23 ม.ค. 2566 | 15:18 น.
นี่คือเรื่องจริงส่วนหนึ่งในชีวิตของ ‘ต้น’ จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ หนุ่มใหญ่มาดเท่วัย 50 ที่หลายคนอาจจะรู้จักเขาในบทบาทของ CEO บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด เจ้าของขนมกรุบกรอบยอดนิยมอย่าง ‘โก๋แก่’ ขนมถั่วที่เคี้ยวเมื่อไหร่ก็ ‘มันส์ทุกเม็ด’ แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตที่อาจจะเรียกได้ว่าตรงข้ามกันอย่างสุดขั้ว ก็คือการเป็นเจ้าของค่ายหนังและเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยทางเลือก, เป็นคนทำหนังอาร์ต หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าเป็น...‘คนทำหนังอินดี้’ ก็ได้
แต่จากวันนั้นที่เขาเริ่มต้นทำหนังและมีคนดูเฉพาะกลุ่มอย่างภาพยนตร์เรื่อง ‘Sur-real เกมส์พลิก / โชคชะตาเล่นตลก / รักตาลปัตร’ ที่ออกฉายในปี 2557 ‘หนังคัลต์’ สุดมันส์ที่รวมเอาหนังหลายเรื่องย่อยอยู่ในนั้น กับเรื่องราวตีแผ่มุมมืดของสังคมไทย หรือกระทั่งก่อนหน้านี้กับหนังสั้นแนวทดลองอย่าง ‘มันส์ทำเรื่อง’ ในปี 2552 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ ‘โก๋ฟิล์ม’ ค่ายหนังที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยเงินส่วนตัวเพราะความชอบล้วน ๆ
จนล่าสุด เขากำลังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตัวเองเป็นครั้งแรกด้วยการทำหนังยาวเต็มรูปแบบในชื่อ ‘Resemblance ปรากฏการณ์’ ภาพยนตร์แนว Sci-Fi / Erotic เรื่องแรกของเมืองไทยที่ได้นักแสดงนำเบอร์ต้นของประเทศอย่าง อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม มาร่วมในโปรเจกต์ใหญ่ครั้งนี้ของเขาด้วย และได้รับคัดเลือกให้ผ่านมาตรฐานกองเซ็นเซอร์ไทยได้ฉายในโรงภาพยนตร์ด้วยเรท 18+ ทั่วประเทศในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ได้อีกด้วย
เลยถือเป็นโอกาสดีมาก ๆ ที่ The People ได้ถูกเชิญชวนให้มาพูดคุยและสัมผัสถึงตัวตนของเขาในอีกหนึ่งบทบาท กับการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่เขาหลงรักและหลงใหล ผ่านการตอบคำถามในแบบฉบับ ต้น - จุมภฏ…ที่บอกได้เลยว่า ทั้งมันส์! ทั้งดิบ! ทั้งเถื่อน! และเรียลสุดๆ !
The People : พี่ใช้ชีวิตยังไงให้แบ่งร่างได้ กับชีวิตที่เหมือนหนังคนละม้วนแบบนี้ ?
“พี่ว่าการทำธุรกิจครอบครัว มันก็จะมีความกดดันแบบนี้ พอเราไปสู่โลกกว้าง มันไม่ได้เป็นแค่เราคนเดียว ความกดดันจากพ่อไปถึงลูก เป็นทุกธุรกิจ”
“พี่ไปอยู่อังกฤษตั้งแต่อายุ 17 กลับมาทุกครั้งพ่อแกก็จะแบบ “มึงไปกับเซลล์คนนี้…” “ออกไปกับเซลล์คนโน้น” ไปเช้าเย็นกลับแบบนี้ประจำแล้วมันก็รู้สึกว่าไม่สนุกตอนเด็กๆ มันก็อยากจะเที่ยวเล่น แต่พอกลับไทยทุกที พ่อพี่ก็จะให้เริ่มฝึกงานการขายกับเซลล์”
“แต่พอเราได้ทำเต็มตัวมันก็ถึงจุดหนึ่ง ที่เหมือนกับผลงานของเรามันพิสูจน์ ตัวเลขขายโตขึ้น ตลาดโตขึ้น ยอดขายดีขึ้น มันมีการเปลี่ยนแปลง แล้วรุ่นพ่อเราก็จะค่อยๆ วางมือลง”
The People : แล้วแบ่งเวลาอย่างไรเพราะทั้งสองงานก็ต้องทุ่มเทเวลาไม่ต่างกัน ?
“พี่ยังชอบไลฟ์สไตล์แบบนี้อยู่ ก็จะแบ่งเวลาแบบนี้ ทำงานเราก็ทำงานไป หลังเลิกงานเราก็มาเขียนบทหนัง มาดูหนัง ทำหนังเขียนบท ทำ Pre-Production ทำ Production เสาร์-อาทิตย์ ก็ไปถ่ายหนัง” “ปกติต้องบอกก่อนว่าคิวหนังของพี่เป็นคิวที่ค่อยข้างจะแปลกกว่าคิวอื่นๆ นะ กองอื่นๆ เขาจะถ่ายทุกๆ วัน แต่ของพี่คือเราถ่ายอาทิตย์หนึ่งประมาณสามวัน พี่จะจัดคิวประมาณ วันพุธหนึ่งวัน พุธ เสาร์ อาทิตย์ อะไรแบบนี้ อาทิตย์นึงประมาณสัก 2-3 คิว”
The People : แล้วที่บ้านทำไมยอมให้ทำแบบนี้ ?
“จริงๆ ไม่ยอม แต่อยากทำ หนีไปทำไม่ได้บอกเขานะ เคยมีออกกองแบบใส่สูทก็มีนะบอกพ่อว่าไปสัมมนา ตอนนั้นตอนไปออกกองเราก็จะบอกเขาว่าไปสัมมนาใส่สูทผูกไทต์ไปกำกับหนังก็มี พอไปถึงกองก็ถอดทิ้งหมดอะ จนกระทั่งออกมาเป็น Sur-real” “เรื่องนี้บอกเลยว่า ก็ต้อง bullshit กันไป บางคิวแอบถ่ายก็มีซึ่งมันจะยุ่งหน่อยก็ช่วงที่ไปถ่ายทำต่างจังหวัดที่ราชบุรีหรือเพชรบุรีอะไรแบบนี้แอบถ่ายกันไป”
ความมันส์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
เหมือนกับว่าชีวิตของ ต้น จุมภฏ จะเป็นชีวิตที่มันส์เอาเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นอย่างที่ได้เกริ่นไว้จริงๆ แต่ DNA ความมันส์นี้อาจจะเป็นอะไรที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่เขาได้ทำหนังเรื่อง ‘Surreal’ ส่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์โดยไม่สนใจเรื่องของผลกำไรหรือขาดทุนอะไรทั้งนั้น เขาก็ได้เล่าวินาที ที่คุณพ่อของเขาได้ดูหนังที่เขานั้นพยายามแอบไปทำมาครั้งแรก
“พ่อเขาก็มีแอบไปดู ตอนนั้นพี่อยู่ที่ CentralWorld เขาโทร. มาบอกเราว่าตอนนี้กูมาดูหนังมึงที่ Lido นะ เราก็ไอ้เหี้ย จะว่าอะไรกูหรือเปล่าวะ แกกลับพูดชื่นชมเราบอกว่า ‘ไอ้เหี้ย กูชอบมากเลย หนังมึงแม่งพูดตรง ๆ ดี ไอ้สังคมไทยมันก็เป็นแบบนี้แหละ เหี้ย เออ…กูว่ากูชอบว่ะ หนังแม่งพูดตรงๆ ดี ถูกใจกู’”
เพราะความชอบทำให้เกิดความใช่กลายเป็นตัวตนที่ชัดเจน
และเมื่อย้อนกลับไปในช่วงวัยรุ่นของเขาในวัยที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน เขาเองก็เหมือนหนุ่มวัยรุ่นหลาย ๆ คน ที่มีความเป็นศิลปินสูง ชื่นชอบความอิสระ และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มันส์เหมือนวัยรุ่นอยู่ตลอดเวลาก็คงจะเป็นตอนที่เขาถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้เห็นโลกที่มันกว้างขึ้นกว่าเด็กวัยเดียวกันในยุคนั้น
.
“ช่วงที่เปิดโลกเลยคือช่วงที่ไปอยู่ต่างประเทศ คือมันเดินทางเอง แล้วก็รู้สึกเลยว่ามันไม่เหมือนกับไทยเลย คือโรงหนังเยอะไปหมด มันทั่วลอนดอน ทั่วปารีส แล้วพอเข้ามายุค 90s มันจะเป็นช่วงที่แบบพวกหนังอาร์ตแม่งมาแล้ว ผู้กำกับเจ๋ง ๆ แม่งมาหลายคน มันมีหนังประเภทนี้ด้วยเหรอวะ เราก็เริ่มเสพ”
และนี่คือส่วนหนึ่งของคลังภาพยนตร์ ที่เขาได้เล่าให้เราฟัง ว่าหนังแบบไหนที่เขาชอบดูจนหล่อหลอมให้เขาหลงรักและชอบดูภาพยนตร์ฝรั่งเศษแบบเข้าไส้ เราเลยจะขอบอกชื่อหนังหลายๆ เรื่องเอาไว้เผื่อใครที่อยากลองเปิดใจดูว่าหนังอาร์ทๆ ที่เขาพูดถึงมันเป็นยังไงเริ่มตั้งแต่หนังสามตอนที่ใช้เฉดของโทนสีบอกเล่าเรื่องราว Three Colors trilogy กำกับโดย Krzysztof Kieślowski (คริสซ์ตอฟ เคียสลอฟสกี้) หรือ The Big Blue หนังดราม่าปี 1988 กำกับโดย Luc Besson (ลุก แบซง)
แต่ถ้าหากจะกล่าวถึงหนังสักเรื่องหนึ่งที่สร้างแรงบัลดาลใจให้เขาอยากลุคขึ้นมาเป็นผู้กำกับได้กลับกลายเป็นหนังที่ไม่ได้ดิบเถื่อนอะไรในแบบที่เราเห็นผ่านผลงานของเขาเลยก็คือหนังเรื่อง Night on Earth ของ จิม จาร์มุช (Jim Jarmusch)
“มีหนังเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของพี่เลยนะ เรื่องนี้ชื่อเรื่อง Night on Earth คือพี่ไปดูเพราะมันมีเพื่อนที่มาบอกว่า มึงไปดูเรื่องนี้ มึงน่าจะชอบ พี่ก็ไปดูเรื่องนี้เรื่อง Night on Earth ของ จิม จาร์มุช (Jim Jarmusch) เรื่องนี้พอไปดูปุ๊มันเป็นเรื่องราวของแท็กซี่คันหนึ่ง แท็กซี่ทั้งหมด 4 ประเทศ เป็นหนังสั้นทั้งหมด 4 เรื่อง แท็กซี่ 4 คัน อยู่ใน 4 ประเทศ เรื่องราวก็อยู่ในแท็กซี่คันเหล่านั้นจาก 4 ประเทศ” “แล้วพี่ก็รู้สึกว่า แบบนี้มันเป็นหนังด้วยหรอวะ มันง่ายจังเลย แล้วก็ถ่ายง่ายๆ คนไม่กี่คนก็เป็นหนังได้เราก็รู้สึกว่าแล้วหนังแม่งก็ตลกมุกเหี้ยอะไรของแม่ง
ก็ไม่รู้อะ (แต่เอาคนดูอยู่ทั้งเรื่อง?)”
เปลือยหนังไทยผ่านปรากฏการณ์สุดวาบหวาม
The People : จากผู้กำกับหนังดิบเถื่อนกลายมาเป็นหนัง sci-fi / erotic ได้ยังไง ?
“ได้มาอ่านหนังสือของพี่คุ่น เรื่องนอนใต้ละอองหนาว อ่านแล้วรู้สึกว่ามันเป็น erotic แต่มันจะมีภาพของ fantasy ในหนังสือเขาด้วย เป็นเรื่องราว fantasy นิดๆ ไม่เยอะ พอเรามานั่งอ่านตั้งแต่บทแรก อ่านแล้วแม่งก็ถูกใจฉิบหายเลย จำได้วันนั้นอ่านจนจบเลย อ่านตั้งแต่บ่าย จบตอนเย็น แล้วคิดไม่นานก็รู้สึกว่าชอบมาก โทรหาพี่คุ่นเลย อยากจะทำเรื่องนี้ เราก็ขยายความเป็น fantasy ของเขาให้เป็น Sci-Fi เพราะด้วยหนังสือมันเป็น erotic อยู่แล้ว มันเลยเป็น sci-fi / erotic”
แต่มีอยู่หนึ่งอย่างที่เขาได้บอกกับเรา..ว่าไม่เคยให้สัมภาษณ์ในมุมมองนี้ที่ไหนมาก่อนกับเรื่องของความรู้สึกที่อยู่ในใจภายใต้การสวมหมวกของผู้บริหารคนหนึ่ง
“พอพี่ทำหนัง erotic ไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าเรามีหมวกนึงคือหมวกนักธุรกิจแล้วมันจะกระทบกับ branding ไหม อันนี้ก็คือมุมที่คิดเหมือนกันนะ”
“ตอนช่วงที่พี่อายุสัก 20-30 ปี มันเป็นช่วงที่พี่คิดว่ากรอบมันชัดเจนมาก มันจะมีกรอบนึงที่พี่รู้สึกว่าการโป๊เปลือยแม่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เลย แล้วมันก็จะรู้สึกว่าไอ้คนทำหนัง erotic นี่มันเป็นคนแบบ โรคจิต กาม มันจะมาเป็นภาพแบบนี้ แล้วคราวนี้พี่รู้สึกว่าพอมาในยุคนี้ การพูดจาหรือการ express อะไรในโลกออนไลน์ มันพูดได้มากขึ้น”
The People : ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่ปล่อยมาตอนสังคมเปิดรับพอดี?
“มันตรงเวลามากๆ แล้วพี่รู้สึกว่าคนแยกออกระหว่างว่านี่คือโก๋แก่ นี่คือผู้บริหารมาทำหนัง พี่ว่าคนมันแยกกันได้แล้ว มันเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ไปแล้ว”
“ไอ้ความรู้สึกโป๊เปลือยมันมาจากไหน? พี่รู้สึกว่าพี่เสพหนังฝรั่งเศสเยอะอยู่ปารีสเนี่ย คือชอบอะไรที่เป็นฝรั่งเศสแม่งเปิดนมทุกเรื่องเป็นเรื่องปกติมากๆ พี่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ”
The People : มุมมองที่ว่าถ้านางเอก ‘ถอดแล้วเกรดตก’ พี่มองเรื่องนี้อย่างไร ?
“หนังประเทศไทยหรือเอเชียมันควรจะต้องเล่าให้มันครบ มันถึงจะเป็นชีวิตคน อย่างเมื่อวานนี้พี่ดูหนังเรื่อง Speak No Devil แค่ฉากเข้าห้องน้ำ คนเราอยู่ด้วยกันเป็นผัวเมียกัน แม่งใส่เสื้อผ้าปะ แม่งก็ไม่ใส่ แต่พออยู่ในหนังไทย ดาราเปิดนมปั๊ป มันหมดราคา แต่พี่ว่าฝรั่งเศสมันมองแค่ว่า มันเรื่องปกติ มันเป็นชีวิตของมัน แค่นั้น”
The People : พี่ใช้หนังเป็นการตั้งคำถามหรือการแฉสังคมเพราะอะไรทำไมต้องใช้วิธีนี้ ?
“อย่าง Surreal หรือ Resemblance เราไม่ได้แคร์ตลาดมาก พี่ไม่ได้แคร์ว่าคนจะชอบ พี่ไม่มีโปรดิวเซอร์ที่จะบอกเราอะไร พี่ว่าอันนี้มันเป็นแต้มต่อ และทำให้เราทำได้ เราอยากทำอะไรเราก็ทำแล้วพี่ก็ไม่ได้แคร์ว่าหนังมันต้องคืนทุน เราลงเงินไปเยอะ แล้วไม่ได้เงินกลับมา ไม่ได้คิด”
The People : ถ้าอย่างนั้นสุดท้ายเลยพี่ทำไมต้องมาดู Resemblance?
“ต้องถามแบบนี้ว่า หนังไทยเราไม่มีหนังไซไฟมากี่ปีแล้ว เรื่องสุดท้ายที่เป็นไซไฟคือเรื่องอะไร แม่งนึกไม่ออก แล้วพี่ถามว่าเราห่างจาก erotic มากี่ปีแล้ว น้ำตาลแดงปะ จันดารา แล้วพี่ก็บอกนักแสดงตั้งแต่ Day 1 เลย พี่บอกกับแท็กว่าต้องการแบบนี้ เล่นแบบนี้ แล้วภาพกับกล้องต้องการแบบนี้ แล้วพี่มั่นใจนะว่าฉากเซ็กซืนไม่มีอะไรแรงเท่าเรื่องนี้ มีไซไฟเข้าไปด้วย แล้วไซไฟมันก็เป็นเรื่องสนุกนะ มีแฟนตาซีอะไรเข้ามาด้วย เนื้อเรื่องก็แปลกๆ weird weird”
ถ้าจะบอกว่า..นี่คือชีวิตของคนหนึ่งคนที่ต้อง “สลับร่างเปลี่ยนอารมณ์” ในแบบที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วก็คงไม่ผิดมากมายนักและจากนี้หากมีใครสักคนมาถามเราว่าในโลกนี้จะมีใครไหมที่จะสามารถใช้ชีวิตให้ “มันส์สุดๆ ในทุกทางและมันส์สุดๆ ในผลงานแทบทุกเม็ด” ได้ขนาดนี้ก็คงจะต้องนึกถึงชื่อของผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกๆ เลยครับ ต้น จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ และตั้งแต่ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 นี้เป็นต้นไปต้องหาเวลาไปดู Resemblance ปรากฏการณ์ ในโรงภาพยนตร์กันให้ได้ครับ
Resemblance ปรากฏการณ์ | Teaser Trailer https://www.youtube.com/watch?v=z7R0CZ0GQyU