มัลคอล์ม เอ็กซ์: นักปฏิวัติผิวดำ ปีศาจในคราบคนขาว กับการเบิกเนตรครั้งสุดท้ายก่อนตาย

มัลคอล์ม เอ็กซ์: นักปฏิวัติผิวดำ ปีศาจในคราบคนขาว กับการเบิกเนตรครั้งสุดท้ายก่อนตาย

‘มัลคอล์ม เอ็กซ์’ นักปฏิวัติผิวดำ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่า ‘คนดำ’ คือชนชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่หลังจากเดินทางไปเข้าร่วมประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะห์ ซาอุดิอาระเบีย เขากลับพบว่าความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าจะมีสีผิว ดวงตา และเส้นผมสีใด ทุกคนก็คือมนุษย์ไม่ต่างกัน

  • ‘มัลคอล์ม เอ็กซ์’ เป็นลูกชายคนที่ 4 เกิดและโตมาในครอบครัวคนดำ ผู้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม
  • ชีวิตวัยเด็กของเขาไม่มีความสุขมากนัก หลังจากพ่อเสียชีวิต แม่ก็ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวช เขาจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าและใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์
  • อายุได้ราว 14 ปี มัลคอล์มถูกจับเข้าคุกในข้อหายาเสพติดและลักทรัพย์ ขณะอยู่ในเรือนจำเขาได้ศึกษาแนวคิดของ ‘ชาติอิสลาม’ (Nation of Islam) กลุ่มลัทธิที่มองว่าคนดำเหนือกว่าปีศาจผิวขาว ตาฟ้า จนเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในปี 1948

“สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิ์ที่พระเจ้ามอบให้คุณ สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ทุกชนชาติบนในโลกนี้ให้การยอมรับ” — มัลคอล์ม เอ็กซ์

การเรียกร้องความเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็น สีผิว เชื้อชาติ เพศสภาพ ยังคงเป็นสิ่งที่ดูจะไกลเกินกว่าความเป็นจริงนัก แม้ในปัจจุบันผู้คนจะเริ่ม ‘ตระหนัก’ มากขึ้น แต่ต้องยอมรับตามตรงว่า ไม่ว่ากระแสธารแห่งกาลเวลาจะพัดผ่านไปนานแค่ไหน เกลียวคลื่นแห่งความเกลียดชังและอคติทางเชื้อชาติ ยังคงปรากฏชัดอยู่ตามหน้าข่าว โดยเฉพาะช่วงสองถึงสามปีให้หลัง ที่เรามักจะเห็นข่าวชาวเอเชียถูกทำร้าย เพราะความกลัว...

ความกลัวทำให้ดวงตาคนเรามืดบอด ความกลัวทำให้หลายคนยอมทำลายฝ่ายตรงข้าม และความกลัวที่เป็นสิ่งสมมติขึ้นมานี่เอง ทำให้ ‘อคติทางเชื้อชาติ’ ยังคงแทรกซึมอยู่ในทุกสังคม ไม่ว่าสังคมนั้นจะได้รับการยอมรับว่าศิวิไลซ์หรือมีอารยะกว่าชนชาติอื่นมากเพียงใด แต่เพราะสิ่งสมมติเหล่านี้ทำให้กลุ่มคนที่แตกต่าง ถูกผลักให้กลายเป็นอื่นในสังคม

‘มัลคอล์ม เอ็กซ์’ (Malcolm X) เองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกสังคมผลักให้กลายเป็น ‘คนนอก’ เพียงเพราะผิวดำขลับที่ได้มาจาก ‘เอิร์ล ลิตเติล’ (Earl Little) นักเทศน์แบปติสต์ผู้เป็นพ่อ และ ‘หลุยส์ นอร์ตัน’ (Louise Norton) ผู้เป็นแม่ ทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในสมาคมฟื้นฟูสภาพนิโกรสากล (Universal Negro Improvement Association - UNIA) ทำให้เขามองเห็นความไม่เท่าเทียมมาตั้งแต่เด็กก็ว่าได้

การเรียกร้องความเท่าเทียมเพื่อคนผิวดำของครอบครัวลิตเติล ถึงคราวต้องหยุดชะงัก หลังจากพ่อของเขาถูกกลุ่มเหยียดผิว ‘Black Legion’ (กลุ่มนายทหารนอกประจำการ) ขับรถชนและเสียชีวิตในปี 1931 ความตายของสามีทำให้หัวใจหลุยส์แหลกสลาย เธอเสียสติจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ สุดท้ายก็ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชตั้งแต่ปี 1939 – 1965

เด็กชายมัลคอล์ม เอ็กซ์ น้องชายคนเล็กจากพี่น้อง 4 คน ในวัย 14 ถูกส่งตัวไปให้อยู่ในความดูแลของครอบครัวอุปถัมภ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองดีทรอยด์ การขาดพ่อและแม่ที่มีสายเลือดเดียวกัน ทำให้เขาหลงทาง จนพาตัวเองเข้าสู่โลกอีกใบที่เต็มไปด้วยความเน่าเฟะ มัลคอล์มทำทุกอย่างเท่าที่วัยรุ่นคนหนึ่งจะทำได้ ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่เส้นทางมิจฉาชีพ พัวพันกับยาเสพติด ไปจนถึงลักเล็กขโมยน้อย จนกระทั่งถูกจับกุมในปี 1946 พ่วงด้วยบทลงโทษจำคุก 10 ปี

ชีวิตในเรือนจำทำให้หูตาของเขาเปิดกว้าง เขาตั้งใจศึกษางานเขียนหลากรูปแบบ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และศาสนา แถมยังเป็นหนอนหนังสือผู้หลงใหลในงานวรรณคดีคลาสสิกอีกหลายเล่ม การอ่านทำให้โลกอันดำมืดถูกชะล้างให้ขาวสะอาดอย่างช้า ๆ

เขามองเห็นแล้วว่าสิ่งที่จะช่วยทวงคืนความยุติธรรมในชีวิตที่ถูกฉาบทับด้วยผิวสีดำของเขา คือการเข้าร่วมกับ ‘ชาติอิสลาม’ (Nation of Islam) กลุ่มลัทธิที่มองว่าคนดำเหนือกว่าปีศาจผิวขาว ตาฟ้า โดยกลุ่มนี้ มีความเชื่อ 3 ประการ นั่นคือ 1.นับถืออัลลอฮ์เป็นพระเจ้า 2.ถือว่าคนผิวขาวคือสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย และ 3.ถือว่าคนผิวดำคือชนชาติที่เหนือกว่าทุกเผ่าพันธุ์

มัลคอล์ม ในวัย 26 ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มในปี 1948 พร้อมทั้งปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด เขาไม่เคยนึกสงสัยว่าแนวคิดเหล่านี้สุดโต่งหรืออันตรายแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เขาเชื่ออย่างสุดใจว่านี่คือ หลักคำสอนที่ดีที่สุดเท่าที่ศาสนาหนึ่งจะมอบให้ได้

หลังจากได้รับการปล่อยตัว เขาพบกับ ‘อีไลจาห์ มูฮัมมัด’ (Elijah Muhammad) ผู้นำขบวนการชาติอิสลามจึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม และสร้างตัวตนใหม่จากครอบครัว ‘ลิตเติล’ เปลี่ยนเป็น ‘เอ็กซ์’ (X) โดยให้เหตุผลว่า หมายถึงการสลัดสิ่งชั่วร้ายในอดีตทิ้งไป และมีชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า มาลิก อัล-ชาบาซ (Malik Al-Shabazz)

ด้วยความที่เขาเป็นคนเคร่งศาสนาตัวยัง ทำให้เขาได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้นำกลุ่ม จนได้รับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรี’ และโฆษกแห่งชาติ ของสำนักฮาร์เล็ม (นครนิวยอร์ก) ชุมชนอิสลามที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และที่สำคัญการกล่าวปราศรัยทุกครั้ง ยังสามารถโน้มน้าวให้คนเข้าร่วมกลุ่มเพิ่มขึ้นจาก 500 คนในปี 1952 เป็น 30,000 ในปี 1963

หลังจากทำหน้าที่เผยแผ่แนวคิดอย่างจริงจัง ในปี 1958 เขาเริ่มสร้างครอบครัวของตัวเองขึ้นมา โดยแต่งงานกับ ‘เบ็ตตี้’ (Betty) สมาชิกในกลุ่ม ทั้งคู่มีโซ่ทองคล้องใจด้วยกันทั้งหมด 6 คน โดยลูกสาวฝาแฝดสองคนเกิดหลังจากเขาเสีนชีวิตในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1965 ได้ราวหนึ่งเดือน

แต่ความสำเร็จของเขากลับสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว แถมความสัมพันธ์กับ อีไลจาห์ ยังแย่ลงอย่างรวดเร็ว เพราะมัลคอล์มรู้มาว่า อีไลจาห์ แอบคบชู้ ทำให้สมาชิกในกลุ่มจำนวนหนึ่งตัดสินใจลาออกจากกลุ่ม มัลคอล์มทั้งรู้สึกผิดหวังในตัวผู้นำ และช้ำใจอย่างหนักที่ชักชวนคนเข้าร่วมกลุ่ม เพราะไม่คิดว่าคนที่เขาเคารพจะกลายเป็นจอมหลอกลวง

ไม่นานนัก มัลคอล์มก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี และห้ามสมาชิกพูดคุยกับเขาเป็นเวลา 90 วัน หลังจากเขาวิพากษ์วิจารณ์ประธษนาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี (John F. Kennedy) และวิพากษ์แนวทางการต่อสู้ของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง (Martin Luther King) แต่มัลคอล์มไม่ยอมรับบทลงโทษ เขาพาครอบครัวไปเยี่ยม  เคสเซียส เคลย์ (Cassius Clay) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘มูฮัมหมัด อาลี’ (Muhammad Ali)

เรียกได้ว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทซี้ปึ๊กชนิดที่ว่า ถ้าเห็นมัลคอล์ม ก็ต้องเห็นอาลี แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ถูกทำลายลง เพียงเพราะผู้นำกลุ่มสั่งห้ามติดต่อกับอดีตรัฐมนตรีคนนี้ เพราะอาลีเองก็เป็นคนเคร่งศาสนาคนหนึ่ง หากผู้นำสั่งอะไร เขาก็พร้อมปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

วันที่ 8 มีนาคม 1964 มัลคอล์มประกาศแยกตัวออกจากกลุ่มอย่างเป็นทางการ และประกาศจัดตั้งองค์กรทางศาสนาของตัวเองขึ้นมาในชื่อ Muslim Mosque

เมื่อเป็นอิสระจากกลุ่มเดิม เขาเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะห์ ซาอุดิอาระเบีย ระหว่างวันที่ 13-30 เมษายน 1964 การเดินทางครั้งนี้ทำให้โลกที่เขาเคยรับรู้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะทุกความเชื่อในอดีต ถูกลบล้างลง หลังจากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนขาวที่เขาเคยตราหน้าว่าเป็น ‘ปีศาจ’ เกือบหนึ่งเดือน

“ในชีวิตข้าพเจ้า ไม่เคยมีครั้งใดที่จะได้รับความอบอุ่น ความจริงใจ ข้าพเจ้าเข้าใจและสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของความเป็นพี่น้อง เมื่อทุกคน ทุกสีผิว ทุกเชื้อชาติ ต่างมารวมตัวกัน ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อันเคยเป็นบ้านของท่านนบีอิบรอฮีม นบีมุฮัมหมัด และศาสดาอื่น ๆ ของชาวคัมภีร์” (จากบทความ ฮัจญ์: มุมมองจากคนสีผิวอย่าง มัลคอมเอ็กซ์ เขียนโดย ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ islammore.com)

“ข้าพเจ้าเดินวนรอบอาคาร 7 รอบโดยการนำของเด็กหนุ่มชื่อ มูฮัมหมัด ข้าพเจ้าดื่มน้ำจากบ่อน้ำซัมซัม... และได้แต่พร่ำเพ้อ วิงวอนขอพรต่อพระเจ้าที่เนินเข้าอะเราะห์ฟะฮ์ การสรรเสริญสดุดีทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิทธิแห่งพระองค์อัลลอห์ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก”

มัลคอล์มได้สัมผัสกับคนที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า ผู้คนเรือนแสนเดินทางมาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วยศรัทธาอันแข็งแกร่ง จนทำให้เขาเกิดความละอายใจที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่า คนขาวคือปีศาจ และคนดำมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนทุกชนชาติ

“คนทุกสีผิวไม่ว่าจะเป็นคนที่มีนัยน์ตาสีฟ้าหรือชาวอัฟริกันผิวดำกร้าน แต่เราต่างมาร่วมประกอบพิธีกรรมเดียวกัน มาร่วมแสดงจิตวิญญาณของความเป็นหนึ่งเดียวและความเป็นพี่น้องกัน ซึ่งจากประสบการณ์ของผมในอเมริกานั้นทำให้ผมเคยเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวสีอื่น ๆ” (จากบทความ ฮัจญ์: มุมมองจากคนสีผิวอย่าง มัลคอมเอ็กซ์ เขียนโดย ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ islammore.com)

แม้ว่าเขาจะ ‘เบิกเนตร’ รับรู้ความบริสุทธิ์ของศาสนา แต่เขากลับทำหน้าที่เผยแผ่แนวคิดเหล่านี้ได้เพียงไม่นาน ขณะกำลังเดินทางไปบรรยายและกล่าวปราศรัยในอีกหลายเมือง และเดินทางมาถึงนิวยอร์กในวันที่ 21 พฤษภาคม 1964 เขากลับถูกอดีตกลุ่มที่เขาเคยศรัทธาตามรังควาน และสร้างความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน หนักสุดก็พยายามปลิดชีพโดยการวางเพลิงบ้านที่ครอบครัวเอ็กซ์อาศัยอยู่

แต่ควันไฟก็ไม่อาจทำลายความศรัทธาที่ชายคนนี้มีต่อศาสนาลงไปได้ มัลคอล์มยังคงออกเดินทางกล่าวปราศรัยเรื่องสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และการสร้างชุมชนอย่างเข้มแข็ง ต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว

เพียงหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1965 ขณะกำลังปราศรัยต่อหน้าผู้คนราว 400 คน รวมทั้งภรรยาและลูกทั้ง 4 คน ในหอประชุมย่านแมนฮัตตัน ชายคนหนึ่งบุกเข้ามาในหอประชุมพร้อมกับร้องตะโกนสุดเสียง “เอามือจากกระเป๋า!” สิ้นเสียงความวุ่นวาย ชายคนนั้นหยิบเอาระเบิดทำมือออกมา ก่อนจะโยนไปกลางเวที

พร้อมกับจ่อปืนมาทางมัลคอล์ม เล็งไปที่หน้าอก ก่อนจะเหนี่ยวไก ปัง!

กระสุนนัดแรกยิงไปที่กลางอก มัลคอล์มล้มลงทันที ก่อนที่ชายอีกสองคนจะเข้ามายิงมัลคอล์มที่ข้อเท้าและต้นขาทั้งสองข้าง กระสุนจำนวน 21 นัดถูกฝังไว้ในร่างของชายนักปฏิวัติ เขาแน่นิ่งและจากไปในวัยเพียง 40 ปี

มัลคอล์ม เอ็กซ์ เคยมีอดีตที่ผิดพลาดไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่เขาพยามมาตลอดชีวิตคือการเรียกร้องความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพื่อให้ ‘คนดำ’ ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากในสังคมที่คอยเอาแต่สร้างสิ่งลวงโลก จนทำให้มนุษย์แตกแยกกันเอง

 

 

ภาพ: Getty Images

 

อ้างอิง