โชโกะ อาซาฮาระ เจ้าลัทธิ 'โอม ชินริเกียว' ผู้ให้สาวกดื่มเลือด ทำเงินจากการขายเครา-น้ำชำระร่างกาย สู่ขั้นก่อการร้าย โจมตีญี่ปุ่นด้วยก๊าซพิษ

โชโกะ อาซาฮาระ เจ้าลัทธิ 'โอม ชินริเกียว' ผู้ให้สาวกดื่มเลือด ทำเงินจากการขายเครา-น้ำชำระร่างกาย สู่ขั้นก่อการร้าย โจมตีญี่ปุ่นด้วยก๊าซพิษ
โลกเรามีผู้เชื่อเรื่องการรักษาโรคด้วยวิธีพิสดาร แม้จะเป็นวิธีที่อยู่นอกเหนือตำราต่าง ๆ แต่ยังมีลูกศิษย์หรือสาวกจำนวนหนึ่งที่เชื่อถือและศรัทธถึงขั้นยอมดื่มน้ำปัสสาวะ กินขี้ไคล ฯลฯ ทำเอาหลายคนที่รับรู้ข้อมูลนี้สยดสยองไปตาม ๆ กัน เรามักพบเห็นเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้บ่อยครั้ง ที่เจอกันบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ คือ การดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์จากตาน้ำธรรมชาติบ้าง น้ำปลุกเสกบ้าง แต่ก็เป็นไปในลักษณะความเชื่อส่วนบุคคล ที่มักจะไม่มี “เจ้าลัทธิ” มาสั่งสอนชี้แนะ ทว่า หากจะพูดถึงลัทธิที่เข้าข่ายลักษณะเจ้าลัทธิส่งอิทธิพลทางความคิดอย่างมีนัยสำคัญต่อสาวก ชื่อของ 'โอม ชินริเกียว' คงจะฉายให้เห็นภาพความบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นในอดีตได้ชัดเจนในระดับหนึ่ง กำเนิดลัทธิโอมฯ 'โอม ชินริเกียว' หรือลัทธิโอมฯ ก่อตั้งโดย โชโกะ อาซาฮาระ (ชื่อเดิมคือ ชิซูโอะ มาสึโมโตะ) เขาเกิดเมื่อ ค.ศ. 1955 ตาบอดแต่กำเนิด ข้างซ้ายบอดสนิท ข้างขวาพร่ามัว เมื่ออายุ 5 ขวบจึงต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอด หลังจบชั้นมัธยมศึกษาจึงย้ายไปอยู่ในกรุงโตเกียว พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงหันไปศึกษาวิชาการแพทย์แผนจีนแทน ค.ศ. 1978 อาซาฮาระแต่งงานกับโทโมโกะ และเปิดร้านขายยาสมุนไพร พร้อมกับเปิดรักษาโรคด้วยการฝังเข็ม จากนั้นไม่นาน ช่วงต้นทศวรรษ 1980 เขาเริ่มให้ความสนใจในด้านศาสนา เริ่มมองหาสัจธรรมของชีวิต และหาวิถีทางในการหลุดพ้น วิธีการที่อาซาฮาระนำมาใช้ก็คือ 'โยคะ' รวมถึงการบำเพ็ญตบะ อาซาฮาระจึงเดินทางไปแสวงบุญที่อินเดีย เพื่อสืบเสาะหาวิธีหลุดพ้นจากบาปกรรม และความชั่วร้ายทั้งหลาย ณ เบื้องปลายของเทือกเขาหิมาลัยนั้นเอง เขาได้ประกาศว่า ตนเองได้บรรลุสัจธรรมแห่งชีวิตแล้ว และใน ค.ศ. 1987 เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศญี่ปุ่น เขาจึงเริ่มดำเนินการก่อตั้งลัทธิ 'โอม ชินริเกียว' เมื่อรัฐชินโตล่มสลาย อาซาฮาระ และลัทธิโอมฯ จะดำเนินไปไม่ได้เลยหากขาดสาวก และเงินอุดหนุนจำนวนมหาศาลซึ่งการถือกำเนิดของลัทธิโอมฯ นั้น อยู่ในช่วงเวลาที่สังคมญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และกำลังหลงทาง โดยแต่เดิมศาสนาไม่ใช่สาระสำคัญของคนญี่ปุ่น แม้จะมีศาสนาชินโตเป็นหลักแกนสำคัญของวิถีชีวิต แต่ประเทศญี่ปุ่นมีองค์สมเด็จพระจักรพรรดิเป็นศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ ศาสนาจึงแทบไม่มีบทบาทสลักสำคัญมากนักต่อคนญี่ปุ่น แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกสิ่งกลับตาลปัตร ความเป็นสมมติเทพขององค์สมเด็จพระจักรพรรดิถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความตระหนกขึ้นในจิตใจของคนญี่ปุ่น เปิดทางให้ความเชื่อ ศาสนา ผู้นำทางจิตวิญญาณ หรือเจ้าลัทธิอื่น ๆ เข้ามาครอบครอง และแบ่งปันพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ที่ซึ่งเสรีภาพทางศาสนาถูกเปิดกว้างมากหลังสงคราม ในขณะเดียวกันนั้นเองที่สภาพการณ์ของญี่ปุ่นกำลังเร่งพัฒนาเศรษฐกิจหลังสงครามอย่างเต็มสูบ ประเทศเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนโลกวัตถุนิยมเข้าครอบงำชีวิต ขณะที่การศึกษาของญี่ปุ่นก็เร่งผลิตคนเข้าตอบสนองตลาด การศึกษาญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นเหมือนเป็นการท่องจำ และรอป้อนข้อมูลเมื่อถึงเวลาสอบ คนญี่ปุ่นจึงขาดทักษะ และการเรียนรู้ชีวิตในด้านอื่น จนเมื่อเข้าสู่เวทีของการแข่งขันในโลกทุนนิยมที่ขับเคี่ยวเข้มข้น ความกดดันที่ถาโถมเหล่านี้จึงทำให้สภาวะจิตใจของคนญี่ปุ่นได้รับผลกระทบ และเมื่อมีลัทธิความเชื่อต่าง ๆ ปรากฏขึ้นอยู่มากมายโฆษณาถึงหลักปฏิบัติที่จะสามารถช่วยให้พวกเขาปลดเปลื้องความทุกข์ในชีวิตได้ จึงนำมาสู่ยุคของความนิยมต่อลัทธิในญี่ปุ่น โอม ชินริเกียว นับได้ว่าลัทธิโอมฯ ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก เหตุที่อาซาฮาระใช้ชื่อลัทธินี้ด้วยเหตุมาจากคำว่า 'โอม' คือ อะ อุ มะ ในภาษาฮินดู หมายถึง พลังอำนาจในการสร้างและทำลายล้างจักรวาล คือพระศิวะ และพระวิษณุ ส่วนคำว่า “ชินริเกียว” หมายถึง คำสอนของสัจธรรมอันสูงสุด อาซาฮาระเริ่มต้นด้วยการปรับภาพลักษณ์ให้เขาดูเหมือนผู้เปี่ยมไปด้วยศีลธรรมเพื่อให้เขาดูเป็นที่เคารพนับถือแต่ก็ดูน่ายำเกรงไปในตัว เขาเริ่มไว้หนวดเครา สวมเสื้อคลุมสีขาวแบบผู้ทรงศีล และเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เพื่อให้ดูมีมนต์ขลัง โดยเริ่มใช้คำสอนด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การบำเพ็ญตบะ นั่งสมาธิ ฝึกจิตให้สงบด้วยวิธีโยคะ ในช่วงแรก ๆ เขาอวดอ้างว่าสามารถลอยตัวขึ้นไปในอากาศในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อดึงดูดคนญี่ปุ่นให้มาเป็นสาวกติดตามเขา โดยในช่วงนี้ ลัทธิโอมฯ เหมือนโรงเรียนสอนโยคะเสียมากกว่า แต่ภายหลังอาซาฮาระก็ปรับเปลี่ยนให้ดูเป็นลัทธิทางศาสนาขึ้นมาจริง ๆ เมื่อมีผู้คนเลื่อมใสอาซาฮาระมากขึ้น มันมาพร้อมกับข้อคำถามถึงเรื่องการปลดเปลื้องจากความทุกข์ อาซาฮาระก็เริ่มเทศนาสั่งสอนสาวกของเขา และปรับการสอนโยคะมาผสมผสานกับเรื่องของกระแสจิต กลายเป็นศาสตร์ของโยคะเพื่อพัฒนาพลังจิต อาซาฮาระได้รับค่าเรียนจากสาวกมาจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเขา พิธีกรรม ต่อมาอาซาฮาระปรับกลยุทธ์เพิ่มขึ้นอีก โดยเขาอวดอ้างถึงวันโลกาวินาศด้วยภัยธรรมชาติ และภัยจากน้ำมือมนุษย์ โดยเฉพาะสงครามนิวเคลียร์ เขาอ้างถึงการที่ตนสามารถฝึกจิตจนรู้แจ้งเห็นชัด สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ และผู้ที่จะรอดจากวันสิ้นโลกได้มีแต่เพียงผู้ที่ศรัทธาต่อลัทธิโอมฯ เท่านั้น นับแต่นี้อาซาฮาระได้ทำให้ลัทธิโอมฯ กลายเป็นลัทธิที่พิลึกพิลั่นขึ้นมาจริง ๆ เมื่อเขากลายเป็นเจ้าลัทธิผู้มี ‘รัศมีของศีลธรรม’ แผ่ออกมาอย่างแรงกล้า เศษผม หรือเลือดเพียงหนึ่งหยด ก็กลายเป็นของสูงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ อาซาฮาระสร้างพิธีกรรมรับสาวกใหม่ขึ้นมา โดยการดื่มเลือดของเขาที่ผสมกับน้ำบางอย่างแล้วให้สาวกใหม่ดื่ม มีผู้อ้างว่า เขาต้องจ่ายเงินมากกว่า 6,115 ปอนด์ (8,100 เหรียญสหรัฐ) เมื่อ ค.ศ. 1988 เพื่อร่วมพิธีเลือดนี้ นอกจากนี้ยังมีพิธีผม คือการตัดผมของอาซาฮาระมากระจุกหนึ่ง นำไปต้มในน้ำเดือดแล้วนำไปให้สาวกดื่มอีกด้วย เหล่านี้เป็นพิธีกรรมเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ลัทธิโอมฯ มักจะอวดอ้างว่า แม้แต่ใน DNA ของอาซาฮาระก็วิเศษไม่เหมือนผู้ใด พิธีกรรมทั้งหลายถูกคิดเป็นเงินเป็นทองทั้งสิ้น และทุกอย่างในตัวของอาซาฮาระก็เช่นเดียวกัน เคราถูกตัดขายเป็นเงิน น้ำที่อาซาฮาระชำระล้างร่างกายก็ถูกบรรจุขวดขายในรูปของน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่คลาสสิกและพบเห็นทั่วไปคือ น้ำประปาแสนธรรมดาแต่ผ่านการสวดมนต์ท่องคาถาให้กลายเป็นน้ำมนต์วิเศษ อาซาฮาระจึงไม่ใช่เจ้าลัทธิ แต่เขาคือเจ้าแห่งการต้มตุ๋น และจะว่าเป็นนักธุรกิจหัวใสก็คงกล่าวไม่ไกลจากความเป็นจริงนัก เพราะอาซาฮาระคิดหลักสูตรการหลุดพ้นหรือตรัสรู้สำหรับคนที่มีกำลังทรัพย์ต่างกัน ทุนมากก็คอร์สหนึ่ง ทุนน้อยก็คอร์สหนึ่ง อาจจะเป็นคอร์สฝึกโยคะ หรืออาจเป็นคอร์สยกระดับพลังเหนือธรรมชาติ ลัทธิโอมฯ ยังชักชวนให้สาวกบริจาคทรัพย์เข้ามายังสำนัก อ้างว่าเพื่อเป็นใบเบิกทางแห่งการหลุดพ้น เป็นการทุ่มเงินซื้อหาบุญ หรือที่อยู่อันรื่นรมย์ในโลกหน้า ใครที่เงินหนาบริจาคให้ลัทธิโอมฯ มาก ก็อาจได้รับของตอบแทนเป็นการถ่ายรูปคู่กับเจ้าลัทธิ หรือไม่ก็ได้รับน้ำชำระร่างกายของอาซาฮาระจำนวน 2 แกลลอน กำจัดศัตรู อาซาฮาระพยายามทุกวิถีทางเพื่อยื่นจดทะเบียนให้ลัทธิโอมฯ เป็นองค์กรทางศาสนาอย่างเป็นทางการ แม้หน่วยงานของรัฐจะพยายามบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงเท่าใดก็ไม่อาจต้านทานแรงกดดันจากอาซาฮาระและสาวกของเขาได้ ทั้งจากการเดินประท้วง การโจมตีด้วยการประชาสัมพันธ์ (ใบปลิว, ข่าว ฯลฯ) อย่างรุนแรง หรือแม้แต่การยื่นฟ้องร้องทุกข์ตามที่กฎหมายอำนวยให้ทำ จนที่สุด “โอม ชินริเกียว” ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นองค์กรทางศาสนาตามกฎหมาย เมื่อ ค.ศ. 1989 เมื่อถึงต้นทศวรรษ 1990 จากความพยายามในการสร้างแนวทางคำสอนเรื่องวันสิ้นโลก อาซาฮาระจึงเริ่มแยกตัวออกไปสร้างชุมชนของตัวเองขึ้น ที่นั่นเป็นลักษณะเหมือนป้อมปราการ ที่คอยเปิดรับสาวกรุ่นใหม่ ๆ ที่แห่มาอย่างล้นหลาม การเข้ามาเป็นสมาชิกโดยต้องบริจาคเงินจำนวนมากว่าเป็นเรื่องยากแล้ว แต่การจะออกจากที่นี่เป็นเรื่องยากกว่า บางคนกลับออกไปเป็นเศษเถ้าก็มี วัยรุ่นญี่ปุ่นหลงเชื่อเข้าร่วมกับลัทธิโอมฯ เป็นจำนวนมาก หลายคนคลั่งไคล้อย่างไม่ลืมหูลืมตา หลายคนก็ตั้งคำถามกับสิ่งที่ตนเองกำลังทำ บางคนท้าทายอำนาจของอาซาฮาระจนต้องจบชีวิตลงในศูนย์ของลัทธิโอมฯ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากภูเขาฟูจิ ที่ศูนย์แห่งนี้มีสภาพภายในย่ำแย่มาก การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างยากลำบาก อาหารวันละมื้อ ที่หลับที่นอนอันสกปรก และอื่น ๆ อีกมากที่นิยามถึงความอัตคัด แต่ลัทธิโอมฯ ก็อธิบายว่านี่เป็นการฝึกฝนตนเอง เป็นวิธีปฏิบัติของลัทธิ อันจะเป็นหนทางไปสู่เป้าหมายของการตรัสรู้ได้ และภายในศูนย์แห่งนี้เองที่ความรุนแรงเริ่มก่อตัวขึ้น พร้อมกับเสียงครหาจากภายนอก เมื่อมีทนายคนหนึ่งที่รับทำคดีค้นหาการหายตัวไปของบุตรหลานจากหลายครอบครัว ที่พวกเขาแจ้งพ่อแม่ผู้ปกครองว่าไปเข้าร่วมกับลัทธิโอมฯ แต่กลับติดต่อไม่ได้อีกเลย ทราบข้อมูลจากลัทธิโอมฯ ว่า พวกเขาไม่สะดวกติดต่อ เพราะกำลังฝึกอยู่ ทนายผู้นี้พยายามต่อกรกับลัทธิโอม สุดท้ายก็ถูกกำจัดทิ้งทั้งครอบครัว เช่นเดียวกับนักข่าวอีกคนหนึ่ง ที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับอาซาฮาระและสาวกเช่นกัน ใน ค.ศ. 1993 อาซาฮาระเริ่มสั่งให้ผลิตอาวุธเคมี และในปีถัดมาเขาจึงเริ่มภารกิจหนึ่งในการกำจัดคู่อริ โดยสาวกลัทธิโอมฯ ใช้รถบรรทุกพ่นแก๊สซารินใส่ฝูงชนที่เมืองแห่งหนึ่ง เป้าหมายคือ สังหารผู้พิพากษา 3 คนที่กำลังพิจารณาคดีของพวกตน เหตุการณ์นี้ทำให้มีคนเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงเป้าหมายทั้ง 3 คนดังกล่าวด้วย นี่เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ชี้ชัดว่า ลัทธิโอมฯ กำลังก้าวข้ามลัทธิทางศาสนาไปสู่การเป็นผู้มีอิทธิพลที่ทำอะไรโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย สิ้นสุดโอมฯ วันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1995 สาวกลัทธิโอมฯ ลงมือปฏิบัติการโจมตีขบวนรถไฟใต้ด้วยการปล่อยก๊าซซาริน ซึ่งเป็นก๊าซพิษไร้สีไร้กลิ่น มีฤทธิ์ทำลายระบบประสาท มีผู้เสียชีวิต 13 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 5,800 คน จากการโจมตีพร้อมกัน 5 ครั้งบนรถไฟ 3 สาย นับเป็นวินาศกรรมครั้งใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจญี่ปุ่นกวาดล้างลัทธิโอมฯ ทั่วประเทศ และต้องใช้เวลายาวนานหลายปีในการดำเนินคดี ฟ้องร้องบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จวบจนถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 มีการตัดสินประหารชีวิตอาซาฮาระ และสาวกระดับแกนนำ ด้วยการแขวนคอ ปิดฉากลัทธิ 'โอม ชินริเกียว' ที่น่าสนใจคือ สาวกคนสำคัญ ๆ ของลัทธิโอมฯ มิใช่คนไร้การศึกษา แต่มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักเคมี นักฟิสิกส์ แพทย์ วิศวกร ฯลฯ ที่ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี และอาจมีชีวิตในอนาคตที่สดใส ภูมิหลังของสาวกลัทธิโอมฯ ส่วนหนึ่งจะเป็นพวกที่ถูกกดดันทางการศึกษา หรืออาชีพการงานมาก่อน และลัทธิโอมฯ ให้สัญญากับพวกเขาว่าจะมอบชีวิตที่มีความหมาย ทว่า พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ใช้เหตุผล และตรรกะทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ลัทธิโอมฯ แต่พวกเขากลับหล่อหลอมเอาวิชาความรู้ที่ได้มาต่อยอด และสนับสนุนลัทธิโอมฯ ให้กลายเป็นศาสนาของปีศาจ กลายเป็นแหล่งต้มตุ๋นเงินทองจำนวนมหาศาล และกลายเป็นองค์การก่อการร้าย เพราะความสนใจใคร่รู้ในสิ่งที่ตามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ และเชื่อถือในสิ่งลี้ลับ กลายเป็นช่องว่างที่ศาสนาหรือลัทธิสามารถแทรกซึมเข้าไป และ 'โอม ชินริเกียว' ก็สามารถเติมเต็มช่องว่างนั้นให้พวกเขาได้ด้วยการชักจูงผ่านศรัทธาอันมืดบอด อ้างอิง: โรจนา นาเจริญ (แปล). โอมชินริเกียว ลัทธิมหาภัย : THE CULT AT THE END OF THE WORLD. มติชน, 2544 BBC. Aum Shinrikyo: The Japanese cult behind the Tokyo Sarin attack. Access 11 May 2022, from https://www.bbc.com/news/world-asia-35975069 The Editors of Encyclopaedia Britannica. Asahara Shoko. Access 11 May 2022, from https://www.britannica.com/biography/Asahara-Shoko เรื่อง: ภราดา ภาพ: โชโกะ อาซาฮาระ ในอินเดีย ภาพจาก Getty Images