‘ซึง’ สว่างจิต แซ่โง้ว: หญิงเหล็กหนึ่งเดียวร่วม ‘ทีมธนาธร’ ปักธงไทยในวิ่งเทรลโลกที่ ‘มองต์บลังก์’
“ที่หนึ่งเขาก็วิ่งกัน 3 วันกว่า แต่ส่วนมากน่าจะ 5 วันค่ะ แต่ทีมวางแผนว่าจะจบ 6 วัน ก็ยังแซวอยู่ว่าไม่แพลนให้จบสัก 5 วัน” (หัวเราะ)
สว่างจิต แซ่โง้ว สาวร่างเล็กอารมณ์ดีชื่อเล่นว่า ‘ซึง’ กล่าวถึงแผนการวิ่งที่เธอและเพื่อนร่วมทีมอีก 2 คน หนึ่งในนั้น คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองผู้ชื่นชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีม ตั้งเป้าจะทำให้ได้ในการวิ่งเทรล 300 กิโลเมตร ท่ามกลางความหนาวเย็นบนยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปในรายการอัลตร้า เทรล ดู มองต์บลังก์ (UTMB - จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 29 สิงหาคม 2564 เป็นการวิ่งลัดเลาะไปบนเทือกเขาแอลป์ ข้ามพรมแดน 3 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์)
หากโอลิมปิกคือความฝันสูงสุดของนักกีฬาทั่วโลกที่อยากเข้าร่วมให้ได้สักครั้งในชีวิต รายการ UTMB ก็คือความฝันสูงสุดของนักวิ่งเทรลเกือบทุกคน เพราะเป็นการแข่งขันที่ถูกขนานนามให้เป็น ‘จุดสูงสุดของโลก’ สำหรับนักวิ่งวิบาก
ทุกปี UTMB จะมีนักวิ่งเทรลที่เก่งที่สุดทั่วโลกเกือบ 10,000 คน มารวมตัวประลองความอึดในการแข่งขันทั้งหมด 7 ประเภท โดยประเภททีม หรือ Petite Trotte à Léon (PTL) ซึ่งตัวซึงและธนาธรลงแข่ง จำกัดผู้เข้าร่วมปีละไม่เกิน 300 คน และทีมของทั้งคู่ก็เป็นตัวแทนคนไทยเพียงทีมเดียวที่ได้สิทธิ์ลงแข่งในปี 2564
“คนไทยยังไม่มีใครจบ PTL แล้วก็ระยะ UTMB (ประเภทเดี่ยว 120 กิโลเมตร) ก็ยังไม่มีผู้หญิงจบค่ะ”
นักวิ่งสาวดีกรีปริญญาเอกพลศึกษาบอกกับ The People ก่อนออกเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมเพื่อนร่วมทีมเพื่อลงแข่งรายการนี้ ท่ามกลางความหวังในการสร้างประวัติศาสตร์ให้คนไทย แสดงให้โลกเห็นถึงศักยภาพของคนไทย และให้ชาวไทยตระหนักถึงพลังและความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวของเราเอง
เริ่มวิ่งและหลงเสน่ห์การวิ่งเทรล
“เพิ่งรู้ตัวก่อนแข่งแค่ 2 เดือน เกือบ 3 เดือน หลังจากรู้ตัวจะลงแข่งงานนี้ก็เริ่มวางแผนซ้อมกันในทีม แต่ถามว่าก่อนหน้านี้ได้วิ่งมาก่อนหรือเปล่า อย่างตัวซึงก็วิ่งมา 10 กว่าปีได้แล้วค่ะ
“เริ่มจากวิ่งถนนระยะสั้น ๆ 10, 21 และกระโดดไป 42 กิโลเมตร เสร็จแล้วก็มาลองวิ่งเทรล 25 กิโลเมตร และก็ไป 50 กิโลเมตร และมาลองวิ่ง 100 กิโลเมตร ทำให้เพิ่งค้นพบว่าตัวเองถนัดวิ่งระยะยาว”
ซึงเล่าถึงพัฒนาการด้านการวิ่งของเธอ ซึ่งไม่ต่างจากนักวิ่งทั่วไป แต่ด้วยความรักในการออกกำลังกาย ขยันฝึกซ้อม และขยับเป้าหมายให้สูงขึ้นไปอยู่เสมอ ทำให้เธอกลายเป็นนักวิ่งหญิงระยะอัลตร้ามาราธอน (50 กิโลเมตรขึ้นไป) ระดับแถวหน้าคนหนึ่งของไทย
สว่างจิต ‘ซึง’ แซ่โง้ว เกิดวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2528 เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เธอชอบออกกำลังกายและเล่นกีฬา เป็นนักบาสเกตบอลตัวโรงเรียน ก่อนเข้าศึกษาต่อปริญญาตรีพลศึกษา ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
“เลือกเรียนด้านนี้เพราะเป็นคนชอบออกกำลังกายตั้งแต่เด็ก จบออกมาเป็นครูสอนที่โรงเรียนนานาชาติ เพื่อนฝรั่งเขาก็ชวนวิ่ง ชวนปั่นจักรยาน ชวนลงไตรกีฬา
“นิสัยส่วนตัวซึงก็เป็นคนชอบผจญภัย หลังจากวิ่งถนน เพื่อนก็ชวนไปวิ่งเทรล ด้วยความเป็นคนกรุงเทพฯ พอไปวิ่งเทรล มันได้ขึ้นไปเห็นวิวภูเขา ต้นไม้ น้ำตก ก็รู้สึกว่าชอบเพราะอยู่ในเมืองมันมีแต่ตึก”
เธอย้อนความหลังสมัยเริ่มวิ่งถนนจริงจังตอนอายุ 25 ปี และอีก 2 ปีถัดมาจึงเริ่มมาหลงรักกีฬาวิ่งเทรล
“วิ่งบางที่ก็จะผ่านทุ่งนา ยิ่งแข่งอัลตร้า ต้องวิ่งข้ามวันข้ามคืน ออกตัวตั้งแต่ตี 4 คุณต้องตื่นมาเตรียมตัวอย่างน้อยตี 2 ต้องไปถึงสนามตี 3 ออกวิ่งตี 4 พอออกวิ่งสักพักพระอาทิตย์ก็ขึ้น
“พอพระอาทิตย์ขึ้น แดดก็ร้อน เริ่มใส่หมวกใส่แว่น วิ่ง ๆ เสร็จปุ๊บพระอาทิตย์ก็ตก พอตกปุ๊บก็ต้องเตรียมเฮดแลมป์ (ไฟฉายคาดหัว) มีนู่นนี่นั่น ระหว่างทางจะผ่านอะไรสวย ๆ เยอะ เช่นวิ่งกลางคืนจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้า เห็นดาวตก บางทีก็มีสัตว์ประหลาดนิดหน่อย เช่นเคยเจอหมูป่า 2 ตัวในสนามแข่งข้างทาง ตัวเบ้อเริ่ม โตเป็นเมตรเลย และก็เจองู อันนี้เรื่องปกติ เจอแมงมุม
“บางทีตอนกลางคืนด้วยความมืดมาก เราเปิดเฮดแลมป์ พวกต้นไม้ ใบไม้ที่เหมือนมีไอน้ำค้างขึ้น พอมันสะท้อนกับแสง คือมองไปมันสะท้อนแสงขึ้นมาสวย ก็เลยชอบแบบนี้ พอวิ่งไปก็เพลิน
“วิ่งจนพระอาทิตย์ขึ้น-ตก และก็ขึ้นอีกรอบหนึ่ง แล้วค่อยเข้าเส้นชัยก็เคยมาแล้วค่ะ”
ทำงานควบวิ่งและเรียนจบปริญญาเอก
นอกจากความสุขในการชื่นชมธรรมชาติสองข้างทาง การวิ่งเทรลยังสอนให้เธอรู้จักวางแผน และเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตนอกสนามแข่งขันได้อีกด้วย
“มันเป็นการท้าทายตัวเอง ถ้าเทียบกับชีวิตประจำวันเหมือนฝึกการวางแผน เพราะเวลาไปถึงแต่ละสเตชั่น คุณต้องรู้ว่าถึงจุดนี้คุณจะกินอะไรก็ต้องวางแผน ต้องเตรียมอะไรบ้าง คุณจะดื่มน้ำช่วงไหน
“สมมติว่าถ้าแข่ง ๆ อยู่เกิดไม้โพล (ไม้เท้า) หัก หรือสะดุดอะไรอย่างนี้ เช่นเป็นแผลพุพอง มันต้องรู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และก็แน่นอนคือความอดทนและไม่ยอมแพ้”
สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้ดีในการบริหารจัดการชีวิตของเธอ ซึงสามารถทำงานประจำเป็นครูควบคู่ไปกับการสอนพิเศษ ตระเวนลงแข่งขัน และเรียนหนังสือต่อยอดการศึกษาไปพร้อมกันจนจบปริญญาเอก
“สมัยเรียนปริญญาเอก หนักจริง ด้วยความที่ซึงทำงานฟูลไทม์ 7 โมงครึ่งถึง 4 โมงทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ โชคดีที่ไม่มีทำงานเสาร์-อาทิตย์ ด้วยความว่าเป็นครู หลังเลิกงาน 4 โมง ซึงก็จะรับสอนว่ายน้ำส่วนตัว สอน 5 โมงถึง 6 โมง
“หลังจากนั้น 6 โมง ซึงก็จะเริ่มซ้อมวิ่งกับเพื่อน ๆ วิ่งกันจนถึงประมาณ 2 ทุ่มก็กินข้าว แล้วกลับถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่ม อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ซึงถึงจะนั่งเรียนหนังสือถึงเที่ยงคืน ทำซ้ำ ๆ อย่างนี้ทุกวัน
“ส่วนเสาร์-อาทิตย์ ซึงจะรับจ็อบสอนว่ายน้ำ ไม่สอนเช้าก็เย็นเพราะกลางวันเด็กไม่ค่อยเรียนเพราะแดดมันร้อน กลางวันก็จะได้พักบ้าง เรียนบ้างสลับกัน โชคดีว่าช่วงปิดเทอมซึงจะได้หยุด อย่างปิดเทอมใหญ่ 2 เดือน ช่วงนั้นซึงสามารถเดินทางไปปีนเขา ดำน้ำ หรือทำอะไรที่ซึงชอบ”
เธอเรียนจบปริญญาโทวิทยาศาสตร์การกีฬาที่จุฬาฯ และปริญญาเอกการบริหารพลศึกษาที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปัจจุบัน (2564) เป็นโค้ชและครูสอนว่ายน้ำที่ Best Bangkok Swim Academy ซึ่งรับงานสอนว่ายน้ำตามโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย
จุดเริ่มต้นร่วมทีมธนาธร
ซึงเริ่มรู้จักกับธนาธรในปี 2560 จากการเข้าร่วมโครงการ ‘ทรูเซาท์’ ของธนาธร ซึ่งตั้งเป้าคัดคนไทยที่แข็งแกร่งที่สุด 10 คน เดินเท้า 1,400 กิโลเมตร ฝ่าความหนาวของทวีปแอนตาร์กติกา ไปปักธงชาติไทยที่ศูนย์กลางขั้วโลกใต้เป็นครั้งแรก
เธอผ่านการทดสอบความทรหดเป็นหนึ่งในผู้หญิงเพียง 2 คน ที่ได้ร่วมทีม ‘ทรูเซาท์’ แต่ต่อมาโครงการดังกล่าวพับไป เพราะธนาธรตัดสินใจหันมาเล่นการเมือง และตั้งพรรคอนาคตใหม่
“ช่วงนั้นทีมทรูเซาท์เทรนกันเยอะมาก เช่น ลากยาง 24 ชั่วโมง หรือการฝึกบูทแคมป์ 2 วัน มันจะเป็นพวกแบกถุงทราย 5 กิโลกรัม ลากยาง วิดพื้น บางทีก็แบกถุงทรายขึ้นหัว แบกถุงทรายกระโดดขึ้นลงอัฒจันทร์ ขึ้น-ลงบันได ซ้อมวันแรกยังจำได้เลย อีกวันแทบจะลุกจากเตียงไม่ได้ แต่ก็ต้องซ้อมหนักเหมือนเมื่อวาน
“อยู่กับยางทั้งวัน น้ำหนักตัวซึงตอนนั้น 55 กิโลฯ แต่ต้องมาลากยางน้ำหนัก 52 กิโลฯ ก็ลากยาง 24 ชั่วโมง โดยตอนจบเขาจะวัดระยะว่าได้กี่กิโลเมตร นอกจากนั้นยังมีการฝึกปีนเขาในร่ม ฝึกสกิลนั้นเพื่อที่จะนำไปใช้เดินทางไปขั้วโลกใต้ค่ะ”
ซึงเล่าย้อนวิธีคัดตัวของโครงการที่ธนาธรเป็นเจ้าของไอเดีย หลังจากโครงการยกเลิกไป เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับเขา จนกระทั่งธนาธรติดต่อมาอีกครั้งเพื่อชวนร่วมทีม PTL ลงแข่ง UTMB
“พอเขาเข้าการเมืองก็เลิกติดต่อ ใช้คำว่าเลิกติดต่อได้เลย แล้วจู่ ๆ ผ่านมา 2 ปี เขาก็โทรฯ มา ก็เลยรับสาย เขาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่าครับ ก็เลยตอบว่าสบายดีค่ะ ก็ยังแปลกใจว่าโทรฯ มาต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย
“เขาก็เลยพูดถึง PTL บอกว่าผมเนี่ยอยากไป PTL แล้วผมได้เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งแล้วคือ ‘แอลวิ่น’ (สุภัทร บุญเจือ) เขาก็ถามเลยว่า ตัวคุณซึงว่างพอที่จะลางานไปแข่งได้มั้ย และยังฟิตซ้อมอยู่หรือเปล่า ซึงก็บอกซึงก็ยังแข่งมาตลอด งานก็น่าจะลาได้ พอคุยกับที่ทำงาน เขารู้ข่าวปุ๊บก็บอกว่าดีใจด้วยนะ คุณรีบไปเลย”
ซ้อมทีมธนาธรและเคล็ดลับวิ่งระยะไกล
ความโหดของการลงแข่งประเภท PTL ในรายการ UTMB นอกจากระยะทางที่ไกลถึง 300 กิโลเมตร ยังเป็นสภาพเส้นทางและความหนาวเย็น เนื่องจากนักกีฬาต้องวิ่งลัดเลาะไปบนเทือกเขาแอลป์ ซึ่งมีอากาศเบาบางและมีความชันสะสมมากถึง 25,000 เมตร ข้ามพรมแดน 3 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีระยะเวลาตัดตัวแค่ 152 ชั่วโมง 30 นาที (6 วัน 8 ชั่วโมง 30 นาที) ระหว่างวันที่ 23 - 29 สิงหาคม 2564
“ด้วยความเป็นกีฬาทีม ดังนั้นต้องไปด้วยกัน 3 คน ถ้าคนใดคนหนึ่งอยากพัก คือต้องตามทีม ถ้าคนนี้อยากพักก็ต้องพัก แต่ก็จะกำหนดเวลาแค่ 10 นาที จะพยายามไม่พักบ่อย หลัก ๆ ก็ต้องอยู่ที่หัวหน้าทีม (ธนาธร) ก็คือตามความเร็วของเขา พยายามพักพร้อมกันจะได้ไม่เสียเวลา ต่อให้นอนไม่ได้ก็ต้องนอนให้ได้ เพราะมันไปเป็นทีม”
ซึงเล่าถึงแผนการวิ่ง ส่วนการฝึกซ้อม พวกเขาใช้วิธีแบกเป้เดินขึ้นลงเขาติดต่อกัน 24 ชั่วโมง สลับกับการแบกเป้เดินขึ้น-ลงตึกสูง โดยให้น้ำหนักเป้หนักกว่าน้ำหนักที่จะแบกในวันจริง สถานที่ฝึกซ้อมภูเขา 24 ชั่วโมง ส่วนใหญ่เลือกใช้เขาฉลาก จ.ชลบุรี และเขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
“ถ้าสมัยตอนที่เขา (ธนาธร) อยู่ในทรูเซาท์นี่เขาฟิตจริง อันนี้ยอมรับเลยว่าฟิตจริง พอเขาเข้ามาการเมือง 2 ปีเท่านั้นแหละ ล่าสุดไปซ้อม 24 ชั่วโมง คือคนละคนกันเลย ไม่เคยเจอเขาในสภาพแบบนั้นก็ตลก
“ด้วยความว่าเขาวิ่งอย่างสมมติแบบอัลตร้าเทรลอะไรอย่างนี้ เขายังประมาณ ‘ท็อปเทน’ ด้วยซ้ำ แต่พอมาซ้อมเขาฉลาก 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นแค่เดินขึ้นลงเขา เขาก็จะถามแบบ ‘ถึงยังครับ ๆ’ และก็พอมาถึงที่รถ ปกติถ้าเขาฟิตจริง เขาจะเดินขึ้นเลย เขาจะไม่แวะที่รถ นี่แวะทุกรอบเลย วันแรกที่ซ้อมกันก็หัวเราะ
“แกคิดว่าแกแข็งแรงมาตลอด แกไม่คิดว่าพอหยุดไป 2 ปี ทำให้ร่างกายหรือสมรรถนะแกลดลงไปเยอะมาก”
ซึงเล่าถึงสภาพหัวหน้าทีมหลังหยุดเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมไปเล่นการเมืองนาน 2 ปี
เคล็ดลับการวิ่งอัลตร้าเทรลให้ได้ตามเป้า ซึงบอกว่า อันดับแรกคือความสม่ำเสมอในการฟิตซ้อมและรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมอยู่เสมอ ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การรู้จักตัวเอง
“คือเหมือนว่าเราต้องฟังร่างกายตัวเอง บางคนฝืนจนตะคริวขึ้น หรือไปไม่ไหวแล้วรู้สึกท้อเลยก็มี แต่ด้วยว่าเป้าหมายของซึงบางอย่างซึงไม่ได้กดดันตัวเองมาก ซึงก็แบบโอเค หลัก ๆ วิ่งให้สนุกให้ถึงเส้นชัย แต่ในทำนองเดียวกันเวลาแข่ง ซึงก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเหมือนกัน”
หญิงเหล็กจอมอึดหนึ่งเดียวที่ได้เป็นตัวแทนในทีมคนไทยลงแข่งวิ่งเทรลรายการใหญ่ระดับโลก เปิดใจถึงเคล็ดลับและความเป็นมา ก่อนออกไปพยายามสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เพื่อพิสูจน์ว่า คนไทยก็มีศักยภาพและสามารถทำงานเป็นทีมได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ข้อมูลอ้างอิง:
https://utmbmontblanc.com/en/page/1/event.html
http://www.truesouth.org/th/moreinfo
ภาพ: Facebook Sawangjit Seung Saengow