Sleeping Beauty: เมื่อความจริงไม่มีเจ้าชายในเรื่องเจ้าหญิงนิทรา

Sleeping Beauty: เมื่อความจริงไม่มีเจ้าชายในเรื่องเจ้าหญิงนิทรา
“อย่าเลยอย่าพบฉัน อาจเป็นได้ วันหนึ่งอาจพบกัน” ภาพหญิงสาวผมยาวสีบลอนด์ที่กำลังเดินหนีและปัดป่ายคำขอนัดพบของเจ้าชายรูปงามที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกในป่า กลายเป็นภาพจำที่ถูกนำมาล้อเลียนของเรื่อง ‘Sleeping Beauty’ และเป็นฉากพบกันครั้งแรก (ในตอนที่โตแล้ว) ของเจ้าชาย ‘ฟิลลิป’ (Phillip) และเจ้าหญิง ‘ออโรร่า’ (Aurora) หรือที่หลายคนคุ้นหูในชื่อ ‘เจ้าหญิงนิทรา’  การ์ตูนเรื่อง Sleeping Beauty ภายใต้การจัดทำของ ‘Walt Disney’ ถูกนำมาฉายครั้งแรกในปี 1959 บอกเล่าเรื่องราวความรักของเจ้าหญิงผู้อาภัพที่ต้องคำสาปจากแม่มดใจร้าย และรอวันได้รับการจุมพิตจากเจ้าชายผู้เป็นรักแท้ ในเรื่อง Sleeping Beauty เวอร์ชันที่ถูกดัดแปลงโดยดิสนีย์ เปิดเรื่องมาด้วยการเฉลิมฉลองการถือกำเนิดของลูกสาวผู้เป็นที่รักของพระราชาและพระราชินี เจ้าหญิงออโรร่าได้รับพร 3 ข้อจากเทพธิดาทั้ง 3 องค์เป็นของขวัญ พรข้อแรกคือพรแห่งความงาม พรข้อที่สองคือพรแห่งการขับร้อง และระหว่างที่เทพธิดาองค์ที่สามกำลังให้พรข้อสุดท้ายกับเจ้าหญิงตัวน้อย ประตูวังกลับเปิดขึ้นพร้อมการมาเยือนของ ‘มาเลฟิเซนต์’ (Maleficent) แม่มดที่ไม่ได้ถูกรับเชิญ เข้ามาสาปแช่งว่า ‘หากเจ้าหญิงออโรร่าอายุครบ 16 พรรษา เธอจะถูกเข็มทอผ้าของเครื่องปั่นฝ้ายตำนิ้วจนสิ้นชีพ และไม่มีวิธีใดที่จะล้างคำสาปนี้ได้’ หากแต่โชคยังคงเข้าข้าง เพราะพรข้อสุดท้ายของเทพธิดาองค์ที่สามยังไม่ถูกเอ่ยออกไป พรข้อสุดท้ายแก่เจ้าหญิงตัวน้อยจึงกลายเป็นการอวยพรเพื่อบรรเทาคำสาป กล่าวคือ ออโรร่าจะยังไม่สิ้นใจ หากแต่เพียงหลับใหลรอให้ผู้เป็นรักแท้มาจุมพิตเพื่อทำให้เธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากวันนั้น เจ้าหญิงออโรร่าถูกพาไปอยู่ในกระท่อมกลางหุบเขาและเลี้ยงดูโดยนางฟ้าแม่ทูนหัวทั้ง 3 องค์ เธอถูกตั้งชื่อใหม่ว่า ‘โรส’ มาจาก Briar Rose ที่แปลว่ากุหลาบป่า ตั้งแต่เด็กจนโต นอกจากนางฟ้าทั้ง 3  แล้ว เพื่อนของเธอคือสัตว์ตัวเล็กในป่า ออโรร่าเต้นรำกับนกฮูก พูดคุยกับกระรอกและกระต่ายถึงความรักที่เธอใฝ่ฝัน น่าเศร้าที่เธอไม่เคยได้รับรู้โลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนว่าวันในความฝันของเธอจะเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ  เจ้าชายฟิลลิปที่ขี่ม้าผ่านมาแถวนี้ได้ยินเสียงร้องเพลงอันหวานใสของเจ้าหญิงจึงแวะเข้ามาดู และพบกับหญิงสาวผมบลอนด์ส่องแสงประกาย ทั้งคู่เต้นรำด้วยกัน และตกหลุมรักกัน แม้ว่าจะเป็นเพียง ‘คนแปลกหน้า’ ของกันและกันก็ตาม และวันที่เจ้าหญิงกำลังจะอายุครบ 16 พรรษาก็มาถึง เจ้าหญิงออโรร่าถูกเข็มปั่นด้ายตำนิ้วและหลับใหลไปตามคำสาปของมาเลฟิเซนต์ หากแต่เธอก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งจากการจุมพิตของเจ้าชายที่ฝ่าฟันอุปสรรคไปช่วยเธอเอาไว้ และครองคู่กันอย่างมีความสุข ‘Happily Ever After’ คือคำที่กล่าวขึ้นมาพร้อมกับการฉายภาพตอนจบอันแสนสวยงามตามฉบับการ์ตูนดิสนีย์ ที่ไม่ว่าทั้งตัวเจ้าชายและเจ้าหญิงจะผ่านเรื่องราวเลวร้ายแค่ไหน สุดท้ายตอนจบก็ยังคงสวยงามเสมอ แต่ถ้าหากเรื่องราวในชีวิตจริงไม่เป็นแบบนั้นล่ะ?  The Sleeping Beauty ในฉบับของ Walt Disney ถูกดัดแปลงโดย ‘พี่น้องตระกูลกริมม์’ (Grimm Brothers) มีที่มาจากวรรณกรรมเรื่อง ‘The Sleeping Beauty In The Wood’ ของ ‘ชาร์ลส แปโร’ (Charles Perrault) และวรรณกรรมนั้นก็ได้รับอิทธิพลจากนวนิยายเรื่อง ‘Sun, Moon, and Talia’ ของ ‘เกียบาสติสตา บาซิล’ (Gianbattista Basile) นักเขียนชาวอิตาลีอีกที ในนวนิยายนี้ ระหว่างทางก่อนถึงจุดจบของเรื่องกลับไม่ได้สวยงามเหมือนกับฉบับที่หลายคนเคยดู เพราะในเรื่องนี้ไม่มีแม้แต่ ‘เจ้าชาย’ ด้วยซ้ำ **** Trigger Warning: Rape **** Sun, Moon, and Talia เป็นนวนิยายที่เล่าเรื่องชีวิตที่แสนโหดร้ายของ ‘ทาเลีย’ (Talia) เจ้าหญิงที่ถูกหนามป่านตำนิ้วและสลบไป ผู้คนคิดว่าเธอตายไปแล้ว จึงนำศพของเธอไปเก็บไว้ในกระท่อมกลางป่า และปล่อยให้เธอหลับใหลอยู่ในนั้น และวันที่เป็นดั่งความฝันที่โหดร้ายก็มาถึง พระราชาองค์หนึ่งได้เข้าป่ามาเพื่อล่าสัตว์และเดินผ่านกระท่อมหลังนี้ เขาจึงเข้าไปพบกับผู้หญิงหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผ่องใส เขาลุ่มหลงในตัวของหญิงสาวคนนี้และได้ทำการข่มขืนเธอหลายครั้ง หากเป็นนิยายฉบับดิสนีย์ เจ้าหญิงคงตื่นจากการหลับใหลด้วยจุมพิตของเจ้าชาย แต่ในเรื่องของทาเลีย เธอตื่นขึ้นมาเพราะ ‘ลูกสาว’ ของเธอ  หลังจากที่ทาเลียถูกพระราชาขืนใจ เธอได้ตั้งครรภ์ลูกแฝดชายหญิง และได้ให้กำเนิดลูกออกมา แม้ว่าเธอจะยังอยู่ในนิทรา ด้วยสัญชาตญาณของเด็กน้อย ทำให้ลูกสาวของเธอดูดนิ้วเพราะคิดว่ามันจะมีน้ำนมไหลออกมา ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือร้ายที่นิ้วข้างนั้นเป็นนิ้วที่ถูกหนามป่านตำ เมื่อลูกของเธอดูดนิ้วจึงทำให้หนามป่านหลุดออกไป และเธอก็ตื่นขึ้นหลังจากหลับใหลไปเป็นเวลาหลายปี เด็กแฝดชายหญิงคู่นี้ถูกตั้งชื่อว่า ‘ซันและมูน’ (Sun and Moon) และถูกเลี้ยงดูโดยทาเลียในกระท่อมที่เธอตื่นขึ้นมา วันหนึ่ง พระราชาองค์เดิมได้กลับเข้ามาในบ้านหลังนี้และพบว่าเจ้าหญิงได้ให้กำเนิดลูกแฝด แต่ด้วยความที่พระราชานั้นแต่งงานและมีพระราชินีอยู่แล้ว จึงทำได้เพียงแค่ให้แม่ลูก 3 คนนี้อาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่าต่อไป พระราชาแวะเวียนมาหาเจ้าหญิงอยู่บ่อยครั้งจนพระราชินีเกิดความสงสัย หลังจากรู้ความลับที่พระราชาพยายามปกปิดไว้ พระราชินีจึงสั่งให้จับตัวเจ้าหญิงและลูกมา โดยสั่งให้พ่อครัวจับลูกแฝดไปทำเป็นอาหารให้พระราชาเสวย ส่วนเจ้าหญิงทาเลียให้จับไปเผาไฟทั้งเป็น ระหว่างที่ทาเลียกำลังถอดเสื้อผ้าเพื่อเดินเข้ากองไฟ เธอกรีดร้องให้แก่โชคชะตาในทุก ๆ ก้าวเดิน จนพระราชาได้ยินและมาห้ามไว้ได้ทัน พระราชินีจึงสารภาพออกมาว่า เนื้อที่พระราชากินเข้าไป คือเนื้อของลูกแฝดตัวเอง เพื่อที่จะทำให้พ่อครัวถูกประหารไปพร้อมกัน แต่พ่อครัวกลับสารภาพว่า เขาเกิดความสงสารเด็กทั้ง 2 คน เลยพาเด็กไปซ่อนและนำเนื้อแกะมาเสิร์ฟแทน สุดท้ายแล้วพระราชินีจึงเป็นคนเดียวที่ต้องความผิดและถูกประหาร บทสรุปของเรื่องนี้จบลงที่เจ้าหญิงทาเลียได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระราชินีคนองค์ใหม่ แม้ว่าบทสรุปสุดท้าย เจ้าหญิงจะได้แต่งงานและได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชินี ครองคู่กับพระราชาเหมือนกับตอนจบบริบูรณ์ของนิยายทั่วไป หากแต่พอนึกถึงระหว่างทางที่ผ่านมานั้นกลับเต็มไปด้วยความน่าสลดใจ เพราะในนวนิยายเรื่องนี้ ไม่มีแม้แต่เจ้าชายที่เป็นรักแท้ของเจ้าหญิงด้วยซ้ำ เรื่อง: พุธิตา วัยศิริโรจน์ ภาพ: Sleeping Beauty (1959) ที่มา: https://www.blockdit.com/posts/60b79673fdfea714ff9a0016  https://fairytale.fandom.com/wiki/Sun,_Moon,_and_Talia  https://www.silpa-mag.com/history/article_43235