุตบอลลีกดัตช์ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ซัวเรซโดนแบนถึง 7 นัดพร้อมโดนปรับเงินอีกจำนวนหนึ่ง

และในปีต่อมาเมื่อเจ้าตัวย้ายมาสู่ถิ่นแอนฟิลด์ก็สร้างเรื่องเป็นประเด็นในโลกฟุตบอลอีกครั้ง เมื่อซัวเรซ ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือเอฟเอ (FA) สั่งปรับเงินจำนวน 40,000 ปอนด์ และแบนการลงสนาม 8 นัด จากการที่เจ้าตัวไปพูดจากเชิงเหยียดสีผิวใส่ ปาทริซ เอวรา นักฟุตบอลสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

หลังจากนั้น ซัวเรซ โดนปรับเงินอีก 20,000 ปอนด์ กับแบน 1 นัดจากกรณีชูนิ้วกลางใส่แฟนบอลสโมสรฟูแล่ม

หลุยส์ ซัวเรซ ยังคงมีพฤติกรรมสร้างเรื่องชวนปวดหัวอยู่เรื่อยทั้งการไม่จับมือกับ ปาทริซ เอวรา การพยายามใช้มือทำประตู รวมถึงการพุ่งล้มเพื่อจะเอาลูกโทษที่จุดโทษอย่างจงใจ

รวมทั้งซัวเรซเองก็ยังคงก่อเหตุซ้ำ โดยเฉพาะการกัด เจ้าตัวเคยต้องโดนเอฟเอแบนไปถึง 10 นัด จากกรณีไปกัดแขนของ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช กองหลังของสโมสรเชลซี

สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ภาพลักษณ์ของซัวเรซ ดูไม่ดีนักและหลายพฤติกรรมก็ไม่เหมาะสมจะเป็นนักกีฬาอาชีพที่ควรเป็นต้นแบบแก่เยาวชน

หลายฝ่ายมีคำแนะนำให้เจ้าไปพบกับจิตแพทย์ แต่ก็ไม่มีการยืนยันว่าซัวเรซได้ทำตามคำแนะนำเหล่านั้นหรือไม่ จวบจนฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล หลุยส์ ซัวเรซ ก็สร้างวีรกรรมแสนอื้อฉาวอีกครั้ง

ในเกมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ระหว่างทีมชาติอุรุกวัยพบกับอิตาลี ในขณะทีมเกมกำลังดำเนินไป หลุยส์ ซัวเรซ ก็ใช้ฟันกัดไปที่หัวไหลข้างซ้ายของ จอร์จิโอ คิเอลลินี กองหลังทีมชาติอิตาลีจนเป็นรอยอย่างเห็นได้ชัด และเจ้าตัวก็ต้องโดนโทษแบนอีกในเวลาต่อมา

นี่คือเรื่องราวของ หลุยส์ ซัวเรซ นักฟุตบอลที่สร้างทั้งวีรกรรมและผลงานเอาไว้มากมายในโลกของฟุตบอล

เป็นทั้งฮีโร่ของชาติ แต่ในหลายครั้งซัวเรซก็กลายร่างเป็นซาตานที่นักกีฬาและเยาวชนไม่ควรเอาแบบอย่าง ชายผู้ซึ่งทำให้เราตระหนักรู้ว่า ทุกคนย่อมมีด้านมืดของตัวเอง 

เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (แฟนพันธุ์แท้เอเชียนเกมส์)