ชีวิตบัดซบของ ‘นอสตราดามุส’ เจ้าของ ‘คำทำนายเรื่องโลกแตก’ ที่ถูกส่งต่อกันหลายร้อยปี

ชีวิตบัดซบของ ‘นอสตราดามุส’ เจ้าของ ‘คำทำนายเรื่องโลกแตก’ ที่ถูกส่งต่อกันหลายร้อยปี

คำทำนายเรื่องโลกจะแตกของ ‘นอสตราดามุส’ (Nostradamus) ถูกส่งต่อกันมาหลายร้อยปี แม้เขาเสียชีวิตไปแล้วกว่า 400 ปีก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเจ้าของคำทำนายคือ เรื่องราวชีวิตที่แสนขมขื่นของเขา

  • ‘นอสตราดามุส’ คือนามปากกาของ ‘มิแชล เดอ นอสเทอร์ดัม’ เขาคือเจ้าของคำทำนายที่ส่งต่อกันมากว่า 400 ปี
  • ช่วงที่นอสตราดามุส มีชีวิตอยู่คือช่วงที่ยุโรปเผชิญภัยทั้งโรคระบาดและความขัดแย้งทางสังคม
  • ชีวิตของนอสตราดามุส พบเจอความขมขื่นมากมาย 

เหตุการณ์ร้ายหลายอย่างในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้ายนับแต่กรณี 11 กันยายน 2544 (ค.ศ. 2001) ตามมาด้วยสงครามในตะวันออกกลาง วิกฤติโลกร้อน การแพร่ระบาดของโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ความเชื่อเรื่องโลกแตกเป็นที่พูดถึงกันมาก และพอเป็นเรื่องวิกฤติร้ายแรงระดับโลกเช่นนี้เกิดขึ้นทีไร ชื่อของ ‘นอสตราดามุส’ (Nostradamus) และคำทำนายของเขาก็มักจะเป็นที่พูดถึงกันอยู่เสมอ 

‘นอสตราดามุส’ เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เกิดเมื่อปี ค.ศ.1503 เสียชีวิตไปเมื่อ ค.ศ.1566 นับถึงปีปัจจุบัน ค.ศ.2023 นี้ เขาเสียชีวิตไปเป็นเวลาตั้งกว่า 457 ปี คำถามเบื้องต้นที่หลายคนสงสัยก็คือว่า เพราะอะไร ทำไม คำทำนายของคนเมื่อเกือบ 5 ศตวรรษ ถึงยังเป็นที่เชื่อถือหรือพูดถึงกันอยู่ในปัจจุบัน 

เมื่อดูแต่ละคำทำนายของนอสตราดามุส ก็จะพบว่า ส่วนใหญ่เป็นคำทำนายในแง่ลบเต็มไปด้วยเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นต่าง ๆ นานา เป็นการมองอนาคตอย่างไม่สดใสสวยงาม 

บทความนี้ไม่ใช่จะถกเถียงว่าคำทำนายของนอสตราดามุส แม่นหรือไม่แม่นยังไง หากแต่จะพิจารณาสิ่งซึ่งมีผลให้เกิดคำทำนายเกี่ยวกับโลกและสังคมในแบบของนอสตราดามุส เพราะที่จริงนอสตราดามุส ไม่ใช่คนเดียวที่ให้คำทำนายในลักษณะนี้ 

ปูมหลังชีวิตและสภาพการณ์ของยุคสมัย

‘นอสตราดามุส’ ไม่ใช่บุคคลในตำนานที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง เขาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เรื่องของเขาเองก็กลายเป็นตำนานไม่แพ้คำทำนายของเขาด้วย ศพของเขาฝังอยู่ที่โบสถ์คณะฟรานซิสกันในเมืองซาลอง (Salon) ปัจจุบันกลายเป็นภัตตาคารชื่อ ‘ลาโบรเชอรี’ (La Brocherie) เพราะในช่วงหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789 ได้มีการขุดศพเขาไปฝังที่แห่งใหม่ที่ป่าช้าโบสถ์แซ็ง-ลอแร็งต์ (Saint-Laurent) ศพของเขายังอยู่ที่นี่ตราบทุกวันนี้

‘นอสตราดามุส’ เป็นนามปากกาที่ใช้เขียนหนังสือ ชื่อจริงของเขาคือ ‘มิแชล เดอ นอสเทอร์ดัม’ (Michel de Nostredame) ค.ศ.1503 ที่เขาเกิดนั้นเป็นปีหนึ่งในยุคกลาง เขาเกิดในครอบครัวชาวยิวที่ละทิ้งศาสนาเดิมมานับถือคริสต์นิกายออโธดอกซ์ ชีวิตจึงไม่ได้ราบรื่นตั้งแต่เด็ก เพราะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองชาติพันธุ์ที่มีความเชื่อถือทางศาสนาแตกต่างและไม่ลงรอยกัน คือกลุ่มชาวยิวเดิมกับชาวยุโรปเชื้อสายอื่น ๆ ที่นับถือคริสต์ 

ยุโรปต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 นั้นมีการเรียนการสอนในระดับชั้นมหาวิทยาลัยแล้ว นอสตราดามุส ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอาวีญอง (University of Avignon) แต่เรียนได้เพียงหนึ่งปี  มหาวิทยาลัยต้องปิดตัวลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของกาฬโรค (Black death) ครอบครัวจึงได้ส่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมองเปอลีเยร์ (University of Montpellier) โดยหวังว่าจะเรียนจนถึงขั้นดุษฏีบัณฑิต (ปริญญาเอก)

แต่แล้วไม่นานหลังจากเริ่มเรียนเขาก็ถูกไล่ออก เนื่องจากมหาวิทยาลัยพบว่าเขาหารายได้จากการประกอบอาชีพเป็น ‘เภสัชกร’ ซึ่งสำหรับยุโรปสมัยนั้นยังเป็นอาชีพต้องห้าม ไม่เป็นที่ยอมรับ อนุญาตเฉพาะหมอที่จบแพทยศาสตร์มาโดยตรงเท่านั้นที่มีสิทธิจัดยาให้ผู้ป่วย

แม้ไม่ได้เรียนจบแพทย์ นอสตราดามุส ก็เป็นที่รู้จักและถูกเรียกจากผู้คนว่า ‘หมอ’ หลังถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเขายังคงประกอบอาชีพเป็นหมอและเภสัชกรเถื่อนอยู่ต่อมา นั่นเพราะยุโรปสมัยนั้นถูกคุกคามจากการแพร่ระบาดอย่างหนักของกาฬโรค ผู้คนเรือนแสนเรือนล้านต่างล้มหายตายจากไปเพราะการระบาดของโรคนี้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หมอ เภสัชกร ตลอดจนการรักษาพยาบาลสารพัดทุกวิธีถูกระดมเข้ามาใช้หมด แม้แต่คริสตจักรก็ต้องหันมาเล่นบทบาทรักษาผู้คนจากโรคระบาด

นอสตราดามุส เองก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นผู้ผลิตยาสมุนไพรที่เรียกว่า ‘ลูกกลอนกุหลาบ’ (Rose pill) สำหรับป้องกันกาฬโรค แม้ว่าผู้กินยาของเขาบางคนก็ไม่รอดพ้นความตายจากกาฬโรค แต่ก็ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยนิยมซื้อยาชนิดนี้รวมทั้งชนิดอื่น ๆ อีกสารพัดที่อวดอ้างสรรพคุณป้องกันหรือรักษากาฬโรคได้   

ในจำนวนคนที่กินยาลูกกลอนกุหลาบของเขา แต่ก็ไม่รอดพ้นกาฬโรค มีเมียกับลูกสองคนของเขาเองด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ยาของเขาก็เสื่อมความนิยมลง ความเศร้าเสียใจกับการจากไปของภรรยากับลูก ทำให้เขาตัดสินขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีแล้วออกเดินทางไปจากฝรั่งเศส ไปอยู่อิตาลีอยู่ช่วงหนึ่ง 

ระหว่างที่อยู่อิตาลี เขาได้หันเหความสนใจจากยาสมุนไพรไปสู่เวทมนต์ (magic) และศาสตร์ลี้ลับต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นถูกกีดกันโดยคริสตจักร แต่เมื่อกาฬโรคระบาดจนคุมไม่อยู่ คริสตจักรก็ไม่อาจห้ามปรามผู้คนไม่ให้หันไปหาศาสตร์ความเชื่อลี้ลับเหล่านี้ได้     

เมื่อสำเร็จวิชาลี้ลับแล้ว นอสตราดามุส ได้กลับฝรั่งเศสอีกครั้ง ครั้งนี้เขามี ‘ญาณวิเศษ’ ติดตัวกลับมาด้วย ในค.ศ.1554 ขณะอายุ 51 ปี นอสตราดามุส กลายเป็นหมอดูและนักเขียนที่มีชื่อเสียง เขาได้เขียนคำทำนายออกตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือขายดี พร้อมกับประกอบอาชีพเป็นนักโหราศาสตร์ให้คำทำนายดวงชะตาแก่ผู้คน

ประชาชนชาวฝรั่งเศสบางคนเชื่อว่าเขาเป็นผู้วิเศษ มีอำนาจเวทมนต์ล่วงรู้อดีตและทำนายอนาคตได้ บางคนก็หาว่าเขาเป็นพวกขายวิญญาณให้แก่ปีศาจซาตาน บางคนก็ว่าเขาเป็นแค่นักต้มตุ๋น 

อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเขาในเวลานั้นเกิดดังไกลไปถึงหูของคนในแวดวงชนชั้นสูงของฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนางแคทเธอรีน เดอ เมดีชี (Catherine de' Medici) พระราชินีของพระเจ้าอองรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส ผู้ซึ่งเป็นแฟนคลับผลงานเขียนคำทำนายต่าง ๆ ของเขา ในปี ค.ศ.1555

พระนางได้เรียกเขาเข้าวังไปให้คำทำนายแก่โอรสของนาง นอสตราดามุส ได้ให้คำทำนายอย่างตรงไปตรงมาซึ่งเป็นคำทำนายในแง่ลบ แต่พระนางไม่เพียงไม่กริ้วโกรธเขา กลับแต่งตั้งเขาเป็นที่ปรึกษาหรือ ‘ปุโรหิต’ (Counselor) และหมอหลวง (Physician-in-Ordinary)

หลังจากนั้น ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตรงนี้สำคัญ ในแง่นอกจากเป็นหมุดหมายในชีวิตของเขาเองแล้ว ยังเป็นหมุดหมายสำคัญในงานของเขาด้วย เพราะคำทำนายของเขาที่ออกมาในช่วงนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1555 เป็นต้นมา จะเป็นคำทำนายของปุโรหิตและหมอหลวงของราชสำนักฝรั่งเศสด้วย ผิดไปจากก่อนหน้านั้นที่เขายังเป็นเพียงหมอดูข้างถนนคนหนึ่ง 

เมื่อปุโรหิตและหมอหลวงของราชสำนักที่ตั้งอยู่ใจกลางของยุโรป ก่อนเสียชีวิตได้มีคำทำนายว่าโลกกำลังจะแตก ย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิงกับคำทำนายเดียวกันนี้ที่มาจากหมอดูข้างถนนธรรมดา ดังนั้น ต้องเข้าใจด้วยว่า ในเบื้องต้นราชสำนักฝรั่งเศสเป็นผู้ทำให้คำทำนายของนอสตราดามุส เกิดเป็นที่เชื่อถือขึ้นมาในช่วงระยะแรกเริ่ม

โลกแตก กับศาสนาตะวันตก

ความเชื่อเรื่องโลกแตกมีอยู่ในเกือบทุกลัทธิศาสนาทั่วโลก ตั้งแต่ในอารยธรรมอียิปต์และเมโสโปเตเมีย ปฎิทินของเผ่ามายาในอเมริกาใต้ซึ่งย้อนหลังไปกว่า 2,300 ปี ก่อนหน้า นอสตราดามุส จะเกิดเป็นอันมาก คริสต์ศาสนาก็รับความเชื่อเรื่องโลกแตกมาจากอารยธรรมอียิปต์และเมโสโปเตเมีย 

ศาสนาพราหมณ์ฮินดูของอินเดียก็มีความเชื่อเกี่ยวกับดวงตาที่สามของพระศิวะที่มีพลานุภาพล้างโลกทำลายจักรวาล พุทธศาสนาแม้จะไม่เน้นความเชื่อนี้ แต่ก็มีแนวคิดพื้นฐานว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจังไม่เที่ยง มีเกิดมีดับไม่เว้นแม้แต่โลกและจักรวาล 

อีกตัวอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล ก็คือความเชื่อตาม ‘หลักปัญจอันตรธาน’ ของสังคมพุทธ โดยมีเกณฑ์ทางเวลาว่าจะเกิดขึ้นเมื่อศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมดำรงอยู่ไปจนถึง 5 พันปีแล้วโลกจะสูญสิ้นไป ระหว่างนี้ทุกสิ่งอย่างจะค่อย ๆ เสื่อมลงไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะกลับฟื้นขึ้นสู่อีกยุคของพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือ ‘พระศรีอาริยเมตไตรย’ หรือ ‘พระศรีอาริย์’ ผู้คนถึงจะพบความสุขสัมบูรณ์กันถ้วนหน้า ไม่มีทุกข์โศกโรคภัย และเมื่อสิ้นพระศรีอาริย์ก็จะค่อย ๆ เสื่อมลงอีกเป็นรอบ ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่นนี้อีกตลอด     

กล่าวกันว่า นอสตราดามุส มีชีวิตอยู่ด้วยความกลัว 3 อย่าง คือ

(1) กลัวจะติดเชื้อกาฬโรค เป็นความกลัวที่ปกคลุมชาวยุโรปในยุคนั้นทั่วทุกตัวคน  

(2) กลัวหัวหลุดจากบ่า เพราะเข้าไปพัวพันกับแวดวงชนชั้นสูง บ่อยครั้งที่คำทำนายของเขาไม่เป็นที่สบอารมณ์ แต่เพราะ ‘ติ่ง’ คนสำคัญของเขาคือพระราชินี ซึ่งมีอำนาจที่แท้จริงเหนือราชสำนักฝรั่งเศส ทำให้เขารอดพ้นจากความตายมาได้ หลายครั้งก็อย่างหวุดหวิด

(3) กลัวถูกศาสนจักรจับตัวไปลงโทษ เพราะเขามีคำทำนายเกี่ยวกับการล่มสลายของคริสตจักรไว้ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าเขาถูกคุกคามจากคริสตจักรแต่อย่างใด เพราะเขาเป็นคนของพระราชินีที่มีอำนาจ อีกทั้งคำทำนายของเขาเกี่ยวกับโลกแตกนั้นก็เป็นความเชื่อที่มีอยู่เดิมของคริสต์ศาสนา คริสตจักรบางส่วนจึงมองว่าคำทำนายของเขาเป็นประโยชน์ต่อการโน้มน้าวจิตใจคนให้ยังเชื่อมั่นในหลักคำสอนของพระคริสต์   

รูปปั้นนอสตราดามุส ที่ Salon-de-Provence ภาพจาก BlueBreezeWiki สิทธิ์ใช้งาน CC BY-SA 3.0

Les Prophéties กับคำทำนายโลกแตก 

ใน ค.ศ.1554 หลังกลับจากอิตาลี เขาเริ่มเขียนกาลานุกรม (Almanacs) ออกมาปีละเล่ม ส่วนใหญ่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ของแต่ละปี แต่บางปีก็เริ่มเมื่อวันที่ 1 มีนาคม เมื่อรวมกาลานุกรมทั้งหมดแล้ว จะเป็นคำพยากรณ์จำนวน 6,338 บท เป็นปฏิทินอย่างน้อย 11 ปี 

แต่ผลงานชิ้นเอกที่เป็นที่พูดถึงกันจนทุกวันนี้มีชื่อว่า ‘Les Prophéties’ (เลพรอเฟซี) หรือในภาษาอังกฤษ ‘The Prophecies’ (คำพยากรณ์) ตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.1555 (ปีเดียวกับที่เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิตและหมอหลวงของราชสำนัก)   

‘Les Prophéties’ บรรจุคำทำนายล่วงหน้าช่วงเวลาต่าง ๆ โดยแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 10 ศตวรรษ แต่ละช่วงเขียนเป็นบทกวีเปรียบเปรยสั้น ๆ ราว 4-5 บรรทัด ทั้งหมดมี 942 บท  มีจุดเด่นด้านเนื้อหาที่อ้างอิงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ และการใช้ภาษาโน้มน้าว

ด้วยเหตุนี้ นักวิชาการบางท่านจึงถือว่านอสตราดามุส เป็นนักประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสด้วยผู้หนึ่ง และถือว่า ‘Les Prophéties’ เป็นงานประวัติศาสตร์นิพนธ์ (Historiography) แบบมือสมัครเล่นชิ้นหนึ่งของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส บ้างก็ว่าเป็น ‘ประวัติศาสตร์อนาคต’ (History of future) 

อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ยากจะยอมรับนอสตราดามุส ในฐานะนักประวัติศาสตร์ เพราะวิธีการของเขายังอ้างหลักฐานจาก ‘ญาณวิเศษ’ ที่คนทั่วไปไม่สามารถจะเข้าถึงหรือรับรู้ได้ และหากต้องถือว่าเขาเป็นนักประวัติศาสตร์ก็ย่อมต้องถือว่าหมอดูคนอื่น ๆ เป็นนักประวัติศาสตร์ไปด้วยเหมือนกัน 

ในจำนวนคำพยากรณ์มากมายที่ปรากฏใน ‘Les Prophéties’ ที่ถือว่า ‘เล่นใหญ่’ นั้นมี 5 ข้อด้วยกันดังนี้:  

  1. จะมีมหาสงครามครั้งใหญ่: “Seven months into the Great War, people dead of evil-doing.”
  2. จะเกิดหายนะแก่ราชวงศ์: “Celestial fire on the Royal edifice.”
  3. คริสตจักรถูกท้าทาย: “In the final persecution of the Holy Roman Church, there will be Peter the Roman, who will feed his flock amid many tribulations, after which the seven hilled city will be destroyed and the dreadful Judge will judge the people. The end.”
  4. ความอดอยากยากจนจะแผ่ไปทั่วและทวีความรุนแรงยิ่ง: “No abbots, no monks, no novices to learn; honey shall cost far more than candle-wax,” และ “So high will the bushel of wheat rise, that man will be eating his fellow man.”
  5. จะมีภัยลึกลับจากนอกโลก: “Celestial fire when the lights of Mars will go out.”

Post-diction กับการทำนายที่ไม่มีวันผิด 

จะเห็นได้ว่า ทุกข้อล้วนสามารถนำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังไปตีความเข้ากับตัวบทได้หมด จากยุคสมัยของนอสตราดามุส มีสงครามใหญ่หลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยุโรป สงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชวงศ์ฝรั่งเศสที่พบเจอการปฏิวัติ 1789 หรืออย่างกรณีการปฏิวัติจีน ค.ศ.1911 การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ.1917 คริสตจักรก็ถูกท้าทายอยู่ตลอดจนเกิดกระแสฟื้นฟูศิลปวิทยาการนับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ความอดอยากยากจนที่แผ่ขยายทั่วโลกก็เป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่ในศตวรรษปัจจุบัน ภัยลึกลับจากนอกโลกก็ถูกตีความเข้ากับความเชื่อเรื่องการรุกรานจากมนุษย์ต่างดาว เหล่านี้ล้วนแต่มีผู้นำเอาไปตีความว่าเกิดขึ้นตรงตามคำทำนายของนอสตราดามุส   

การตีความคำทำนายของนอสตราดามุสมีลักษณะเป็น ‘การตีความหลังเหตุการณ์’ (Post-diction) ไม่ใช่ ‘การตีความที่เป็นจริงก่อนเกิดเหตุการณ์’ (Pre-diction) เป็นการทำนายที่ไม่มีทางผิด เพราะสามารถจะนำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังไปตีความเข้ากับคำทำนายในอดีตได้เสมอ 

แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคำทำนายที่มองได้ว่าผิดทั้งหมดด้วยเช่นกัน อีกทั้งการไม่มี Pre-diction ยังถือว่าผิดขนบของโหราศาสตร์ จนไม่อาจถือเป็นคำทำนายตามหลักโหราศาสตร์ได้ แต่ก็นั่นแหละ ‘แฟนคลับ’ ของนอสตราดามุส ก็มีคำอธิบายสำหรับประเด็นนี้อยู่แล้วด้วย  

ในการให้คำทำนาย นอสตราดามุส มักจะให้ ‘ลูกค้า’ ส่งมอบวันเดือนปีเกิด เขียนลงบนตารางให้สำหรับใช้ทำนาย ไม่มีการคำนวณตัวเลขเหล่านั้นด้วยตนเองเหมือนดังที่นักโหราศาสตร์มืออาชีพกระทำ และเมื่อจำเป็นต้องคำนวณให้ตามตารางวันเดือนปีที่เผยแพร่กันอยู่แล้ว ก็ปรากฏว่าเขามักคำนวณพลาดอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังไม่สามารถกำหนดเลขชะตาให้ตรงกับวันเดือนปีหรือสถานที่เกิดของลูกค้าได้ 

แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับนอสตราดามุส เพราะเขาอ้างว่าที่มาของคำทำนายของเขานั้นมาจาก ‘ญาณวิเศษ’ ไม่ได้มาจากการคำนวณตัวเลขวันเดือนปีเกิด ถึงเขาจะเคยเรียนโหราศาสตร์ที่มีการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยสมัยนั้น แต่ไม่ได้เรียนจนจบการศึกษาตามหลักสูตร ที่สำคัญการไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยสำหรับปุโรหิตและหมอหลวงของราชสำนักแล้วไม่ถือเป็นปัญหาแต่อย่างใด

เมื่อเขียนคำทำนายตีพิมพ์เป็นหนังสือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาฝรั่งเศส นอสตราดามุส ก็เป็น ‘โหรนอกขนบ’ ของยุคสมัย เพราะไม่ลงวันเวลาที่แน่นอนกำกับไว้ในคำทำนาย แต่เขียนเป็นบทกวีที่ไพเราะชวนให้จดจำ

การทำเช่นนี้ นอสตราดามุส อาจมีข้ออ้างอีกว่า ทำไปเพราะเกรงจะถูกต่อต้านด้วยเหตุผลทางศาสนา เขาจึงเขียนให้มีเนื้อความกำกวมและครอบคลุมเข้าไว้ โดยใช้กลวิธีทางวากยสัมพันธ์แบบเวอร์จิล (Virgil) อีกทั้งยังเล่นคำ และแทรกภาษาอื่นปะปน เช่น ภาษากรีก, ภาษาอิตาลี, ภาษาละติน และภาษาถิ่นพรอว็องส์ในฝรั่งเศส   

กล่าวโดยสรุป

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากปูมหลังชีวิตและสภาพการณ์ของยุคสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่นอสตราดามุส มีชีวิตเผชิญอยู่และจนกระทั่งสร้างคำทำนายบรรลือโลกออกมา จะพบว่ายุคนั้นยุโรปกำลังเผชิญการแพร่ระบาดของกาฬโรค สังคมเกิดความระส่ำระสาย เพราะผู้คนทยอยล้มหายตายจากไปมากภายในเวลาอันรวดเร็ว

คริสตจักรและราชวงศ์ที่มีอำนาจอยู่ต่างพบความสั่นคลอนเนื่องจากไม่สามารถรับมือหรือแก้ไขสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นได้ หลังจากนอสตราดามุส เสียชีวิตไปเพียง 50 ปี ยุโรปก็เปลี่ยนผ่านจากยุคกลางเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)

ชาวยุโรปในยุคของนอสตราดามุส ต่างต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคู่ตรงข้ามของสองสิ่งที่ขัดแย้งกัน เช่น ระหว่างความเป็นกับความตาย ศาสนากับวิทยาศาสตร์ ศิลปะกับเวทมนต์ ฯลฯ จึงเกิด ‘ช่องว่าง’ สำหรับคนที่ดูเหมือนจะมีทั้งสองขั้วอยู่ในตัวคนเดียวแต่ก็ไม่เสียทีเดียว คือคนแบบนอสตราดามุส ที่เคยเรียน ‘ศาสตร์ทางโลกย์’ ในมหาวิทยาลัยแม้จะไม่จบการศึกษาก็ตาม แต่เขาก็ได้พิสูจน์ตนเองจนเป็นที่ยอมรับกับคนที่เรียน ‘ศาสตร์ลี้ลับ’ เพราะศาสตร์ทางโลกย์อย่างวิทยาศาสตร์สมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าพอจะจัดการกับโรคระบาดได้ 

ที่สำคัญ สถานภาพทางสังคมของเขาในช่วงเวลา 10 ปีสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้คำทำนายของเขาเกิดแพร่หลายและเป็นที่เชื่อถือมากขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก คือการที่เขาได้รับแต่งตั้งเป็นปุโรหิตและหมอหลวงของราชสำนัก 

ประกอบกับคำทำนายของเขาเองก็มีลักษณะเป็น ‘ตัวบทที่ลื่นไหล’ เป็นคำทำนายที่ผิดไปจากขนบของโหราศาสตร์ ไม่มีตัวเลขวันเดือนปีที่แน่นอนกำกับคำทำนาย จึงสามารถนำเอาไปตีความเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง (ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ปีใด) ได้หมด 

อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวยุโรปจำนวนไม่น้อย คำทำนายของนอสตราดามุส ย่อมมีลักษณะเป็น ‘ภูมิปัญญามรดกจากบรรพชน’ เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติเลวร้ายลงในช่วงหลังก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้คนจะหวนคิดกลับไปหาคำอธิบายในอดีตมาเป็นคำอธิบายในปัจจุบัน 

บรรพชนอย่างนอสตราดามุส ผู้ซึ่งเคยเผชิญวิกฤติมาก่อน สำหรับผู้คนในยุคสมัยเดียวกับนอสตราดามุสแล้ว กาฬโรคที่ทำให้ความตายมาจ่ออยู่แค่ที่ปลายจมูก ย่อมทำให้ความคิดที่ว่าโลกกำลังจะแตกนั้นดูเป็นความจริงที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้วนั่นเอง 

แต่เหตุการณ์อย่างเดียวกัน เมื่อเกิดในช่วงเวลาต่างกัน ผลลัพธ์ที่เกิดตามมาย่อมต่างกันด้วยเสมอ เพราะเงื่อนไขปัจจัยแวดล้อมต่างไปจากเดิม มีหลายสิ่งอย่างที่คนรุ่นนอสตราดามุส ไม่มีและไม่รู้จัก สุดท้ายจึงข้ามพ้นวิกฤติโลกแตกต่าง ๆ กันมาได้เสมอนั่นแหละ               

 

อ้างอิง:

Alexandra, Rae. “Perhaps Nostradamus Predicted Coronavirus After All...” in kqed.org (Published: April 6, 2020).

Binder, Rainer. “Nostradamus: Facs, Quotes, and Predictions” in history.com (Updated: July 26, 2022).

Elwell, James H. Nostradamus: The key to prophecy. Independently published, 2022.

Nostradamus. The Prophecies (Les Prophéties): English-French Parallel Text Bilingual Edition, Texte Parallèle Anglais-Français Édition Bilingue. Raul Kask (ed.) and Edgar Leoni (Trans.), ndependently published, 2021.

Reading, Mario. Nostradamus: The Complete Prophecies for The Future. Watkins Publishing, 2015.

Staff, Reuters. “False claim: Nostradamus predicted the coronavirus outbreak” in reuters.com (Published: April 10, 2020).