สัมภาษณ์ บอ. บู๋ เด็กผีเดนตาย มองแมนฯ ยูฯ หลังยุคเฟอร์กี้ “ช่วงนั้นแม่งโคตรอัปยศ”

สัมภาษณ์ บอ. บู๋ เด็กผีเดนตาย มองแมนฯ ยูฯ หลังยุคเฟอร์กี้ “ช่วงนั้นแม่งโคตรอัปยศ”

แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด ตัวยงของไทย จะมีใครเกินกว่า บอ.บู๋ - บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร คอลัมน์นิสต์แห่งสยามกีฬา เรื่องราวของเขามีหลายมุมที่น่าสนใจ ไม่แพ้วาทะดุเดือดที่เป็นเสน่ห์ประจำตัว

ถ้าให้นึกถึงแฟนบอลปีศาจแดงตัวยงในไทย ในรายชื่อต้องมี บอ.บู๋ ติดอยู่ด้วยแน่นอน แต่กว่าที่จะมาเป็น บอ.บู๋ ในทุกวันนี้ บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร มาจากเด็กไม่ตั้งใจเรียนที่คลั่งไคล้ฟุตบอลขั้นไม่มีงานทำร่วมปี เพราะรอจะสมัครงานกับบริษัทสื่อด้านกีฬาที่ชื่นชอบเพียงแห่งเดียว

กว่าจะเป็น บอ.บู๋ เขายังเคยโม้กับย.โย่ง ว่าทักษะภาษาอังกฤษดี ทั้งที่เรื่องจริงกลับตรงกันข้าม แต่ยังพัฒนาตัวเองจนทำงานได้ มาทำงานในยุคปีศาจแดงรุ่งเรือง ผ่านพ้นจนถึงยุคตกต่ำ

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของทีม แฟนบอลล้วนสัมผัสกับการหยอกล้อกันเสมอ กระทั่งบทบาทของสื่อสังคมออนไลน์เข้ามามากขึ้น ทำให้ประสบการณ์หยอกล้อเริ่มเปลี่ยนไปด้วย

ชีวิตของ บอ.บู๋ ที่อยู่เบื้องหลังหน้ากระดาษและฝีปากกล้าในฐานะเด็กผีตัวยงผ่านอะไรมาบ้าง บางอย่างอาจเคยเล่าไว้หลายที่แล้ว แต่การเล่าแต่ละครั้งมีอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างกันไป บทสัมภาษณ์นี้คือสไตล์และอารมณ์ในบริบทเฉพาะกาลของห้วงเวลานั้น

The People: ฟุตบอลมีความหมายอย่างไรต่อคุณ 

บอ.บู๋: คือสำหรับผม ตอนผมเรียนหนังสือนี่ผมไม่ค่อยตั้งใจเรียนนะ ไม่ตั้งใจเรียนเลยวาดการ์ตูนมั่ง ทำนู่นทำนี่มั่ง คือไม่สนใจเรียนเลย ไม่เคยเห็นความสำคัญของการเรียนหนังสือเลยเป็นเด็กที่แบบไม่เอาถ่าน ตอนนั้นเนี่ยมันเป็นแบบนั้น 

แต่ว่าผมมีความรู้สึกว่าสิ่งที่ผมชอบ ก็คือฟุตบอล ผมชอบอ่านหนังสือฟุตบอล ผมชอบดูฟุตบอล ผมชอบเตะฟุตบอลเพราะฉะนั้นเนี่ยมันคือสิ่งที่เราถนัดที่สุด

เพราะฉะนั้น ทำอะไรที่ชอบ ที่รัก ที่บ้า มันก็จะมีความสุข มันก็จะมีความรู้สึก ถ้าพูดหล่อ ๆ นะ แม่งเหมือนไม่ได้ทำงาน แต่จริง ๆ มันไม่ใช่

มันก็มีเหนื่อย มันก็มีท้อ มันก็มีแบบเซ็ง มันก็มีเบื่อเหมือนกัน เพียงแต่ว่าโดยรวมแล้วเนี่ย มันก็ดีกว่าไปชอบปลากัด...มันก็มีความท้าทาย

มันก็มีอย่างน้อย ๆ มันเป็นสิ่งที่เราชอบ พอเราชอบอะไรแล้วเนี่ย เราก็ทำแล้วเราก็จะมีความสุขของเรา อันนี้ก็คิดแบบนี้

The People: อะไรที่ทำให้มาเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

บอ.บู๋: เรื่องที่มาเชียร์แมนฯ ยูฯ ผมก็ค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่นนะฮะ คนอื่นก็อาจจะชอบดาราคนนั้น ชอบวิธีการเล่นแบบนี้ ย้อนกลับไปสมัยผมเด็ก ๆ  นะฮะ ผมมีลูกพี่ลูกน้องอยู่คนนึง เขาบ้าบอลมาก่อนผมเขาก็เป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นเด็กหงส์

เขาก็อยากจะมีเหมือนประมาณว่าแบบมีคู่ มีน้องมาคอยมาคุยเรื่องฟุตบอลหรือมีคนคอยมาเถียง ให้มาเป็นแฟนบอลอีกทีมนึงอะไรอย่างนี้

เขาก็แนะนำ เขาเป็นคนที่แบบว่าพูดง่าย ๆ เลยเขาเป็นคนที่แบบทำให้ ถ้าใช้ศัพท์ก็คือเขาเป็นคนดึงให้เข้า ดึงให้เราเข้าวงการฟุตบอลใช่ไหมครับ เขาก็เอาหนังสือนิตยสารสตาร์ซอคเกอร์เนี่ย ผมจำได้เลยเป็นฉบับพิเศษ

เขาก็มาชวนเราดูบอลอังกฤษ เขาชวนดูบอลอังกฤษ เขาเป็นเด็กหงส์ เขาบอกว่าเห้ย เขาเรียกจอมนี่อะ เขาเปิดหนังสือมานะฮะมันก็จะเป็นตราสโมสรของแต่ละสโมสรเรียงกันในยุค 80s นะ

เขาก็เปิดมาให้ผมดูว่าอยากจะเชียร์ทีมอะไร ผมก็ดูจากตราสโมสร ลิเวอร์พูล เป็นหงส์แดง อาร์เซนอล เป็นปืนใหญ่ อิปสวิช เป็นม้าขาว นอทติ้งแฮม ฟอเรสต์เป็นต้นไม้ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เป็นไก่ แอสตัน วิลล่า เป็นสิงโต

ผมมาสะดุดตาตรงเครื่องหมายของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันเป็นปีศาจใช่ไหม มันเป็นปีศาจยืนถือสามง่ามอยู่ ผมก็นั่งนึก เห้ย อันนี้แม่งโดน มันเตะตามากเพราะว่าผมสังเกตแล้วเนี่ยอันอื่นมันเป็นสัญลักษณ์...เป็นสัตว์เป็นสิ่งของเช่นปืนใหญ่ เป็นต้นไม้อะไรอย่างงี้

แมนฯ ยูฯ นี่แม่งเป็นปีศาจ ใช่ไหมมันเป็นปีศาจซึ่ง เฮ้ย แม่งฉีกว่ะ แม่งคนอื่นเขาเป็นสัตว์ มึงเป็นปีศาจซะงั้น แล้วก็ชื่อ ชื่อคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้สึกว่ามันเป็นชื่อที่ฟังแล้วมันไพเราะเสนาะหู

รุ่นพี่เขาเชียร์ลิเวอร์พูลโดยที่ผมไม่รู้นะ ผมก็ว่า กูเชียร์ทีมนี้โดยที่ไม่รู้ว่าแมนฯ ยูฯ กับลิเวอร์พูล เขาเป็นคู่รักคู่แค้นกันมาก่อน ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันก็กลายเป็นว่า ผมเชียร์แมนยู บอกพี่เขา บอกผมเอาอันนี้ตราปีศาจเนี่ยพี่ทีมนี้ อ๋อ เขาก็นี่แมนยู

นับตั้งแต่นั้นก็เริ่มศึกษา เริ่มอ่านเรื่องราวของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากนิตยสารสตาร์ซอคเกอร์ เชื่อไหมฮะ แค่ปีเดียว ผมเริ่มเชียร์แมนฯ ยูฯ ที่บอกลูกพี่ลูกน้องเนี่ยปี 1982 ถัดมาแค่ปีเดียวฮะ 1983 แมนฯ ยูฯ เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 2 รายการ

รายการแรกคือลีกคัพ ตอนนั้นเรียกมิลค์คัพ (Milk Cup) ชิงกับลิเวอร์พูล นั่นคือครั้งแรกที่ได้เห็นแมนฯ ยูฯ แพ้ด้วย ลิเวอร์พูลนัดชิงแต่เห็นแมนฯ ยูฯ วันที่แพ้อะ รู้สึกว่าทีมนี้เล่นบอลเร้าใจดี เล่นเกมรุกแล้วก็พอแพ้ปุ๊บมันยิ่งเกิดความที่ว่า อ่าวยิ่งต้องเชียร์ ชิงลีกคัพแพ้ลิเวอร์พูล พอสิ้นฤดูกาล ชิงเอฟเอคัพกับไบรท์ตันนะ แล้วก็ได้แชมป์เอฟเอคัพ

มันเหมือนกับว่ามันเป็นบุพเพสันนิวาส อยู่ดี ๆ กูเลือกเชียร์ทีมนี้แล้วอยู่ดี ๆ เชียร์ได้ปีเดียวแม่งมาถ่ายทอดสดให้กูดูสองนัด ซึ่งย้อนกลับไปในยุคที่ผมบอกเนี่ย ในยุค 80 เนี่ยมันไม่มีถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีกไม่มีถ่ายทอดลีกสูงสุดทุกนัดหรือเดือนละนัดก็ไม่มี

มันมีแค่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลของอังกฤษสองรายการ คุณไม่ได้เข้าชิงชนะเลิศ คุณไม่มีทางดูสด ๆ คุณจะดูได้ก็ต่อเมื่อคุณไปดูเทปบันทึกภาพจากรายการฟุตบอลดารา ตอนบ่ายวันเสาร์ช่อง 5 เขาจะเอาเทปมาให้ดูซึ่งมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้ดูแมนฯ ยูฯ ตลอด

มันก็มีทีมนู้นทีมนี้ใช่ไหม มีวูลฟ์ส มีสเปอร์ส มีทีมอื่นใช่ไหม มันก็เหมือนกับว่าดวงมันสมพงษ์กันก็เลยเชียร์แมนยูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครับ 

บอ.บู๋

The People: ผ่านมาถึงวันนี้ มองย้อนกลับไป วันนั้นถือว่าเลือกถูกไหม

บอ.บู๋: เลือกถูกเลยฮะ รู้สึกเลยแบบ โห แม่ง คือแมนฯ ยูฯ ทำให้เรามีทุกวันนี้ ทำให้เราไม่ใช่มีแค่ทุกวันนี้ ไม่ใช่มีแค่มีคนรู้จัก พอเป็นคอลัมน์นิสต์อะไรอย่างนี้ มันช่วยให้เรามีกินมีใช้ ใช้ประโยชน์จากเขาได้

คือพูดง่าย ๆ ว่าแมนยูเป็นผู้มีบุญคุณเลย ผมทำหนังสือเกี่ยวกับแมนฯ ยูฯ ผมก็ได้รายได้มาจากแมนฯ ยูฯ แมนฯ ยูฯ ได้แชมป์ ผมทำหนังสือ มีคนอยากดูผมทำทัวร์ ทำอะไรอย่างนี้

ทุกอย่างเหมือนกับมันเป็นการตอบแทนกลับมาหมดเลย ก็ถือว่าโชคดีมากที่วันนั้นเลือกแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

The People: แต่ละยุคที่ผ่านมาชอบยุคไหนที่สุด มียุค 80s ยุคเฟอร์กี้ และมายุคหลังเฟอร์กี้

บอ.บู๋: ผมดูแมนฯ ยูฯ มาตั้งแต่ยุค 80s ซึ่งตอนนั้นในยุค 80s ทั้งยุคเลยนะ แมนฯ ยูฯ ไม่เคยลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเลย เต็มที่ได้แค่ลุ้นแชมป์เอฟเอคัพนะ ลุ้นแชมป์บอลถ้วย เอฟเอคัพ ลีกคัพนะครับ

ผมเลยมาชอบยุคที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บุกเบิกขึ้นมาจนกระทั่งคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จ แล้วก็ยืนระยะมา 20 ปี ชอบยุค  90s ที่สุด

เพราะว่าเป็นยุคที่มันดูฟุตบอลแล้วมันมีความสุข มันได้แชมป์เยอะ มันประสบความสำเร็จมากมาย แล้วที่สำคัญ แมนฯ ยูฯ มันเป็นทีมที่เล่นแล้วดูสนุก ดูแล้วมันเร้าใจ แล้วมันมีความดราม่า

มันไม่ใช่ว่าเก่งแบบโอ้โหเลิศเลอเพอร์เฟคต์ กูเจอใครกูล่อแม่ง 4-0 ล่อแม่ง 5-0 ไม่ใช่อย่างนั้น

คือมันจะมีแบบ อ่าวเห้ย โดนนำกำลังจะแพ้ โดน 2-0 พลิกกลับมาชนะ กำลังจะตายอยู่รอมร่อ โกงความตายได้สำเร็จ คือความดราม่าของแมนยูมันเยอะมาก มันเยอะมากโดยเฉพาะในยุค 90s 

คิดง่าย ๆ อย่างปี 1999 ที่ได้ทริปเปิ้ลแชมป์เนี่ย ทั้งสามถ้วยมันดราม่าหมดเลย มันมีเหตุการณ์ให้พูดถึงได้นะครับ มีรายละเอียดเยอะแยะมากมายเป็นประวัติศาสตร์ที่นำมาใช้ได้อีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ก็เลยชอบยุค 90s ที่สุด พอมายุค 2000 เนี่ย แมนฯ ยูฯ ยังครองความยิ่งใหญ่อยู่ เพียงแต่ว่าพอมายุค 2000 นี่ เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งคือ ฟุตบอลมันเริ่มมีกลยุทธ์นะครับ

จากยุค 80s ยุค 90s เนี่ยถ้าเราสังเกตให้ดี ฟุตบอลยุคนั้น แทคติกมันยังไม่เยอะแยะมากมาย มันมีแล้วแหละแทคติกอะ เพียงแต่ว่ายุคนั้นเอาง่าย ๆ ขนาดวิมเบิลดันแม่งเป็นทีมเล็ก ๆ เป็นทีมที่แบบดาราเยอะ แต่เวลาวิมเบิลดัน เจอแมนฯ ยูฯ วิมเบิลดันเจอทีมที่ใหญ่กว่าอย่างลิเวอร์พูล เขาไม่มีรถบัสนะฮะ วิมเบิลดันไม่มีรถบัสนะฮะ ไม่ได้มาตั้งรับรอสวนกลับนะฮะ คือแม่งวัดเลย

กูเจอลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูลบุก กูบุกเลย กูโยนใส่เลย เพียงแต่ว่าสไตล์การเล่มของแต่ละทีมมันไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ฟุตบอลอังกฤษสมัยก่อน ถ้าเป็นมวย มันแลกหมัดกันหมด อยู่ที่ว่าจังหวะใครจังหวะมัน แต่พอมายุค 2000 เนี่ยมันเริ่มมีเรื่องของแทคติกฟุตบอลเข้ามา พอมีเรื่องแทคติกของฟุตบอลเข้ามา มันจะกลายเป็นว่าฟุตบอลเนี่ย ไอ้ความเร้าใจในการแลกหมัดกันมันลดน้อยลง

มันกลายเป็นว่า อะกูเจอทีมเก่งกว่า เรื่องอะไรกูไปแลก กูตั้งรับ แมนฯ ยูฯ ยุค 2000 ก็เหมือนกัน คือเฟอร์กี้ เขาก็ขึ้นไปอีกระดับหนึ่งว่า ถ้าเล่นเหมือนเดิม ถ้าบุกแหลกอย่างเดียวเนี่ยแม่งไม่ประสบความสำเร็จ มันก็ต้องมีการยืดหยุ่น มีบางนัดต้องเล่นเกมรับบ้าง บางนัดต้องรัดกุมบ้าง

เพราะฉะนั้น ยังประสบความสำเร็จแต่รูปแบบการเล่นมันพัฒนาขึ้นในเรื่องของกลยุทธ์เพราะฉะนั้นเนี่ย ความสนุกในการดูบอลมันลดลงแต่ลดลงไม่เยอะ มันลดลงนิดนึง

ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างตอนแมนยูเป็นแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2007-2009 เราจะเห็นว่าแมนฯ ยูฯ เป็นทีมที่เสียประตูน้อยใช่ไหม เก็บคลีนชีทได้เยอะ ถามว่าเพราะอะไร เพราะว่าเฟอร์กี้ เขาพัฒนาขึ้นมาว่า เห้ย มันเล่นเกมรุกอย่างเดียวไม่ได้ เกมรับมันก็ต้องเหนียวแน่นด้วย คุณจะประสบความสำเร็จในยุโรป คุณจะไปสุ้กับทีมในยุโรป คุณบุกตะพึดตะพือไม่ได้แล้ว

คุณต้องรู้จักวางแผน คุณต้องรู้จักวางใช้เหลี่ยนเล่ห์กลยุทธในการเล่นมากขึ้นอะไรอย่างงี้ก็เลยชอบยุค 90s มากกว่า 2000 เพราะว่ามันดูสนุกเร้าใจกว่า

The People: เวลาเป็นแฟนแมนฯ ยูฯ แล้วมาเจอกับลิเวอร์พูล อะไรที่มันทำให้รู้สึกอึดอัดใจที่สุด ไม่ว่าจะแขวะกัน แซะกัน 

บอ.บู๋: โอ้ ไม่เลย ไม่เลยก็คือผมอยู่ในยุคที่ว่าไอ้การแซวกัน บลัฟกันเนี่ยเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้วก็เรารู้อยู่แล้วแหละว่าฟุตบอล กีฬาเนี่ยมันแซวกันได้ มันเป็นสีสัน แต่ว่ามันรู้กันอยู่ว่าทำโดยแค่พอหอมปากหอมคอ แค่แบบว่าไม่ใช่มึงไปกระทืบให้จนดินเลยนะ มันก็ต้องมียืดหยุ่นบ้าง ซึ่งมันเป็นเหมือนกับการโต้วาทีกันมากกว่าแซวกันไปแซวกันมา หรือคือพูดง่าย ๆ ว่าลิเวอร์พูลเนี่ยมาเทียบกับแมนฯ ยูฯ ในยุคที่แมนฯ ยูฯ ยิ่งใหญ่เนี่ย ลิเวอร์พูลก็สู้แมนฯ ยูฯ ไม่ได้  แชมป์ก็ไม่ได้ เวลาเจอกันแมนฯ ยูฯ ก็ชนะมากกว่า 

แต่ผมยังจำได้นะเวลาผมปะทะฝีปากกับพี่แจ็คกี้ ขึ้นไปเวทีรวม แดงเดือดอะไรอย่างนี้ พี่แจ็คกี้เขาก็เอาคืนผมได้ตลอดเวลา เขาก็จะต้องหามุมนั้น หามุมนี้ มันก็จะมีแง่มุมมีเรื่องที่จะมาบลัฟคืนผมได้แม้ว่า ลิเวอร์พูลจะเป็นเบี้ยล่างของแมนฯ ยูฯ 

คือตอนนั้นประสบความสำเร็จสู้แมนฯ ยูฯ ไม่ได้ ซึ่งมันสนุกตรงนี้ เพียงแต่ว่า เราเล่นกันเนี่ยเราแซวกันเนี่ย มันรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่ามันคือความเป็นเพื่อนกัน มิตรภาพนะ

คือมันไม่ใช่ว่ามันต้องประหัดประหารกันด้วยคำพูดที่ทำให้มึงเจ็บช้ำน้ำใจที่สุด คำพูดที่แบบจะทำให้มึง โห ลงไปชักดิ้นชักงออะไรแบบนี้ มันไม่ถึงขนาดนั้น บางทีเราคิดว่าในใจ มุกนี้กูเล่นมึงได้นะเว้ย กูเอามึงตายได้เลย กูหัวเราะเยาะมึงได้แบบนี้ เราก็เลี่ยงไม่พูดถึงก็ได้ ไม่ทำก็ได้ เพราะว่าอะไร มันก็คนรู้จักกัน

บอ.บู๋

The People:  อะไรที่มันทำให้เราประทับใจที่สุดในการเป็นแฟนแมนฯ ยูฯ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ นักเตะ หรือเหตุการณ์อะไรก็ตาม

บอ.บู๋: ผมมองว่าแมนฯ ยูฯ ถ้าเป็นหนังคือความดราม่ามันสูง ทำเป็นซีรีส์ได้แล้วแยกภาคได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของสโมสร เรื่องราวของผู้จัดการทีม เรื่องราวของผู้เล่น มันมีเรื่องราวเยอะแยะมากมายที่เอามาเขียนได้ไม่มีวันหมด 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุที่สนามบินมิวนิคปี 58 เรื่องของการไม่ได้แชมป์มา 26 ปี เรื่องของเฟอร์กี้มา การได้สามแชมป์ การแพ้ลิเวอร์พูล เรื่องของแบบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ผมรู้สึกว่าเชียร์แมนฯ ยูฯ แล้วก็ลิเวอร์พูล ผมให้สองทีมเลยคือสองทีมนี้แม่งคล้าย ๆ กัน มันถึงเป็นคู่แค้นกัน มันจะมีเรื่องราวเยอะแยะมากมาย ถ้าเป็นหนังนี่มันเป็นหนังแบบโอ้โหแม่งแพรวพราวหลากหลายมาก มันไม่ทื่อ มันไม่เรียบ ไม่ใช่สารคดีแบบดุ่ม ๆ ไป 

มันมีขึ้น มีจังหวะขึ้น มีจังหวะลง มีแบบชีวิต มีรันทด มีสมหวัง มีแอคชั่นพูดง่าย ๆ ว่าแม่งครบเครื่อง มันก็เลยประทับใจตรงจุดนี้ 

The People: ช่วงไหนที่แมนฯ ยูฯ ทำให้รู้สึกอัปยศ

บอ.บู๋: ช่วงนี้ฮะ ช่วงล่าสุดนี้ คือผมมานั่งคิดนะ ตั้งแต่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลาตำแหน่งไปเนี่ยมานั่งคิด ปีแรกที่อำลาไปเนี่ย โอเค มันเป็นช่วงที่อัปยศมากช่วงนั้น คือช่วงนั้นถามว่าอัปยศเพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเจอความตกต่ำแบบนี้ 

เพราะว่าแมนยูเนี่ยครองอำนาจมา 20 ปี ไม่เคยพลาดแชมป์เกิน 3 ฤดูกาลนะฮะ เต็มที่ไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแค่สามฤดูกาลติดต่อกัน ไม่เคยมากกว่านั้น เสร็จ จากพอได้แชมป์ฤดูกาล 2012-2013 แล้วมา 2013-2014 พอเดวิด มอยส์ เข้ามาเนี่ยจากจุดที่มันเคยอยู่สูงสุด แม่งวูบลงมาอย่างนี้เลย 

ตอนนั้นรับไม่ได้เพราะว่ามันไม่เคยชิน มันไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ว่าอยู่ดี ๆ มึงแม่งตกบันไดทีแปดขั้น มึงไม่ได้ตกทีละขั้น มึงแม่งตกรวดเดียวเหมือนหลังคาทะลุเลย ผมรู้สึกว่าช่วงนั้นแม่งโคตรอัปยศเลย 

พอผ่านช่วงนั้นมาได้ อาการมันก็เริ่มดีขึ้น เริ่มอันดับสูงขึ้น เริ่มกลับมาได้แชมป์บอลถ้วยบ้าง เอฟเอคัพบ้าง ได้ยูโรปาลีกบ้างอะไรบ้าง ก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ย่ำแย่ไป เดี๋ยวกลับมาดีเอง 

ปรากฎพอมาช่วงล่าสุดอย่างฤดูกาลล่าสุดใช่ไหมฮะ กลายเป็นว่าโอ้โห เห้ยมันเล่นแบบมันไม่ใช่แค่ว่าเล่นแบบไม่มีรูปแบบนะ คือมันเล่นสะเปะสะปะไม่มีระบบ ไม่มีทีมเวิร์ค ที่มันทำให้แฟนแมนยูท้อมากที่สุด เสียใจ ละเหี่ยใจมากที่สุดเนี่ยคือเล่นแบบไม่เอา เล่นแบบไม่สู้ เล่นแบบงอมืองอตีน 

เกิดมาผมไม่เคยเจอแมนยูแพ้ลิเวอร์พูลคาบ้าน 5-0 สองนัดแพ้แบบไปกลับ 9-0 โดยเล่นที่ใช้คำภาษาอังกฤษว่า เอ้าท์คลาส  (outclass - ห่างชั้น) มันชัด ๆ เลยว่ามึงเอ้าท์คลาส ไปเทียบกับลิเวอร์พูลสมัยก่อนตอนครองความเป็นมหาอำนาจ เวลาเจอลิเวอร์พูล โอเค แมนฯ ยูฯ ชนะเยอะกว่าก็จริงแต่ไม่เคยชนะลิเวอร์พูลแบบเอ้าท์คลาส 

และที่สำคัญคือลิเวอร์พูล ตัวผู้เล่นด้อยกว่าแต่แม่งสู้ตาย ถึงจะแพ้ เขาสร้างความลำบากใจให้ได้ บางปีเขาพลิก เขาบุกมาชนะทั้ง ๆ ที่ตัวผู้เล่น โค้ชเขาก็สู้เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันไม่ได้ แต่พอมายุคนี้ เหี้ย แม่งไม่ใช่แล้วอะ คือสมัยก่อนลิเวอร์พูลว่าแย่ มึงแย่กว่ามันไม่รู้เท่าไหร่ 

คือกลายเป็นว่าไอ้สมัยก่อนที่มึงไปข่มเขา ไปแบบโวใส่เขา ไปแบบยืดได้ กร่างได้กลายเป็นว่าแบบโอ้โหตอนนี้ กลายเป็นสิ้นสภาพไม่เหลือคราบของทีมที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย มันเลยเป็นยุคที่ท้อมาก 

ท้อแบบเอาง่าย ๆ ย้อนกลับไปฤดูกาลที่ผมบอกอะ 2013-2014 ที่เดวิด มอยส์ ทำ ทั้งฤดูกาลอะผมดูแมนฯ ยูฯ ไม่จบนัดเดียว ถามว่าทำไมดูไม่จบ คือทนดูไม่ได้ ดูแล้วรู้สึกแม่งสิ้นหวัง ดูแล้วรู้สึกแม่งเล่นส้นตีน แม่งอะไรของมึงวะ แม่งไม่เห็นหัวอกแฟนบอล ฤดูกาลขอลเดวิด มอยส์ ผมรู้สึกอย่างงั้นแค่นัดเดียว 

ฤดูกาลล่าสุดที่เพิ่งจบไป ผมรู้สึกอย่างนี้ร่วม 10 นัด กูแม่งไม่อยากดูแล้วหวะ กูก็ต้องดูเหมือนแบบ เหมือนเห็นภาพบาดตาบาดใจ เหมือนเห็นภาพคนที่เรา...แล้วแม่งโดนข่มเหงโดนข่มขืนโดนรังแกอย่างงี้ แล้วกูก็ต้องทนดูแม่ง ผมเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ในฤดูกาลที่ผ่านมา เกือบ 10 นัดอะ 

รู้สึกแบบ ทำไมกูต้องมาอะไรกับอย่างนี้ ทำไมนักบอลไม่นึกถึงแฟนบอลเลย ไม่นึกเลยว่าเล่นจบไปปุ๊บ กูแพ้เขาอย่างงี้ มึงแพ้แบบสิ้นสภาพไม่เหลือความศักดิ์ศรี***อะไรเลยอย่างงี้ แล้วมึงไม่นึกถึงแฟนบอลว่า แฟนบอลแม่งจะโดนคู่แค้นคู่แข่งอัดหนักขนาดไหน ไม่นึกถึงหัวอกแฟนบอลเลย 

บอ.บู๋

The People: ตั้งแต่เส้นทางที่เข้ามาสู่สยามกีฬา อะไรที่ทำให้รู้สึกเสียใจที่สุด แล้วก็รู้สึกภูมิใจกับมันที่สุด สองอย่างนี้ครับ

บอ.บู๋: เสียใจ เอาตรง ๆ นะ ไม่เคยเสียใจที่มาทำงานที่นี่ (สยามกีฬา) เลย อาจจะมีบ้างในเรื่องของการทำงาน ในเรื่องของการที่ไม่เข้าใจ ในเรื่องที่เราโดนลงโทษหรืออะไรก็ตามแต่เนี่ย แต่ผมมองว่ามันก็เหมือนกันทุกที่ ไม่ว่าคุณจะทำงานที่ไหน ไม่ว่าคุณจะทำงานเป็นอะไร คุณจะทำงานเป็นตำรวจ เป็นหมอ เป็นผู้บริหารหรืออะไรอย่างนี้ คุณก็จะเจอเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องของชีวิตเรา 

การทำงาน ผมก็จะไม่เอาเรื่องพวกนี้มา ทั้ง ๆ ที่นับตั้งแต่ทำงานมาถึงขณะนี้ 30 ปี มันก็ต้องมีฮะ ก็ต้องมีเรื่องแบบกูไม่อยากอยู่แม่งแล้วหวะ กูแม่งไม่ไหวหวะ ทำไมแม่งไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาโดนอย่างงี้วะ ก็มีเยอะ แต่โดยรวม ผมมองว่ามันก็เป็นเรื่องหยุมหยิม เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ไม่งั้นผมก็ไม่อยู่ยาวถึงขนาดนี้หรอก 

คิดง่าย ๆ คือถ้าไม่มีความสุข ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ก็ถ้ายังอยู่ก็ยังแสดงว่า มีความสุขกับการทำงานกับที่นี่อยู่ ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่มันย่ำแย่ 

ส่วนเรื่องที่ประทับใจก็ต้องบอกว่า ที่นี่ก็เหมือนสนามที่ให้ผมลงเล่นนะฮะ ถ้าไม่มีสนาม ผมก็ไม่มีโอกาสโชว์ฝีเท้าให้ใครรู้จัก เพราะว่าผมมาในยุคอนาล็อก ในยุคที่คนอ่านจากสื่อกระดาษอยู่ไม่เหมือนยุคนี้ 

ยุคนี้ใครก็ตั้งตัวเป็นสื่อได้ มีมือถือ ตั้งตัวเป็นสื่อได้เลย อยากจะทำเพจ อยากจะทำให้ตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นผู้เชี่ยวชาญก็อันนี้ก็เรื่องของคุณไป แต่ผมมาในยุคที่ว่าผมต้องพิสูจน์ความสามารถ ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ เขียนอะไรไปแล้วลงได้เลย มันก็ต้องผ่านกระบวนการ พิสูจน์ ตรวจทาน ปรูฟก่อนอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ผมก็ยังมีความสุขกับการทำงานตรงนี้อยู่ครับ