โฆเซ การ์เรรัส กับคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในไทย “สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีชีวิต"

โฆเซ การ์เรรัส กับคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในไทย “สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีชีวิต"

         “เทเนอร์คือชื่อเรียกช่วงของเสียงในดนตรี โดยเสน่ห์ของมันคือเสียงที่มีความนุ่มลึกและทุ้มในแบบผู้ชาย จะร้องขึ้นสูงก็ได้ต่ำก็ดี ถ้าให้เปรียบเป็นคนก็ไม่ต่างกับผู้ชายสุภาพบุรุษสักคนหนึ่งในชุดสูทสั่งตัดเฉพาะ

และถ้าพูดถึงเสียงแห่งเทเนอร์ในวงการโอเปรา คงจะไม่มีใครเทียบชั้นสามมหาเทพ “The Three Tenors” ในอดีตที่นำโดย โฆเซ การ์เรรัส (Jose Carreras), ลูชาโน่ ปาวารอตติ (Luciano Pavarotti) และ พลาซิโด้ โดมิงโก้ (Placido Domingo) ได้ แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปหลายทศวรรษและดูเหมือนจะเป็นโค้งสุดท้ายก่อนเส้นชัยรีไทร์ของการเป็นนักร้อง แต่สำหรับโฆเซ การ์เรรัส ในวัย 72 ปี ดนตรีและโอเปราก็ยังคงเป็นสิ่งที่หอมหวานสำหรับเขาอยู่เสมอ

แต่ด้วยอายุที่ร่วงโรยขึ้นทุกวัน การ์เรรัส ตัดสินใจเดินทางมาแสดงส่งท้ายให้ประเทศไทยอีกครั้ง ในงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ ครั้งที่ 21 ร่วมกับนักร้องโซปราโนชาวไอริช เซลิน ไบร์น (Celine Byrne) และวาทยกรมากความสามารถ เดวิด กีเมเนซ (David Gimemez) โดยมีวง RBSO เป็นผู้รับหน้าที่บรรเลงดนตรี ซึ่งถ้าจะบอกว่านี่คือครั้งสุดท้ายจริง ๆ ของประเทศไทยที่จะได้ยินเสียงของชายคนนี้ก็คงไม่ผิดแปลกอะไร

กีเมเนซ และวง RBSO ประเดิมโหมโรงด้วยเพลง ‘L’Arlesiene Suite. Faramdole’ ก่อนที่การ์เรรัสจะขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเพลงเปิดตัวอันยิ่งใหญ่ทรงพลังอย่าง ‘L’ultima canzone’ และ ‘Pecché’ ช่วงต้นการ์เรรัสถ่ายทอดการร้องออกมาได้ยอดเยี่ยมอย่างมาก โดยเฉพาะไดนามิคของเสียงที่ออกมาเป็นธรรมชาติไร้การปรุงแต่งใด ๆ ที่สะท้อนราวกับว่าเสียงกับตัวตนเขารวมกันเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง

โฆเซ การ์เรรัส กับคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในไทย “สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีชีวิต"

       งานนี้ถ้าการ์เรรัสเป็นเหมือนกับพระเอกของงาน ไบรน์ก็ไม่ต่างกับนางเอกของเรื่อง เธอปรากฏตัวครั้งแรกด้วยเพลง ‘La Wally. "Ebben? Ne andrò lontana"’ ซึ่งแม้ว่าบาลานซ์ของเสียงร้องกับดนตรีจะไม่ค่อยดีในช่วงแรก แต่การร้องที่เหมือนกับการเล่าเรื่องของเธอก็สะกดคนได้อยู่หมัดจริง ๆ

อีกทั้งในเพลง ‘Faust. ‘Ah! Je ris de me voir si belle’ ไบรน์ก็เนรมิตศูนย์วัฒนธรรมฯ ด้วยเสียงของเธอให้กลายเป็นสถานที่เหนือจินตนาการ เรียกได้ว่าสิ่งที่ออกมาทั้งงดงามและไพเราะในเวลาเดียวกัน

ก่อนที่ทั้งคู่จะโชว์ duet ในเพลงคู่อย่าง ‘Je te Veux’ duet ซึ่งตลอดทั้งเพลงมีการโต้ตอบแบบ Call & Response ที่ชวนน่าหลงใหล ยิ่งตอนท่อนประสานคู่ ไลน์ร้องที่ออกมาสวยงามมาก เป็นการสะท้อนให้เราเห็นว่าพวกเขาต้องการซึ่งกันและกันจริง ๆ (เหมือนชื่อเพลงที่แปลเป็นไทยได้ว่า ฉันต้องการคุณ”)

แม้โอเปราจะเป็นดนตรีชั้นสูงในอดีต และยากที่สามัญชนจะได้มีโอกาสสัมผัสความสวยงามของมัน แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผ่าน ในวันนี้ทุกเพศทุกวัยและผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงโอเปราได้มากขึ้นแล้ว อาจจะเพราะตัวโอเปราเองก็ปรับตัวให้เข้าใกล้กับคนมากขึ้นด้วยเช่นกัน

การ์เรรัส ปิดการแสดงช่วงแรกของเขาด้วยเพลง ‘The Man of La Mancha. “The Impossible Dream”’ ซึ่งหลังจากที่ฟัง ส่วนตัวแทบจะไม่มีคำพูดใด ๆ จะให้เขาได้มากเท่ากับคำว่า “classy” จริง ๆ

โฆเซ การ์เรรัส กับคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในไทย “สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีชีวิต"

       เปิดมาช่วงที่สอง การ์เรรัสเหมาคนเดียวสองเพลงพร้อมเทคนิคจัดเต็มและมีท่อนขึ้นเสียงสูงที่ทรงพลังสนั่นเข้าไปในหูเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ ‘Serenata Sincera’ และ ‘Passione’

ช่วงต่อมา ไบร์นก็ขอยกมือขึ้นมาร้องคั่นกลางด้วยเพลง ‘The Merry Window.”Vilja Lied”’ ก่อนที่เวลาต่อมาทั้งคู่จะผลัดกันหอบเพลงดัง มาโชว์เพียบเช่น ’El dúo de La africana Dúo y Jota’, ‘El barberillo de Lavapiés-Canción de Paloma’, ’Musica Proibita’ และ ’Dicitencello vuie’ ที่กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่การ์เรรัสโชว์เสียงมากที่สุดในคอนเสิร์ตครั้งนี้

การ์เรรัสและไบร์นปิดคอนเสิร์ตในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์ด้วยสามเพลงก้องโลกอย่าง ‘My Fair Lady’ “I Could have danced all night”, ‘Granada’ และ ‘La Traviata. Brindisi’ ท่ามกลางการลุกขึ้นมา standing ovation ของคนดูทั้งฮอลล์

โฆเซ การ์เรรัส กับคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในไทย “สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีชีวิต"

       ภาพรวมของคอนเสิร์ต ช่วงแรกมีทั้งความสนุกและน่าตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน แต่หลังพักครึ่งเป็นต้นมาความน่าสนใจของการแสดงก็ลดลง อันเนื่องมาจากหลาย ๆ ปัจจัยโดยเฉพาะเรื่องของพลังที่ลดลงของการ์เรรัส โดยเฉพาะในท่อนขึ้นเสียงสูงเพลงท้าย ๆ พลังของการ์เรรัส แอบลดลง (ตามอายุ) แต่ทั้งหลายทั้งปวงความน่าทึ่งก็คือเสียงของเขาก็ยังฟังแล้วทรงเสน่ห์อย่างน่ามหัศจรรย์ เพลงไหนที่มีโทนสว่าง เสียงร้องของเขาก็แสดงถึงความอบอุ่น แข็งแกร่งและทรงพลัง ส่วนเพลงไหนที่มีโทนเศร้าหมอง เขาก็นำความเบามาถ่ายทอดให้สวยงามได้เช่นกัน 

ทั้งหมดนี้คือพลังของตำนานที่ยังเดินได้วัย 72 ปี ผมแทบไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าได้ฟังเขาร้องตอนหนุ่มแน่นมันจะออกมาสุดยอดขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตามนี่ถือเป็นบุญหูของคนฟังชาวไทยอย่างมากที่ได้ฟังเสียงร้องของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่เป็น "คน" คนนี้ เป็นครั้งสุดท้าย