รำลึกเส้นทาง ‘เปเล่’ เด็กทำงานสู้ชีวิต ก้าวสู่นักเตะในตำนานที่ทำให้โลกฟุตบอลเบ่งบาน

รำลึกเส้นทาง ‘เปเล่’ เด็กทำงานสู้ชีวิต ก้าวสู่นักเตะในตำนานที่ทำให้โลกฟุตบอลเบ่งบาน

‘เปเล่’ (Pele) ราชาลูกหนังชาวบราซิล ใช้ชีวิตในวัยเด็ก ทำงานสารพัดอย่าง ตั้งแต่ขัดรองเท้า ทำความสะอาด และรับจ้าง เขาพบจุดพลิกผันอะไรที่ทำให้เป็นตำนานนักฟุตบอลผู้ยอดเยี่ยมที่สุดอีกรายในประวัติศาสตร์

  • เปเล่ ทำผลงานยอดเยี่ยมในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติบราซิลจนโลกลูกหนังยกย่องเขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกคนในประวัติศาสตร์
  • ในวัยเด็ก เขาต้องทำงานสารพัด ตั้งแต่ขัดรองเท้า ยันทำความสะอาด เป็นฟุตบอลที่ทำให้เขามีโอกาสเป็นนักกีฬา ก่อนกลายเป็น สมบัติชาติ ในเวลาต่อมา
  • เปเล่ เคยนำทีมสโมสรซานโตส มาแข่งที่ไทยเมื่อปี 1972

นักฟุตบอลที่เป็นตำนานของฟุตบอลโลกและจะต้องถูกพูดถึงแทบทุกครั้งที่ช่วงเวลาแห่งฟุตบอลโลกเวียนมาถึง หนึ่งในนั้นคงมีชื่อของ เอดิสัน อรันเตส โด นาสซิเมนโต้ (Edison Arantes do Nascimento) หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘เปเล่’ (Pelé) นักฟุตบอลทีมชาติบราซิลเจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก หรือ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World Cup) 3 สมัย นักเตะผู้เป็นตำนานด้วยการยิงประตูที่ถล่มทลายทั้งในระดับสโมรและทีมชาติ เรียกได้ว่านี่คืออีกหนึ่งตำนานของโลกฟุตบอล

เปเล่คือนักฟุตบอลผู้มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมชาติบราซิลขึ้นครองแชมป์โลกได้ 3 สมัยเป็นชาติแรก เจ้าตัวมีลีลาการเล่นที่สวยงามและการยิงประตูแบบมีจินตนาการพร้อมด้วยความเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ทำให้มีลูกยิงประตูมากมายของเจ้าตัวที่ปรากฏเป็นภาพติดตามาจนทุกวันนี้ และหนึ่งในนั้นก็คือการทำประตูให้ทีมชาติบราซิลในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1958 ที่ประเทศสวีเดนเป็นเจ้าภาพ และก็เป็นคู่ชิงชนะเลิศของทีมชาติบราซิลในครั้งนั้น

‘เปเล่’ กลายเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก โดยในเวลาที่เจ้าตัวลงทำการแข่งขันฟุตบอลโลก 1958 อันเป็นการเข้าร่วมสมัยแรกของ ‘เปเล่’ เจ้าตัวมีอายุได้เพียง 17 ปีกับ 249 วันเท่านั้น แถมยังสามารถทำประตูได้อีกด้วย และแต่ละประตูที่ทำได้นั้นล้วนเป็นประตูสำคัญที่พาทีมชาติบราซิลไปยืนยังจุดสูงสุดของโลกฟุตบอล

กาลเวลาผ่านไป แม้ ‘เปเล่’ จะเลิกเล่นฟุตบอลไปนานแสนนานแล้ว แต่ชื่อของเจ้าตัวมักจะถูกเอ่ยถึงทุกครั้งที่ฟุตบอลโลกมาถึง มุมหนึ่งก็คือเรื่องความยอดเยี่ยมและผลงานของเปเล่เองในอดีตที่ยากจะหานักฟุตบอลคนไหนมาทดแทนได้

ส่วนอีกมุมหนึ่งก็คือการที่เจ้าตัวมักจะมาพร้อมกับคำทำนายว่าที่แชมป์โลกในครั้งนั้นเสมอ และเป็นที่รู้กันว่าเมื่อเปเล่ ตำนานลูกหนังโลกได้เอ่ยถึงทีมชาติไหนก็ตามที่เขาคิดว่าจะเป็นแชมป์ ทีมนั้นมักจะต้องบอกลาฟุตบอลโลกตกรอบไปก่อนจะถึงตำแหน่งแชมป์เสียทุกที จนกลายเป็นสีสันของตัวเปเล่ เองที่ทำให้แฟนฟุตบอลรุ่นใหม่ยังคงได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าตัวอยู่จนทุกวันนี้

บทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับเรื่องราวของ เอดิสัน อรันเตส โด นาสซิเมนโต้ หรือ ‘เปเล่’ เจ้าของฉายา ราชาลูกหนังโลก กันครับ

จากลูกฟุตบอลทำเอง สู่สโมสรซานโตส เอฟซี

เปเล่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะไม่ดีนัก โฮเอา รามอส โด นาสซิเมนโต้ คุณพ่อของเปเล่เป็นนักฟุตบอลในระดับธรรมดาที่ไม่ได้มีชื่อเสียงและความมั่นคง ขณะที่ มาเรีย เซเลสเต้ อรันเตส คุณแม่ของเจ้าตัวก็เป็นแม่บ้านคอยเลี้ยงดูลูก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า รายได้จากการเล่นฟุตบอลของคุณพ่อเปเล่ ในเวลานั้นมันแทบไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพของครอบครัว เขาจึงต้องมีอีกอาชีพหนึ่งนั่นก็คือการเป็นพนักงานทำความสะอาด

‘เปเล่’ เองด้วยความที่ครอบครัวยากจนเจ้าตัวจึงต้องทำงานเพื่อหาเงินมาช่วยทางบ้าน เขาทำงานอย่างไม่เกี่ยงว่างานนั้นจะเป็นงานอะไร ทำงานในร้านน้ำชา เป็นคนรับใช้ รวมถึงการที่เจ้าตัวรับหน้าที่เป็นคนขัดรองเท้าให้กับสโมสรเบารู แอตแลติก คลับ (Bauru Athletic Club)

สำหรับในเรื่องของลูกหนังนั้น เปเล่ได้รับการฝึกฝนจากคุณพ่อ แต่ก็ด้วยฐานะที่ค่อนข้างยากจนทำให้ไม่สามารถจะซื้อแม้แต่ลูกฟุตบอลได้ ต้องประดิษฐ์ลูกฟุตบอลกันขึ้นมาเอง ซึ่งความพิเศษก็คือ เป็นลูกฟุตบอลที่ทำมาจากผลส้มโอหรือไม่ก็ถุงเท้าที่เอามามันห่อรวมกันกับหนังสือพิมพ์ ส่วนสนามฟุตบอลนั้นก็คือท้องถนนทั่วไป

เปเล่ ได้รวมตัวกับเพื่อนที่เล่นฟุตบอลด้วยกันที่ข้างถนนก่อตั้งทีมเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อส่งเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลที่เมืองเบารูจัดขึ้นและก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ โดยที่เปเล่ก็เริ่มฉายแววการยิงประตูจากรายการดังกล่าว จนไปเข้าตาของ วัลเดอมาร์ เดอ บริโต้ (Waldemar de Brito) ซึ่งเป็นนักฟุตบอลในระดับลีกอาชีพของประเทศบราซิล จนเปเล่และเพื่อนร่วมทีมได้ถูกเชิญให้ไปร่วมทีมเยาวชนบาควินโญ่ (Baquinho) โดยในขณะเปเล่ มีอายุเพียง 13 ปี ก็เริ่มมีรายได้จากการเล่นฟุตบอลในทีมดังกล่าว

ปี 1956 ขณะที่เปเล่มีอายุได้ 15 ปี เจ้าตัวได้มีโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรซานโตส เอฟซี (Santos Futebol Clube) จากการผลักดันของ วัลเดอมาร์ เดอ บริโต้ และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง เมื่อสามารถทำผลงานในการทดสอบฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรซานโตส เอฟซี และด้วยฝีเท้าการยิงประตูอันยอดเยี่ยมทำให้ เปเล่ถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ของสโมสรด้วยเวลาอันรวดเร็ว และทำผลงานในฟุตบอลลีกได้อย่างดีเยี่ยม

ทีมชาติบราซิล หลังนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1958

แชมป์โลกสมัยแรกโลกตะลึง

เปเล่ ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลเป็นครั้งแรกในเกมกับทีมชาติอาร์เจนติน่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 1957 ณ สนาม มาราคาน่า กรุงริโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล โดยเกมการแข่งขันในนัดดังกล่าวแม้ว่าผลจะจบลงด้วยชัยชนะของทีมเยือนอาร์เจนติน่า 1-2 แต่หนึ่งประตูของทีมชาติบราซิลก็มาจากฝีเท้าของเปเล่ เด็กหนุ่มวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น แถมยังได้ลงเล่นทีมชาติเป็นนัดแรกอีกด้วย

ปี 1958 เปเล่ มีชื่อติดทีมชาติบราซิลชุดฟุตบอลโลกที่ประเทศสวีเดน เจ้าตัวคือนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว โดยมีสถิติอายุ 17 ปีกับอีก 249 วัน

ในสองนัดแรกที่พบกับทีมชาติออสเตรีย และอังกฤษนั้น เจ้าตัวเป็นเพียงตัวสำรองที่ยังไม่ได้ถูกส่งลงสนามแต่อย่างใด พอการแข่งขันกับทีมชาติสหภาพโซเวียตในนัดสุดท้ายของรอบแรก เปเล่ ถูกส่งลงสนามเป็นนัดแรกในฟุตบอลโลกและสามารถทำ 2 แอสซิสต์ (Assist) ให้กับ เอดวัลโด อิซิดิโอ เนร์โต (Edvaldo Izidio Neto) หรือ วาวา ส่งผลให้ทีมชาติบราซิลเอาชนะทีมชาติสหภาพโซเวียดไปได้ 2-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 สุดท้าย

ในรอบควอเตอร์ไฟนอล หรือรอบ 8 สุดท้าย ทีมชาติบราซิลต้องพบกับทีมชาติเวลส์ และก็เป็นเปเล่ ที่ยิงประตูชัยให้ทีมชาติบราซิลเอาชนะเวลส์ไป 1-0 ในนาที 66

ประตูนี้นับได้ว่าเป็นประตูแรกของเปเล่ในฟุตบอลโลก และส่งทีมชาติบราซิลสู่รอบรองชนะเลิศไปพบกับทีมชาติฝรั่งเศส โดยในเกมรอบรองชนะเลิศนั้น เปเล่ ยังคงทำผลงานได้ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง เมื่อสามารถซัดแฮตทริกได้ และทำให้ทีมชาติบราซิลสามารถเอาชนะทีมชาติฝรั่งเศสไปได้ 5-2 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศต่อไป

29 มิถุนายน 1958 คือกำหนดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1958 รอบชิงชนะเลิศ ครั้งนี้เป็นการโคจรมาพบกันของทีมชาติสวีเดน เจ้าภาพ และทีมชาติบราซิล โดยฟุตบอลโลกก่อนหน้านี้ที่จัดกันมาแล้ว 5 ครั้ง ทั้งสองทีมยังไม่เคยสัมผัสกับคำว่าแชมป์โลกเลย ผลงานดีที่สุดของทีมชาติบราซิลคือการเป็นรองแชมป์ในฟุตบอลโลก 1950 ขณะที่ทีมชาติสวีเดนก็ได้อันดับ 3 ในครั้งนั้นด้วยเช่นกัน

เกมนัดดังกล่าว ทีมชาติบราซิลสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อสามารถเอาชนะสวีเดนไปได้ 5-2 และเปเล่ ก็สามารถทำประตูได้ 2 ประตู หนึ่งในนั้นคือลูกยิงคลาสสิกในความทรงจำ เมื่อเปเล่ รับบอลที่เปิดโด่งมาบริเวณจุดโทษด้วยการพักอก และกระดกบอลข้ามหัวกองหลังสวีเดน ซัดเต็มข้อเข้าไปอย่างงดงาม

ผลงานที่ยอดเยี่ยมดังกล่าวทำให้ชาวยุโรปและโลกใบนี้ได้เห็นเพชรเม็ดงามของโลกฟุตบอล และนี่คือปฐมบทความยิ่งใหญ่ของทีมชาติบราซิลและเปเล่

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมชาติบราซิลสามารถก้าวข้ามกำแพงจนไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกได้นั้นก็เพราะการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยมของระบบฟุตบอลภายในประเทศ ประกอบกับในช่วงเวลานั้น ประเทศบราซิลที่นำโดยประธานาธิบดีจุสเซลิโน คูบิตเชค (Juscelino Kubitschek) ก็อยู่ในยุคสร้างประเทศเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและปฏิรูปการเมืองที่เป็นระบอบเผด็จการก่อนหน้านี้ เมื่อการเมืองดี ทุกอย่างก็ดีตามเศรษฐกิจ สังคมและการกีฬาของบราซิล ณ เวลานั้นก็ได้รับการพัฒนาซึ่งฟุตบอลก็คือหนึ่งในนั้น

วงการฟุตบอลบราซิลที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนอย่างเต็มที่ สหพันธ์ฟุตบอลบราซิลหรือซีบีเอฟ (Confederação Brasileira de Futebol) ที่มี โจฮัว ฮาเวลานจ์ (João Havelange) เป็นประธานในขณะนั้น มีการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ มีการนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาปรับใช้ และจัดการทีมชาติอย่างเป็นระบบมีขั้นตอนชัดเจนจึงทำให้ทีมชาติบราซิลมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด

ฟุตบอลโลกแสนอาภัพ

แม้ว่าฟุตบอลโลกในสมัยแรกของเปเล่ จะเป็นที่น่าจดจำด้วยเพราะผลงานการคว้าแชมป์สมัยแรกของทีมชาติบราซิลและผลงานส่วนตัวของเปเล่เอง ซึ่งด้วยความเก่งและชื่อเสียงของเจ้าตัวก็เปรียบเสมือนดาบสองคม เปเล่ มักจะกลายเป็นเป้าโจมตีของกองหลังฝ่ายตรงข้ามเสมอ เพราะหากสามารถตัดเปเล่ ออกจากเกมได้ ก็จะสามารถแบ่งหรือจัดสรรกำลังไปจัดการกับนักเตะรายอื่นได้ง่ายขึ้น และนั่นเป็นสาเหตุให้เจ้าตัวมักมีอาการบาดเจ็บเล่นงาน

ในฟุตบอลโลกครั้งถัดมาทั้งในปี 1962 ที่ประเทศชิลี เป็นเจ้าภาพนั้น เปเล่ กลับต้องโชคร้ายเมื่อเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนแทบไม่ได้ลงสนามเลย

ผลงานเด่นก็คือการแข่งขันนัดเปิดสนามกับทีมชาติเม็กซิโกที่เปเล่สามารถยิงได้ 1 ประตู ช่วยให้ทีมชาติบราซิลเอาชนะทีมชาติเม็กซิโกไปได้ 2-0 เท่านั้น

นอกนั้น เปเล่ ได้แต่รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองและคอยเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมทีม อย่างไรก็ดี ทีมชาติบราซิลก็คือบราซิลที่แม้จะไม่สามารถใช้งานเปเล่ ได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้เล่นคนอื่นก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ ทีมชาติบราซิลและตัวเปเล่ เองก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 มาครองได้

ฟุตบอลโลก 1966 ที่ประเทศอังกฤษ ก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ไม่น่าจดจำสำหรับเปเล่ และรวมถึงทีมชาติบราซิล แม้ว่าในนัดเปิดสนามเจ้าตัวจะเป็นคนทำประตูเบิกร่องให้ทีมชาติบราซิลเอาชนะทีมชาติบัลแกเรียไป 2-0 ก่อนที่ในนัดต่อมา ทีมชาติบราซิลจะแพ้ฮังการี 1-3 โดยเปเล่ได้เป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น

จากนั้นในการแข่งขันนัดสุดท้ายของรอบแรกซึ่งเป็นนัดชี้ชะตาการเข้ารอบกับทีมชาติโปรตุเกส เปเล่ มีชื่อเป็นตัวจริงอีกครั้งแต่ก็ต้องเจอการเล่นที่ดุดันและนอกเกมจนได้รับอาการบาดเจ็บในที่สุด และทีมชาติบราซิลก็พ่ายแพ้แก่ทีมชาติโปรตุเกสไป 1-3 ตกรอบแรกอย่างไม่น่าเชื่อ

เป็นความบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจของเปเล่ เพราะนอกจากจะเล่นได้ไม่เต็มที่แล้ว ทีมชาติบราซิลก็ยังไม่สามารถไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้

เปเล่ ยิงลูกไปติดเซฟของผู้รักษาประตูทีมชาติอิตาลี ในฟุตบอลโลก 1970

กลับมาด้วยความยิ่งใหญ่

ฟุตบอลโลก 1970 ที่ประเทศเม็กซิโกเป็นเจ้าภาพ เปเล่ ที่ผ่านฟุตบอลโลกมาแล้ว 3 สมัยตั้งแต่วัย 17 ปี มาถึงวันนี้เป็นวันที่เจ้าตัวมีความพร้อมแบบสุดขีดทั้งประสบการณ์และสภาพร่างกาย รวมทั้งทีมชาติบราซิลในชุดนั้นก็ประกอบไปด้วยขุมกำลังระดับโลกมากมาย ทำให้ยากที่จะมีชาติไหนมาสู้ได้

เพียงแค่นัดเปิดสนามเท่านั้น ทีมชาติบราซิลก็สามารถเอาชนะทีมชาติเชกโกสโลวเกียไปได้อย่างขาดลอย 4-1 โดยเปเล่ยิงได้ 1 ประตู จากนั้นในนัดต่อมาทีมชาติบราซิลก็เอาชนะแชมป์เก่าอย่างอังกฤษไปได้ 1-0 จากการยิงของแจร์ซินโญ่ และก็เป็นประตูที่ 3 ของแจร์ซินโญ่ ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น

ส่วนรอบแรกนัดสุดท้ายกับทีมชาติโรเมเนีย ทั้งเปเล่และแจร์ซินโญ่ ก็ร่วมกันพังประตูให้ทีมชาติบราซิลสามารถเอาชนะทีมชาติโรมาเนียไปได้ 3-2 โดยนัดนี้เปเล่ เหมาไป 2 ประตูรวมกับแจร์ซินโญ่ ที่ซัดไป 1 ประตู ทีมชาติบราซิลจบรอบแรกด้วยชัยชนะรวด 3 นัดเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่มทำประตูไปทั้งสิ้น 8 ประตู แจร์ซินโญ่ทำไปทั้งหมด 4 ประตู ตามมาด้วยเปเล่ 3 ประตู และริเวลลิโน 1 ประตู นับเป็นยุคที่ทีมชาติบราซิลมีความสมบูรณ์แบบในเกมรุกมากที่สุดยุคหนึ่ง

ทีมชาติบราซิลยังคงทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในรอบควอเตอร์ไฟนอลหรือรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อถล่มเปรู 4-2 และรอบรองชนะเลิศก็ซัดอุรุกวัย อดีตแชมป์โลก 2 สมัยไปอีก 3-1 ทะยานสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบกับทีมชาติอิตาลี

ในนัดชิงชนะเลิศนี้ เปเล่ บวกสกอร์ของตัวเองไปได้หนึ่งประตูช่วยให้ทีมชาติบราซิลชนะทีมชาติอิตาลีไปอย่างขาดลอย 4-1 ครองแชมป์โลกสมัยที่ 3 ได้เป็นชาติแรกเช่นเดียวกับเปเล่ที่เป็นนักฟุตบอลที่สัมผัสแชมป์โลกได้ถึง 3 สมัย (1958, 1962, 1970) และเป็นตำนานมาจนทุกวันนี้

เปเล่ ในฟุตบอลโลก 1970

นักเตะระดับโลกที่ไม่ได้ไปค้าแข้งยุโรป

เป็นที่ยอมรับกันว่าระบบฟุตบอลอาชีพที่ดีที่สุดในโลกนั้นก็คือฟุตบอลลีกในทวีปยุโรป และนักฟุตบอลจากทั่วทั้งโลกก็ต่างต้องการไปพิสูจน์ตัวเองบนดินแดนยุโรป และแทบจะเป็นสูตรตายตัวเมื่อมีนักฟุตบอลจากทวีปอเมริกาใต้โด่งดังขึ้นมาก็มักจะเป็นที่สนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป

และแน่นอนเปเล่ ก็คือหนึ่งในนั้น สโมสรอย่างเรอัล มาดริด ถึงกับยื่นข้อเสนอให้ทางสโมสรซานโตส และเปเล่ สามารถเรียกค่าตัวได้ตามต้องการ สโมสรอย่างยูเวนตุส เสนอค่าตัวมหาศาลบวกกับหุ้นของบริษัทรถยนต์เฟียต (Fiat) ให้อีก นอกจากนี้ ก็มีข้อเสนอของสโมสรอินเตอร์ มิลาน ที่ก็ดูดีไม่แพ้กัน

แต่สำหรับชาวบราซิลและสโมสรซานโตสแล้ว เปเล่ เปรียบเสมือนสมบัติของชาติ ไม่มีใครอยากสูญเสียเปเล่ไป ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ อาเทีย จอร์เก คูรี (Athiê Jorge Coury) ประธานสโมสรซานโตสในขณะนั้นหารือกับสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลที่มี โจฮัว ฮาเวลานจ์ เป็นประธานและมีความคิดเห็นตรงกันว่า หากเปเล่ เดินทางไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่ทวีปยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อทีมชาติบราซิลได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เปเล่ต้องเดินทางไกลเวลากลับมารับใช้ทีมชาติ หรือแม้แต่การขอตัวมาเล่นทีมชาติก็จะทำได้ยากขึ้นไปอีก

เมื่อทั้งคู่เห็นตรงกันจึงนำเรื่องไปปรึกษากับรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดี โจอัว กัวลาร์ต (João Goulart) ซึ่งรัฐบาลก็เห็นชอบด้วยจึงทำการแต่งตั้งเปเล่ ให้มีสถานะเป็นสมบัติของชาติ ทำให้เจ้าตัวไม่สามารถเดินทางไปเล่นฟุตบอลอาชีพในทวีปยุโรปได้ แต่เพื่อเป็นการชดเชยการเสียโอกาสดังกล่าว ทางสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลจึงให้สิทธิพิเศษแก่สโมสรซานโตสเดินทางออกไปแข่งขันทั่วโลกในแบบเวิลด์ ทัวร์ ซึ่งประเทศไทยของเราก็เคยมีโอกาสตอนรับเปเล่มาแล้วในตอนที่สโมสรซานโตสมาแข่งขันกับทีมกรุงเทพ 11

ซึ่งรายได้ที่เกิดจากการเวิลด์ทัวร์นี้ก็มีการแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้กับเปเล่ เพื่อชดเชยที่เจ้าตัวเสียโอกาสในเดินทางไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่ยุโรป แต่ภายหลัง สถานะสมบัติของชาติของเจ้าตัวก็ได้มีการผ่อนปรนลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในประเทศบราซิล และทำให้เปเล่ สามารถเดินทางไปค้าแข้งกับสโมสรนิวยอร์ก คอสมอส (New York Cosmos) ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ในปี 1975 เพื่อลงแข่งขันฟุตบอลนอร์ท อเมริกัน ซอคเกอร์ลีก (North American Soccer League) หรือ เอนเอเอสแอล (NASL)

เปเล่ พาสโมสรนิวยอร์ก คอสมอสเป็นแชมป์ได้ในปี 1977 ก่อนที่เปเล่ จะตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลในปีดังกล่าว โดยนัดสุดท้ายที่เปเล่ ลงสนามในวันที่ 1 ตุลาคม 1977 เป็นเกมการแข่งขันระหว่างสโมสรนิวยอร์ก คอสมอส กับสโมสรซานโตส อดีตต้นสังกัดของเจ้าตัว โดยเป็นเกมการแข่งขันนัดอำลาที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกกว่า 38 ประเทศ และตั๋วการแข่งขันในนัดดังกล่าวจำหน่ายหมดไปอย่างรวดเร็ว เป็นแมตช์อำลาที่ยิ่งใหญ่แมตช์หนึ่งในวงการลูกหนังโลก

กาลครั้งหนึ่ง เปเล่ อิน ไทยแลนด์

จากการที่สโมสรซานโตสได้มีการจัดเวิลด์ ทัวร์ขึ้นเพื่อให้แฟนฟุตบอลจากทั่วทุกมุมโลกได้สัมผัสกับลีลาการเล่นของเปเล่ เนื่องจากว่าในยุคนั้นหากไม่ได้ไปเล่นในลีกยุโรปแล้วก็ยากที่จะเป็นข่าว หรือยากที่คนทั่วโลกจะได้เห็นฝีเท้าบ่อย ๆ ถ้าไม่ใช่ศึกฟุตบอลโลก

นอกจากนี้ การออกเวิลด์ทัวร์ของสโมสรซานโตสก็เป็นการสร้างรายได้ให้กับวงการฟุตบอลบราซิล และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้จัดเวิลด์ ทัวร์ของสโมสรซานโตส พร้อมกับแฟนฟุตบอลไทยจะมีโอกาสได้เห็นลีลาของเปเล่อีกด้วย

10 มิถุนายน 1972 สโมสรซานโตส ที่นำมาโดยเปเล่ ลงสนามแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรกับทีมกรุงเทพ 11 ณ สนามศุภชลาศัย โดยทีมกรุงเทพ 11 มีนักฟุตบอลทีมชาติไทยที่สังกัดสโมสรราชประชาหลายคน เช่น ณรงค์ สังข์สุวรรณ, อาจินต์ พฤษธรรมโกวิท, ประยูร เสชนะ, โรจนะ สมุนไพร, ไพรฤทธิ์ ผังดี, ประพนธ์ ตันตริยานนท์ และวันชัย เหลืองไพฑูรย์

ในยุคนั้นหากมีสโมสรจากต่างประเทศมาทำการแข่งขัน ถ้าไม่ได้แข่งกับสโมสรของไทยโดยตรงก็จะแข่งกับทีมกรุงเทพ 11 ซึ่งก็เปรียบเสมือนทีมชาติไทยกลาย ๆ

สำหรับผลการแข่งขันนั้น ก็เป็นสโมสรซานโตส จากบราซิลที่สามารถเอาชนะทีมกรุงเทพ 11 ไปได้ด้วยสกอร์ 6-1

ต่อสู้กับโรคร้าย

ปลายปี 2022 มีข่าวความเคลื่อนไหวของเปเล่ ว่าเจ้าตัวกำลังรักษาอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ล่าสุด ในสื่อโซเชียลมีเดียของเจ้าตัวยังยืนยันว่า เปเล่ มีกำลังใจที่ดีเยี่ยมในการต่อสู้กับโรคร้ายดังกล่าว

อัปเดต (กองบรรณาธิการ): วันที่ 29 ธันวาคม 2022 มีรายงานว่า เปเล่ เสียชีวิตในวัย 82 ปี ขณะที่โรงพยาบาลยืนยันข่าวการเสียชีวิตโดยระบุรายละเอียดว่า สืบเนื่องมาจากอวัยวะภายในล้มเหลวอันเป็นผลมาสภาพของมะเร็งลำไส้ที่ดำเนินไปตามเวลา ประกอบกับสภาพอาการที่ผ่านมาของเปเล่

ลูกสาวของเปเล่ เคลี นาซีเมนเต (Kely Nascimento) ซึ่งมักอัปเดตอาการของเปเล่ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์โพสต์ภาพและข้อความขอบคุณเปเล่ ส่วนหนึ่งมีใจความว่า 

“ทุกอย่างที่เราเป็น ต้องขอบคุณคุณพ่อ เรารักคุณไม่มีที่สิ้นสุด พักผ่อนอย่างสงบนะ”

นี่คือเรื่องราวของเปเล่ ราชาลูกหนังโลก จากเด็กที่เล่นฟุตบอลตามถนนโดยที่ไม่มีลูกฟุตบอลจริงที่เป็นลูกหนังให้ได้เล่น มาสู่ตำนานการพาทีมชาติบราซิลเป็นแชมป์โลก 3 สมัย นักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามและยิงประตูในฟุตบอลโลก

 

หมายเหตุ: เนื้อหานี้เผยแพร่เมื่อ 9 ธันวาคม 2022 ในชื่อบทความ ชีวิตแปรผันของ ‘เปเล่’ จากวัยเด็ก ขัดรองเท้า-ทำความสะอาด ก้าวสู่ยอดนักเตะได้อย่างไร

เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (แฟนพันธุ์แท้เอเชียนเกมส์)