ก้าวใหม่ของ ‘ออฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล’ มือกีตาร์ Big Ass กับงานผู้บริหารแกรมมี่ หน่วยงานร็อก

ก้าวใหม่ของ ‘ออฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล’ มือกีตาร์ Big Ass กับงานผู้บริหารแกรมมี่ หน่วยงานร็อก

‘ออฟ - พูนศักดิ์ จตุระบุล’ มือกีตาร์วง Big Ass เป็นที่รู้จักในแวดวงดนตรีโดยเฉพาะสายร็อก ในวันนี้เขากำลังใช้ชีวิตบทใหม่ เมื่อก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารของ ‘แกรมมี่’ ตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ หน่วยงาน Rock

  • ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางสายดนตรี ออฟ - พูนศักดิ์ จตุระบุล มือกีตาร์วง Big Ass เป็นนักเรียนวิทยาลัยเทคนิคดุสิต (โรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิต) มาก่อน และไม่เคยวางแผนว่าจะเป็นนักดนตรี
  • โชคชะตาและโอกาสนำพามาสู่การทำเพลงและได้ทำงานกับค่ายเพลง ความสำเร็จในภายหลังทำให้เขาสัมผัสงานในบทบาทโปรดิวเซอร์
  • เวลานี้ ออฟ - พูนศักดิ์ จตุระบุล ขยับบทบาทไปเป็นผู้บริหารตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ หน่วยงาน Rock ของแกรมมี่

เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่แฟนเพลงสัมผัสผลงานของวง Big Ass จนถึงปัจจุบัน สมาชิกของวงยังฝากผลงานในอุตสาหกรรมดนตรีในหลายบทบาท สำหรับแกนนำของวงอีกรายอย่าง ‘ออฟ – พูนศักดิ์ จตุระบุล’ มือกีตาร์แห่ง Big Ass เขาฝากผลงานในบทบาทโปรดิวเซอร์มายาวนาน ทำงานกับ ‘ปาล์มมี่’ จนถึง ‘บอดี้สแลม’ ด้วยประสบการณ์ ผลงาน และความรู้ที่สั่งสมมาล้วนมีส่วนหนุนเสริมให้ ‘ออฟ Big Ass’ ก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ-หน่วยงาน Rock ในวันนี้

“ทั้งชีวิตไม่ได้วางแผนว่าจะมาเป็นนักดนตรี คือเราก็แค่อยากอยู่กับเพื่อน อยากเล่นกับเพื่อน บังเอิญว่าชอบเล่นกับเพื่อนเฉย ๆ”

จากเรียนสายเทคนิค เบนมางานสายดนตรี

ออฟ Big Ass เล่าถึงความคิดในวัยเรียนซึ่งแนวคิดของเขาในเวลานั้นไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีเท่าไหร่นัก

“พอดีเพื่อนข้างบ้านไปสอบสถาปัตย์ วิทยาลัยเทคนิคดุสิต ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สถาปัตย์ ฟังดูดี ก็เลยไปสอบตามเขา แต่สอบไม่ติด ไปติดก่อสร้างแทน แล้วก็ด้วยความไม่ได้เตรียมแผนสองไว้ ก็เลยต้องไปเรียนที่นั่น

ยังจำได้ว่าเข้าไปเรียนวันแรกถามเพื่อนว่า โฟร์แมนจบแล้วมันไปทำอะไรวะ โฟร์แมนก็ไปคุมงานไง ไปคุมงานก่อสร้าง ผมหน้ามืดเลย ยังไงต่อล่ะชีวิต ไม่ใช่ว่างานโฟร์แมนไม่ดี แต่ผมไม่รู้จัก”

ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือเหตุผลใดก็ตาม ออฟ - พูนศักดิ์ จตุระบุล พบกับแด๊กซ์ - เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด เพื่อนร่วมวง Big Ass ที่โรงเรียนวิทยาลัยเทคนิคดุสิต ไม่เพียงแค่เพื่อนร่วมวง ออฟ เล่าว่า ที่โรงเรียนแห่งนี้ทำให้เขามีประสบการณ์ชีวิตมากมาย 

หลังจบจากเทคนิคดุสิต เขายังเหวี่ยงไปเรียนเพาะช่าง จากนั้นถึงไปเรียนดนตรีที่ราชภัฏจันทรเกษม เพราะเห็นว่า กบ - ขจรเดช พรมรักษา มือกลอง Big Ass จะไปสอบนิเทศศาสตร์แล้วบังเอิญว่า ออฟ ไปเห็นใบสมัครเข้าเรียนแล้วพบว่าสถาบันนี้เปิดสอนสาขาดนตรีด้วย จึงตัดสินใจสอบและได้เข้าเรียนจนเริ่มทำเพลง ศึกษาดนตรีพื้นฐานที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้

ความชื่นชอบอย่างหนึ่งของขุนขวานแห่งวง Big Ass คือดนตรี กิจกรรมที่เขามักทำร่วมกับกลุ่มเพื่อนคือซ้อมดนตรี ได้เล่นเพลงที่ชื่นชอบ โอกาสหนึ่งที่ทำให้วงได้ขึ้นแสดงจริงคืองานเทศกาลดนตรีซึ่งจัดโดยสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง หลังจากนั้น วงได้รับความสนใจจาก ปั๋ง – ประกาศิต โบสุวรรณ (จากสุเมธ & เดอะปั๋ง) ชวนให้ไปคุยงานที่แกรมมี่

โอกาสครั้งนั้นเป็นโอกาสทองของวง แต่น่าเสียดายเมื่อรายละเอียดและเงื่อนไขที่คุยกันกลับไม่ลงตัว วงจึงไปเจรจากับค่ายอื่น สุดท้ายลงตัวที่ Music Bugs ได้ทำงานเพลงจากช่วงอัลบั้มแรกที่ยังไม่เปรี้ยงปร้างนัก มาสู่อัลบั้มที่สองซึ่งมีเค้าลางเพลงดังและกระแสความสนใจที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ สร้างผลงานต่อเนื่องจนมาเป็นอีกหนึ่งวงร็อกแถวหน้าของประเทศกินระยะเวลาร่วม 20 ปีในเส้นทางอาชีพสายดนตรี

นับตั้งแต่นั้นมา Big Ass และสมาชิกล้วนคลุกคลีกับงานดนตรีสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานของวงตัวเอง กับศิลปินคนอื่น มาจนถึงยุคย้ายกลับมาที่แกรมมี่ ก็ยังทำเพลงต่อเนื่องมาสู่อัลบั้ม ‘ลายนิ้วมือ’ สตูดิโออัลบั้มชุดล่าสุดของ Big Ass เมื่อปี 2565

“ผมว่าดนตรีมันแทบจะเป็นทุกอย่างของผมเลย และสิ่งที่สอนจริง ๆ ก็คือ ถ้าเราทุ่มเทกับมันมากพอ มันไม่มีคำว่าไม่ได้”

การเล่นดนตรีสำหรับมือกีตาร์รายนี้ทำให้เขารู้สึกว่า “กำลังทำในสิ่งที่รัก และไม่รู้สึกว่าทำงาน” ดังเช่นประโยคคลาสสิกที่เล่าขานถึงเรื่อง “การทำสิ่งที่รัก” และการเล่นดนตรีสำหรับ พูนศักดิ์ จตุระบุล ทำให้เขา “ผ่านแต่ละวันด้วยความสุข” 

งานเล่นดนตรีนำเขามาสู่โอกาสในอีกรูปแบบ นั่นคือช่วยดูแลผลงานให้ศิลปินที่โด่งดังเป็นเบอร์ต้นของวงการในเวลานี้อย่าง ‘บอดี้สแลม’ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้น มาจนถึงโอกาสทำงานโปรดิวเซอร์ให้ ‘ปาล์มมี่’ โดยออฟ เล่าการทำงานกับปาล์มมี่ ว่า “เป็นเพลงแรกที่(ทำงานในบทบาทโปรดิวซ์ - กองบรรณาธิการ)ที่ไม่ใช่ร็อกแบบหนัก ๆ อย่างที่เคยทำ”

ก้าวใหม่ของ ‘ออฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล’ มือกีตาร์ Big Ass กับงานผู้บริหารแกรมมี่ หน่วยงานร็อก

สู่บทบาทผู้บริหาร

จากบทบาทโปรดิวเซอร์ มือกีตาร์แห่ง Bis Ass ขยับมาถึงงานด้านการบริหาร เคยผ่านเส้นทางนั่งแท่นตำแหน่ง Label Director แห่งค่าย ‘จีนี่’ (genie records) ลุยกับโปรเจกต์ genie New Folder ปั้นศิลปินหน้าใหม่ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน

ระหว่างเส้นทางปั้นคนรุ่นหลัง ออฟ - พูนศักดิ์ จตุระบุล มีส่วนจุดประกายศิลปินให้คลอดผลงานมาหลายราย ตัวอย่างหนึ่งคือเขาคือผู้ชักชวนวง Paper Planes ให้กลับเข้ามาทำงานเพลงในค่ายอีกครั้ง หลังจากที่วงกำลังจะตัดสินใจไปเป็นศิลปินอิสระ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของศิลปินรายนี้กับค่าย ‘จีนี่’ ในเวลาต่อมา Paper Planes ผลิตผลงานเป็นเพลงฮิต ทั้ง ‘เสแสร้ง’ และ ‘ทรงอย่างแบด’ ที่เวลานี้กลายเป็นวงขวัญใจวัยรุ่นรวมถึงวัยรุ่นฟันน้ำนมไปแล้ว

ออฟ เล่าจุดเริ่มต้นบทบาทผู้บริหารว่า เกิดขึ้นเมื่อพูดคุยกับ นิค - วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ผู้บริหารค่าย genie records ในอดีต

นิค - วิเชียร ผู้บริหารที่ทำงานกับแกรมมี่มายาวนานเล็งเห็นบทบาทของออฟ ที่เป็นเสมือนรุ่นพี่ของค่าย มักมีรุ่นน้องมาปรึกษาเรื่องต่าง ๆ กับออฟ เมื่อถึงโอกาสที่เหมาะสมหลังจากผ่านช่วงทัวร์กับ Big Ass มาแล้ว ทุกอย่างลงตัวสำหรับบทบาททำงานเป็นทีมกับค่ายเพลง ออฟ – พูนศักดิ์ จึงก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่ง Label Director

“เหมือนเราคล้าย ๆ ทำงานค่ายเพลงมาอยู่แล้ว ภาพที่ออกมามันควรจะเป็นยังไง ชุดนี้เราจะเป็นอะไร เหมือนเราได้ศึกษาเรื่องพวกนี้ผ่านงานมาอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริง ๆ มันน้อยมาก พอมาอยู่จริง ๆ มันมีอีกหลายเรื่องที่ผมต้องเรียนรู้

วันแรกที่ผมรู้สึกว่าทำงาน คือวันแรกที่ผมเข้ามาอยู่ genie records จำได้ว่าเข้ามาทำงาน ผมออกไปยืนตรงทางหนีไฟ แล้วก็มองขึ้นฟ้าแบบ ‘อ๋อ นี่คืองาน’ ... 20 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยทำงานเลย นี่คือวันแรกที่ผมรู้สึกว่าทำงานจริง ๆ ... ทุกอย่างที่เจอ มันคือเรื่องของคนอื่นหมดเลย ผมต้องทำความเข้าใจหมดเลย”

บทบาทผู้บริหารที่ทำให้ออฟ รู้สึกว่า การได้เริ่ม ‘ทำงาน(จริง ๆ)’ ส่งผลต่อตัวเขาหลายแง่มุม ด้านหนึ่ง เขายอมรับว่า เครียดและต้องกลับไปทบทวนตัวเองว่าคุ้มกับค่าไหม เพราะช่วงที่ทำงานดังกล่าวเป็นช่วงเดียวกับที่ลูกยังเล็ก การทบทวนทำให้ออฟ - พูนศักดิ์ ได้แง่คิดถึงจุดเชื่อมโยงที่จะทำให้ขับเคลื่อนเดินหน้าทำงานนี้ต่อไป

“...เราจึงหาจุดยึดโยงที่เราจะรับงานนี้ได้ ผมก็ไปพบว่า เรามีทุกวันนี้ได้ เพราะผู้ใหญ่ให้โอกาส แล้วคำนี้มันเป็นคำที่ผมฝันถึงตลอดว่า ถ้าวันไหนเรามีโอกาสที่จะหยิบยื่นโอกาสที่ดี ๆ ให้กับคนอื่น เราควรทำ

วันนั้นก็เหมือนฟ้าเปิดว่า ส่วนหนึ่งเราทำงานให้กับบริษัท แต่อีกส่วนหนึ่ง เราทำงานให้กับวงการเพลงแล้วกัน อาจจะดูเวอร์ไปหน่อย แต่ผมต้องคิดอย่างนี้ เพราะไม่อย่างนั้นผมจะห่อเหี่ยว ถ้าต้องทำงานเพื่อบริษัทอย่างเดียว ซึ่งถามว่าทำได้ไหม ทำได้ แต่ผมคงไม่มีพลัง แต่พอเราคิดว่า ด้านหนึ่งเราจะทำงานให้วงการเพลง เออ ผมมีพลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็เริ่มขวนขวายหาโอกาส ที่จะให้โอกาสน้อง ๆ”

ก้าวใหม่ของ ‘ออฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล’ มือกีตาร์ Big Ass กับงานผู้บริหารแกรมมี่ หน่วยงานร็อก

นโยบายในยุค ออฟ - พูนศักดิ์

ก่อนจะเล่าถึงการทำงานในยุคของ ออฟ - พูนศักดิ์ เราเอ่ยปากถามถึงแนวทางการทำงานยุคก่อนหน้าที่มี นิค - วิเชียร ฤกษ์ไพศาล เป็นหัวเรือใหญ่ของ ‘จีนี่’ ซึ่งออฟ ยอมรับว่า การทำงานของผู้ใหญ่คนนี้กล้าหาญมาก เพราะนิค - วิเชียร อยู่ในยุคที่ศิลปินต้องสวย ต้องหล่อ เป็นดารา เอามาฝึกกัน แต่จากมุมมองของออฟ แนวคิดของนิค - วิเชียร กลับไปอีกมุมหนึ่งว่า “ฉันจะทำศิลปินที่ไม่ต้องหล่อ แต่ว่าเป็นศิลปินตัวจริง”

“คือแกก็กล้ามาก แล้วก็เป็นกระดุมที่ถูกต้อง 10 ปีหลังจากนั้น มันถูกเป๊ะ ๆ เลย คือพอมีศิลปินที่ทำงานได้เอง มีแรงศรัทธาจากแฟนเพลง นอกเหนือจากเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา โห มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และยาวนานมาก

คือจริง ๆ ผมเข้ามาตอนที่พี่นิคยังอยู่ ช่วยกันดู พี่นิคก็ยังอยู่ข้าง ๆ เราตลอด แต่พอมาถึงวันที่พี่นิคไม่ได้ทำงานแล้ว วันนั้นก็คิดเหมือนกันว่า ฉันจะหา Mindset อะไรที่จะทำงานนี้ได้ต่อ คือถ้าแค่คิดว่าฉันจะมาแทนพี่นิค มันเป็นไปไม่ได้เลย แล้วผมก็ไม่ชอบคิดแบบนั้นด้วย คือพี่นิคก็เป็นพี่นิคที่สมบูรณ์อยู่แล้ว

ผมก็ไปได้คำตอบว่า ฉันไม่ได้มาแทนพี่นิค ในตำแหน่งตรงนั้น ด้วยความเป็นพี่นิค ในความเป็นจิตวิญญาณของ genie records ผมไม่กล้าที่จะไปแทนที่ตรงนั้นเลย แต่ผมถือว่า มาขับเคลื่อน genie records ให้มันเดินต่อไปได้”

จากแนวคิดว่า ‘ขับเคลื่อนให้เดินต่อ’ ออฟ - พูนศักดิ์ มีแนวทางทำงานของตัวเอง และมีส่วนที่อยากปรับ อยากทำ และขับเคลื่อนด้วยรสนิยม ไปจนถึงจินตนาการของตัวเองด้วย แต่เขากลับพบว่า แนวนี้ไม่ถูกเสียทีเดียว

“เรากำลังทำให้ประวัติศาสตร์ยาวนานของที่นี่มันไปเป็นงานของเอ็งคนเดียว ไม่ได้นะ ผมก็เริ่มเข้าใจว่า วัฒนธรรมขององค์กรที่ดีมันควรจะเริ่มจากอะไร จริง ๆ ผมเริ่มศึกษา genie records มากขึ้น หลังจากที่เข้ามาอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งด้วยซ้ำไป genie records มันคือการ balance ความ mass กับงานที่มีคุณภาพให้อยู่ร่วมกันได้

ทุกคนอาจจะมองว่าเป็นค่ายเพลงร็อก ชายชุดดำ เพลงหนัก ๆ แต่จริง ๆ แล้ว genie records mass มาก จากความสำเร็จที่ผ่านมา

โอเค ผมต้องตั้งสติใหม่ก่อนว่า นี่ไม่ใช่งานของเราแล้ว นี่คืองานที่เราต้องพา genie records กลับไปอยู่ในที่ที่เขาเคยอยู่ให้ได้ ถ้ามันจะดีกว่านั้นถือว่า เป็นความสำเร็จอีกขึ้นหนึ่งแล้วกัน

แต่เอาแค่เรากลับไปอยู่ตรงจุดเดิมให้ได้ก็ยากแล้ว แต่อยากทำให้ได้ ผมว่าสิ่งที่ขับเคลื่อน genie records ในช่วงที่ผมต้องเข้ามาดูแล ผมว่า Mindset ของ genie records มันยังเหมือนเดิม ก็คือเราอยากได้ศิลปินตัวจริง เราอยากขับเคลื่อนศิลปินที่ทำงานได้เอง ศิลปินที่มีวิธีคิดในแบบตัวเอง มีภาพของงานตัวเองอยู่ในหัว แล้วก็แตกต่าง เพราะการเป็นของจริง การทำงานได้เอง ความสำเร็จมันจะยั่งยืนในแบบของเขาเอง

คือเราอาจจะเคยอยู่ในยุคที่มีคนทำเพลงให้ศิลปินคนนี้ ซึ่งถามว่าสำเร็จไหม มันก็สำเร็จ แต่ถ้าวันหนึ่งคนที่ทำให้ เขาไม่ทำให้แล้ว หรือเขาเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นแล้ว ศิลปินคนนั้นก็ขาเป๋เลย คือผมพยายามผลักดันคนที่ทำงานได้เอง แล้วก็ค่อย ๆ ให้เขาได้เรียนรู้อันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่เอาเอง ในแบบที่ผมเคยเรียนรู้มา คือผมพยายามมีโมเดล Big Ass อยู่ในใจตลอด ถ้าเรายังสำเร็จได้ แปลว่าทุกคนมีโอกาสสำเร็จ ถ้ามีสนามให้ทดลอง

ก้าวใหม่ของ ‘ออฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล’ มือกีตาร์ Big Ass กับงานผู้บริหารแกรมมี่ หน่วยงานร็อก

บทบาทรองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่าย Rock

หากพูดถึงรายละเอียดเนื้องานอย่างเจาะจง เวลานี้ ออฟ – พูนศักดิ์ จตุระบุล นั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ-หน่วยงาน Rock คราวนี้บทบาทของเขาคือดูภาพรวมทั้งหมด(ของ ‘ร็อก’)ภายใต้โจทย์ใหญ่ของบริษัท ตัวอย่างที่สะท้อนภาพบทบาทด้านงานบริหารในเวลานี้คือการแบ่งทีมของ genie records

“ผมต้องจัดแถว จัดระเบียบให้กับค่ายนิดหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าโจทย์ของแกรมมี่ คืออยากผลิต content ที่ดีให้มากขึ้น เพราะตอนนี้เพลงมัน Run ทุกวัน ระยะเวลาทำงานทั้ง production ทั้งการโปรโมตมันก็สั้นลง ศิลปินในค่ายก็เยอะมาก ก็เลยมีไอเดียว่าเราจะแบ่ง genie records ออกเป็น 3 ทีม 3 direction เพื่อยังคงทำงานที่มีคุณภาพ และดูแลศิลปินที่มีได้ทั้งหมด

ทีมแรก จะเป็นทีม Mainstream ก็จะดูแลโดย พี่นุ่น - ปวีร์รัตนา เลิศไชยภัณฑ์ ผู้อยู่เบื้องหลังศิลปินจีนี่เบอร์ใหญ่ ๆ มายาวนาน ทีมนี้ก็จะเต็มไปด้วยศิลปินรุ่นพี่ทั้งหลายที่เป็น Mainstream อยู่ตอนนี้ รวมถึงน้อง ๆ ที่คิดว่าจะขึ้นมาเป็น Mainstream ได้ต่อไป ก็จะเน้นเรื่องความมหาชนเป็นหลัก และเราต้องสร้างไอคอนคนใหม่ขึ้นมาให้ได้

ทีมที่สอง เป็นทีมอัลเทอร์เนทีฟ คือเป็นทางเลือกให้กับ genie records แล้วกัน อย่างที่บอกว่าเราอยากเบลนด์ เราอยากถ่างความเป็น genie records ออกไปให้หลากหลายขึ้น ก็จะดูแลโดยพี่ยา - ปริญญา นวลสวรรค์

จริง ๆ พี่ยาเป็นลูกหม้อของแกรมมี่อยู่แล้ว แต่ได้ไปทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาจากหลาย ๆ ค่ายเพลง แล้วผมก็อยากได้ความรู้ความสามารถจากคนข้างนอกบ้าง ก็ให้พี่ยา มาเป็น Head ของทีมอัลเทอร์เนทีฟ ศิลปินหน้าใหม่ ๆในทีมนี้ก็มี Bomb at Track, Topeople, ขมิ้น กิ่งศักดิ์ คือมันจะเป็นงานทดลองเรื่องใหม่ ๆ สีสันใหม่ ๆ ให้จีนี่  

ในส่วนของน้องขมิ้น ผมว่าเซอร์ไพรส์มากที่คุณพ่อเขาเลือกที่จะมาอยู่ genie records และก็กำลังเริ่มประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการเริ่มต้นที่ดี

ทีมถัดมา ถูกดูแลโดยพี่ต๋อม - ณัฐพล มุขขันธ์ จะเป็น Rock ที่มีส่วนผสมของ Thai culture งานของพี่ต๋อม จะเป็นงานที่มีรายละเอียดลึกซึ้งแต่เข้าถึงผู้คนได้ง่าย เป็นงานที่จริงใจ ที่เห็นได้ชัดก็คือ โจอี้ ภูวศิษฐ์ ที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว ก็มีความเป็นไทยอีสาน แล้วก็มี Wolftone ที่ในอนาคตอาจจะเพิ่มความเป็นปักษ์ใต้เข้ามา ผมว่า genie records จะมีหมวดหมู่ที่ครบมากขึ้นผ่านร่มเงาของความเป็น genie records”

ต้องยอมรับว่า แกรมมี่หยั่งรากเพลงร็อกในตลาดได้ลึกและกว้างตั้งแต่ยุคแรกเริ่มที่นำมาโดย เต๋อ – เรวัต พุทธินันท์ และต่อเนื่องมาอีกหลายยุค ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ไม่ว่ากระแสความนิยมดนตรีประเภทใดกำลังมาตีตลาด เพลงร็อกจากแกรมมี่ยังถูกเปิด ถูกบรรเลงโดยวงดนตรีตามที่ต่าง ๆ เสมอมา จากข้อมูลของผู้บริหารฝ่ายการตลาด จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เผยว่า เพลงร็อกจากแกรมมี่มีสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ถึง 91% จากเพลงร็อกไทยในตลาด (อ้างอิงจาก marketingoops.com)

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอย่างหนึ่งของผู้บริหารค่ายเพลงที่คนจดจำว่ามีศิลปินแนวร็อกเป็นหัวหอกยังมีเรื่องเทรนด์ดนตรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอยู่ดี ออฟ - พูนศักดิ์ ยอมรับว่าเข้ามามีบทบาททำงานในค่ายเพลงช่วงที่เพลงร็อกซบเซาลง

“วิธีคิดแรก ๆ ของผม ผมไม่อยากยึดติดกับคำว่าค่ายร็อก เรามีความรู้สึกว่า วันไหนร็อกมันบูมอีก มันก็จะดี แต่วันไหนมันไม่บูม เราก็จะถูกทิ้งไว้อีก ผมคาดหวังจุดเชื่อมโยงใหม่ ๆ ต่อจากนี้ที่จะทำให้คนเข้าใจว่าเราเป็นค่ายเพลงของนักร้องนักดนตรีตัวจริงที่ไม่ได้จำกัดแนว

ถ้าถามว่าผมขับเคลื่อน genie records ด้วยอะไร เราขับเคลื่อนด้วย Quality (คุณภาพ - กองบรรณาธิการ) ของมัน ส่วนหนึ่งผมว่า จุดแข็งของผมเลยน่าจะผ่านงานที่เกี่ยวกับเพลงมาค่อนข้างเยอะ อยากได้งานที่มีคุณภาพที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นได้ว่า เราทำได้ดีที่สุดแล้ว

หมายถึงว่าเราจะทำมันออกมาอย่างดีที่สุดเต็มขีดจำกัดที่เราทำได้ ทั้งงานภาพและงานเสียง ผมกับทีมงานทุกคนทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่กำลังขับเคลื่อนสิ่งที่เราเชื่อมากที่สุด คืองานที่มีคุณภาพ แล้วผมว่า ณ ตอนนี้ ในช่วงที่แนวเพลงอื่นบูมมาก ๆ แต่ด้วยความที่แกรมมี่มีรากฐานเพลงร็อกที่แข็งแรง ผมว่าเพลงร็อกที่เหมือนจะเงียบไป แต่จริง ๆ มันยังอยู่ได้นะครับ

ธุรกิจสตรีมมิงต่าง ๆ เพลงร็อกมันยังอยู่ได้ดี อย่างเมื่อกี๊ที่บอกว่า มาร์เก็ตแชร์ 90 เปอร์เซ็นต์ของเพลงร็อกในตลาดเป็นของแกรมมี่ ส่วนหนึ่งก็น่าดีใจ...แต่ผมว่าก็ต้องขอบคุณรากฐานที่แกรมมี่เคยวางไว้”

มือกีตาร์ของ Big Ass ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า ถ้าแปลคำว่า ‘ร็อก’ เป็นทัศนคติ เขาคิดว่าร็อกไม่จำเป็นต้องอึกทึกตลอดเวลา

“ในมุมผมคิดว่า Rock มันหลากหลายมาก และผมพยายามให้ genie records เป็นที่ที่เปิดโอกาสให้กับศิลปินที่มีความสามารถ ศิลปินที่มีจินตนาการที่โดดเด่น อยากให้เรามีโอกาสได้เปิดความฝันให้กับศิลปินทุกคน ไม่ได้ตีกรอบในเรื่องแนวเพลงอย่างเดียว อันนี้คือสิ่งที่พยายาม

ความเชื่อว่า genie records คือค่ายเพลงร็อก ผมว่ามันก็ยังเป็นอยู่ คือผมไม่ได้อยากบอกว่าผมเปลี่ยนมัน แค่อยากจะถ่างมันออกให้มากขึ้น เราจะมีศิลปินที่ไม่มีกีตาร์เสียงแตกได้ไหม หรือมันมีความเข้มข้นอื่นไหม ที่ไม่ได้เกี่ยวกับโทนดนตรีอย่างเดียว

ซึ่งวิธีคิดนี้มันถูกขยับมาตั้งแต่ช่วงที่พี่นิค ยังอยู่แล้วว่า เราจะเป็นค่ายเพลงของ Music Lover (คนที่รักดนตรี - กองบรรณาธิการ) ไม่ได้เป็นค่ายเพลงชุดดำตลอดเวลา ผมว่ามันสนุกและท้าทายมากกว่า”

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือทิศทางของค่ายเพลงภายใต้การนำของ ออฟ – พูนศักดิ์ จตุระบุล ซึ่งการทำงานในอนาคตอันใกล้นี้ เขามองว่า จะเน้นสร้างนิเวศใหม่ ๆ ขึ้นมา โดยเริ่มจากการสร้างทีม Executive Producer ขึ้นมาใหม่ นำโดยพี่ใหญ่อย่าง กบ Big Ass กับ Mango Team และยังมี Producer มือดีอย่าง ฮาย และ เซน Paper Planesณัฐ (มือกีตาร์) วง KLEARอู๋ The Yers มาช่วยในงาน Produced รวมไปถึงการช่วย Training น้อง ๆ เพื่อสร้างศิลปินเลือดใหม่ขึ้นมารับไม้ต่อจากรุ่นพี่ โดยให้เพลงเป็นหน่วยที่สำคัญที่สุด

“เราต้องมีเพลงที่มีขาของมันเองได้ ผมเชื่อเสมอว่าเพลงต้องมีขาเดินเองให้ได้ แล้วมันจะพาเราไปในที่ที่เราคาดไม่ถึงเลย”

“ผมว่า Ecosystem ที่สำคัญของเพลงร็อกเลยคือการแสดงสด เรายังมีวงใหม่ ๆ ที่คนอาจจะยังไม่ได้รู้จักมากนัก ทีนี้เราจะทำอย่างไรให้คนเห็นเขาเล่นดนตรี เขาเล่นดนตรีเก่งนะ เราเลือกเขามา เพราะเขามีการแสดงที่ดี เราก็สร้าง Genie School Tour ขึ้นมา เป็นเส้นทางยาว ๆ เลย จะลุยกันทุกปีต่อจากนี้ 

รวมถึง genie YOUNG PLAY ที่เรายกขบวนศิลปินใหม่ไปเล่นที่สยามก็สำเร็จมาก ก็จะทำกันต่อในปีนี้ อีกทั้งแกรมมี่ยังสร้างทีม Virtual Concert ขึ้นมา เพื่อทำคอนเสิร์ตในรูปแบบออนไลน์ เพื่อที่คนจะได้เห็น Performance ของวงใหม่ ๆ

ในปี 2566 เราก็อาจจะขยับจาก Virtual Concert ไปเป็น Solo คอนเสิร์ตขนาดกลางมากขึ้นสำหรับวงที่คิดว่าน่าจะเริ่มขายบัตรได้แล้ว อย่าง Paper Planes หรือ โจอี้ ภูวศิษฐ์ ผมว่าการแสดงสดมันเป็นปัจจัยหลักของเพลงร็อกมาก ๆ เราจะมุ่งเน้นเรื่องนี้ให้มากขึ้น ซึ่งผมว่าจริง ๆ แล้วเพลงร็อกยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ๆในธุรกิจ showbiz ของไทยไม่ว่าจะเป็นเฟสติวัลต่าง ๆ รวมไปถึงงานจ้างตามผับบาร์

ยกตัวอย่าง Paper Planes ตอนนี้เขามีเพลงฮิตมาก ๆ 2 เพลง งานจ้างเขาก็เต็มทั้งเดือนแล้ว โจอี้ ภูวศิษฐ์ ก็มีคิวเล่นเกือบทุกวันไปยันปลายปีแล้ว นี่คือรายได้หลักของทั้งศิลปินเอง และบริษัทด้วย

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของดิจิทัลแพลตฟอร์มที่มีแนวโน้มดีขึ้นทุกปีอยู่แล้ว ผมว่าตอนนี้วงการเพลง ธุรกิจเพลงมันดูดีเลยครับ และถ้าเราเอาศิลปินของเราเข้าไปอยู่ใน Mainstream (กระแสหลัก) ในยุคนี้ได้มากขึ้น ผมว่าเราก็สามารถเดินต่อได้อย่างมั่นคง”

ก้าวใหม่ของ ‘ออฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล’ มือกีตาร์ Big Ass กับงานผู้บริหารแกรมมี่ หน่วยงานร็อก

ความสุขจากความสำเร็จ

จากผลงานและเส้นทางก้าวเดินที่ผ่านมา ปฏิเสธได้ยากว่า ชายคนนี้ผ่านความล้มเหลวมาก่อนจะประสบความสำเร็จ ในวันที่ขึ้นสู่จุดสูงแล้วหันไปมองอดีต สิ่งหนึ่งที่ออฟ – พูนศักดิ์ จตุระบุล สอนน้องเสมอคือเรื่อง ‘ไม่ต้องรีบสำเร็จ’ และ ‘ไม่สำเร็จในวันนี้ไม่ได้แปลว่าวันหน้าจะไม่สำเร็จ’

“ทำต่อไปเรื่อย ๆ ตั้งใจเต็มที่ ดูพี่เป็นตัวอย่าง ผมก็อ้างอิงตลอดว่า ฉันเจ๊งมาก่อน”

ช่วงท้ายของบทสนทนา คำถามหนึ่งที่เราสนใจคือ ความสุขของนักดนตรีและผู้บริหารที่น่าจับตาอีกคนในอุตสาหกรรมดนตรีในไทยคืออะไร?

“ผมเป็นคนเสพติดความสำเร็จ เป็นนิสัยที่...ไม่รู้ ก็คงดีมั้ง คือตั้งแต่วันแรกที่ไปดูบอดี้สแลมเล่นเพลงงมงายครั้งแรก แล้วมีคนดูร้องทั้ง Hall ขึ้นมา ผมรู้แล้วว่าผมรักมัน ผมอยากได้ยินแบบนี้ไปเรื่อย ๆ บางทีการไปคอนเสิร์ตของผม ผมแค่อยากไปรับพลังตรงนี้เพื่อกลับมาทำงานต่อ ผมว่าก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ แม้จะมาทำงานหน้าที่บริหาร

การได้ไปเห็นคนดูร้องเพลงของน้อง ๆ โจอี้, Paper Planes, ขมิ้น (กิ่งศักดิ์) , THE WHITE HAIR CUT และอีกหลาย ๆ วง มันมีความสุข คือเมื่อก่อนเรามีความสุขเพราะเรามีส่วนเกี่ยวข้อง มีส่วนแต่งด้วย จนกระทั่งมาอยู่ตรงงานบริหาร ผมก็ยังรู้สึกว่าเป็นความสุขเดียวกัน

มันก็เลยยังขับเคลื่อนในชีวิตไปได้ การได้เห็นน้อง ๆ ประสบความสำเร็จ มีแววตาที่เปลี่ยนไปจากความสำเร็จนั้น ฮาย (นักร้อง Paper Planes) นี่ดูเป็นคนละคนเลย จากเมื่อสองสามปีที่แล้ว ตอนนี้เขายืนตรงนั้นผงาดมาก อันนี้มันคือความสุขเดียวกันกับที่เคยได้ยินเพลงที่เรามีส่วนร่วม ถูกร้องโดยคนเป็นพันเป็นหมื่นคน”

คนส่วนใหญ่จดจำภาพของ ออฟ Big Ass บนเวทีได้เสมอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ออฟ Big Ass จะเดินในเส้นทางใหม่ของตัวเองอีกครั้ง เรื่องราวทั้งหมดของอดีตเด็กหนุ่มสายเทคนิคที่ไม่นึกฝันถึงงานด้านดนตรี และไปเรียนสายเทคนิคด้วยความบังเอิญ ก่อนดนตรีจะพาชีวิตหนุ่มคนนั้นมาถึงบทชีวิตช่วงทำงานกับวง Big Ass กระทั่งมาสู่บทบาทงานในสายผู้บริหารหน่วยงานร็อกแห่งแกรมมี่ บริษัทด้านความบันเทิงเบอร์ต้นของไทย ออฟ พูดถึงสิ่งที่พัดพาชีวิตให้มาสู่จัดนี้ได้อย่างน่าสนใจ และเชื่อว่าเป็นบทเรียนที่ใครก็นำไปใช้ได้ ไม่ใช่แค่คนทำงานดนตรี

“ผมชอบประโยคหนึ่งในการ์ตูน Ratatouille ที่บอกว่า ‘การเปลี่ยนแปลงมันเป็นสิ่งที่เราทำได้ และมันจะเริ่มต่อเมื่อเราตัดสินใจ’ คืออนาคตมันจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ถ้าไม่ตัดสินใจก็อยู่ที่เดิม ผมเชื่อว่า ผมกล้าตัดสินใจในทุกช่วงเวลาที่แบบว่ามันถูกมากกว่าผิด ผมจะบอกทุกคนว่าตัดสินใจเลย แล้วมันเดินต่อได้ ซึ่งน่าจะเป็นวิธีคิดนั้นนะ ออกไปเรียนรู้กับมัน

ทุกวันนี้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ ผมยังไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด แต่ผมเชื่อว่ามันท้าทาย แล้วก็ตัดสินใจไปทำมัน ซึ่งงานตัดสินใจมันเป็นงานโดยตรงของโปรดิวเซอร์ มันเป็นส่วนที่สำคัญมาก คุณตัดสินใจสิ่งนี้สิ่งนั้นให้กับวงดนตรี ตัดสินใจเทคนี้ ตัดสินใจเลือกเพลงนี้ ผมว่าชีวิตผมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจมาอย่างยาวนาน

แล้วผมคิดว่า ผมมาถึงตรงนี้ได้เพราะกล้าตัดสินใจ”