ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคของการเปลี่ยนแปลง

ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคของการเปลี่ยนแปลง
สิงห์ยกขาข้างไหน? คำถามสนุก ๆ เกี่ยวกับโลโกสิงห์ที่เราคุ้นเคย ที่หลายคนน่าจะรู้คำตอบนี้ อาจไม่สำคัญเท่ากับว่าสิงห์ยกขาเพื่อเดินหน้าก้าวกระโดดไปที่ไหนกัน “ที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับการนำ สิงห์ เอสเตท เดินทางจากจุดเริ่มต้นในฐานะบริษัทของครอบครัว มาสู่การเป็นบริษัทมหาชนที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ตอนนี้เรากำลังเดินหน้ามองหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโตใหม่ ๆ ในระดับโลก ไปพร้อมกัน เพราะเราเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางธุรกิจของสิงห์ เอสเตท” จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท ได้เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ของสิงห์ เอสเตท  จากธุรกิจที่บริหารจัดการสินทรัพย์และดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล ตอนนี้สิงห์ เอสเตท มีสินทรัพย์อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค  โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร สัดส่วนรายได้ประมาณ 15% ของรายได้ มีธุรกิจโครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี The ESSE และแบรนด์อื่น ๆ สัดส่วนรายได้ประมาณ 57% นอกจากนั้นยังมีธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ มีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สัดส่วนรายได้ประมาณ 24% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563 ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคของการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการเดินหน้าครั้งสำคัญในการเตรียมรุกเข้าสู่ธุรกิจพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ  “ปีนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่เรากำลังเข้าสู่เฟสต่อไปของการพัฒนาธุรกิจของสิงห์ เอสเตท โดยเราจะเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่จะมาต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำสิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทยที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนที่ดี”  การเดินหน้าแผนเชิงกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ เพื่อเติมเต็มและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ขึ้น 3 เท่าตัว ให้กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลาสามปี พร้อมกับสร้างธุรกิจให้มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น จาก 65,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ไปเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 80,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 และในขณะเดียวกัน ก็ตั้งเป้าเพิ่มอัตราผลกำไรในการทำธุรกิจด้วย ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคของการเปลี่ยนแปลง ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวถึงโอกาสและความท้าทายของ สิงห์ เอสเตท ในครั้งนี้ว่า “เรามีการพัฒนาโครงการขนาดยักษ์หลากหลายโครงการในประเทศไทย และเดินหน้าบูรณาการธุรกิจต่าง ๆ ของสิงห์ เอสเตท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม เข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่าง ๆ ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้กับสิงห์ เอสเตท ได้อย่างมหาศาล และเพิ่มความสามารถในการคว้าโอกาสทางธุรกิจใหญ่ ๆ ที่กำลังจะมีเข้ามา”  สิ่งที่ช่วยยืนยันว่า “สิงห์” ยกขาก้าวมาถูกทาง คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา 3 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต ทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 96% ของรายได้ทั้งหมด กลุ่มธุรกิจที่ 4 จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแกนหลักมาแต่เดิม ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคของการเปลี่ยนแปลง การวางโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกันเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจทั้งหมด เพื่อจะทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างมั่นคง สม่ำเสมอ จากการผสมผสานธุรกิจในเครือที่มีวงจรทางธุรกิจแตกต่างกัน และมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก “แนวทางการเดินหน้า 4 กลุ่มธุรกิจ ทำให้เรามีจุดโดดเด่นที่แตกต่าง ช่วยให้เราเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้มากกว่า นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้เรามีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น จากการเติมเต็มซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน และการบูรณาการธุรกิจ พร้อมกันนี้ ก็จะช่วยให้เรามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จากการที่ธุรกิจในเครือมีวงจรทางธุรกิจที่แตกต่างกัน มีรูปแบบความเสี่ยงไม่เหมือนกัน และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท ตอกย้ำอย่างมั่นใจ การเดินหน้ากลุ่มธุรกิจที่ 4 เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดครั้งสำคัญนี้ เป็นจังหวะที่เหมาะสมของ สิงห์ เอสเตท เนื่องจากความแข็งแกร่งทางการเงิน จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ อยู่ที่ 0.96 เท่า และการมีเครดิตดี สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีกกว่า 25,000 ล้านบาท   ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ “สิงห์ เอสเตท” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคของการเปลี่ยนแปลง   นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังกำลังศึกษาแนวคิดและวิธีใหม่ ๆ ระดับโลก นำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business) การเดินหน้าก้าวกระโดด สิงห์ เอสเตท จึงมีเป้าหมายที่จะแสวงหาความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระดับโลก เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญในธุรกิจซึ่งจะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งความสามารถในการแข่งขัน และช่วยขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น  โดยเป็นก้าวไปข้างหน้าอย่างสิงห์ ที่ยังคงยึดหลักปรัชญาการเติบโตอย่างยั่งยืน รักษาความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สร้างการเติบโตด้วยพอร์ทการลงทุนที่มีความสมดุลและหลากหลาย เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทลงทุน และโฮลดิ้งระดับโลก ที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและนำเสนอคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอีกด้วย