‘FACE THE VOICE OF US’ สารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของเก้าอี้ไร้ชื่อสะท้อนเงาสังคม

‘FACE THE VOICE OF US’  สารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของเก้าอี้ไร้ชื่อสะท้อนเงาสังคม

FACE THE VOICE OF US สารคดีนี้เล่าเรื่องราวของผู้คน 5 คน ผ่านเก้าอี้ที่สะท้อนถึงชีวิตและเสียงที่ไม่เคยได้ยินจากสังคม และทำให้เห็นว่าทุกเสียงมีความหมายพร้อมตั้งคำถามว่าา ในสังคมที่กำลังเดินหน้า เรากำลังทิ้งใครไว้ข้างหลังหรือไม่

KEY

POINTS

  • สารคดีเล่าเรื่องราวของผู้คน 5 คน ผ่านเก้าอี้ที่สะท้อนเสียงและชีวิตของพวกเขา
  • นี่คือ 5 เก้าอี้ไร้ชื่อที่สะท้อนสังคม แตกต่าง และมีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง 
  • เก้าอี้แต่ละตัวต่างบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม ความอิสระ และชีวิตธรรมดา

เพราะทุกคนต่างล้วนมีเสียงในใจที่บอกเล่าให้ใครฟังไม่ได้

อาจเป็นต้นกำเนิดของบาดแผลวัยเด็ก ร่องรอยบาดแผลจากความรัก ความอัดอั้นจากการถูกกดทับในสังคมที่ไม่มีใครเข้าใจ และความหวังที่อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น

เช่นเดียวกับเจ้าของเก้าอี้ 5 ตัว 5 รูปแบบจากสารคดี FACE THE VOICE OF US โดย Eyedropperfill ที่กำลังจะฉายในงาน ‘FACE THE VOICE มองด้วยตา ฟังด้วยใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ ในวันที่ 23 - 24 พฤศจิกายน 2567 นี้ ต่างมีเสียงและเรื่องราวของเขาเอง

การปรากฎตัวต่อหน้ากล้องเพื่อบอกเล่าเสียงของเขาต้องใช้ความกล้า เพราะแง่มุมหนึ่งมันคือการสู้กับบาดแผลและความรู้สึกในใจของพวกเขา

ซึ่งไม่มีใครรู้ดีไปมากกว่าตัวพวกเขาเอง 

ต่อจากนี้ คือ 5 เสียงของคนในเมืองใหญ่ที่ไม่เพียงแต่เล่าถึงชีวิต บาดแผล และความเจ็บปวด แต่ยังเป็นการทำให้เราเห็นว่า พวกเขายืนหยัดและต่อสู้เพื่อชีวิตที่อิสระและชีวิตธรรมดา ๆ โดยไม่ต้องกังวลสายตาของใคร

ขณะเดียวกันบางทีเสียงของพวกเขาอาจทำให้เรารู้ว่า ทุกเสียงของทุกคนในประเทศนั้นมีความหมายและสำคัญ

ดูได้จาก 5 เจ้าของเรื่องเล่าของเก้าอี้ 5 รูปแบบนี้

เก้าอี้เบาะผ้าสีเขียว : เสียงจากบาดแผลของความรัก 

สำหรับคุณ ความรักคืออะไร?

การมอบความหวังดีโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน การรักแบบให้ทั้งใจ หรือการยอมจำนนเพื่อให้คนสองคนได้อยู่ด้วยกัน

เมื่อมีรัก ย่อมมีทุกข์ 

ใช่… ความรักของชไมพร เจ้าของเก้าอี้เบาะผ้าสีเขียวเป็นเช่นนั้น  เธอถูกความรักทำร้าย ถูกอำนาจของ ‘รัก’ กรีดดวงใจและทำลายความเชื่อมั่นของผู้หญิงที่ชื่อ ‘ชไมพร’ ให้เลือนหายไป 

จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะมีอนาคตที่สดใส ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม เพราะถูกอดีตคนรักทำร้าย

“เราไม่เคยคิดเลยว่าโลกนี้จะมีใครมาทำร้ายใครได้รุนแรงขนาดนี้ แต่พอตอนที่เราโดน เรารู้สึกเหมือนโลกเรา ชีวิตเรามันดับ มันมืดมนไปหมด ทำไมคนมาทำร้ายเราได้ขนาดนี้ เราไม่เคยทำร้ายใครเลยนะ”

‘FACE THE VOICE OF US’  สารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของเก้าอี้ไร้ชื่อสะท้อนเงาสังคม

เพราะในวันที่โลกถล่ม เธอไม่กล้าพูดกับใคร ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนกลัวด้วยเงื่อนไขทางร่างกาย

จนกระทั่งเธอเข้ามาเป็นแกนนำอาสาสมัครด้านการแก้ไขและลดความรุนแรงในชุมชนกับผู้คนที่เผชิญความรุนแรงในสังคมชายเป็นใหญ่ ทำให้งานนี้สามารถเรียกความรักในตัวเอง ความเชื่อ และความมั่นใจของชไมพรให้กลับมาอีกครั้ง

“มันเป็นงานที่ทำให้เราฟื้นฟูความมั่นใจในตัวเอง ความสามารถที่เราคิดว่าไม่มี ฟื้นฟูเราขึ้นมา แต่พอเราทำ แล้วลงไปช่วยเหลือเขา ความที่เราไม่กล้า มันก็ทำให้ความรู้สึกที่ช่วยเหลือ ทำให้ความมั่นใจในตัวเองมันเพิ่มมาในตัวเรา”

และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หัวใจที่แตกสลายกลับมาพองโตอีกครั้ง คือ กำลังใจจากครอบครัวที่คอยอยู่เคียงข้างและไม่เคยทิ้งไปไหน

ชไมพรเป็นแค่หนึ่งเสียงจากผู้หญิง ๆ หลายคนในสังคมที่มาบอกเล่าบาดแผลจากความรัก แต่นั่นไม่ใช่ทั้หมด

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม และเช่นเดียวกันมันทำให้เราเติบโต

แต่ท้ายที่สุด ไม่ว่าใครก็ควรได้รับสิทธิที่จะมีความรักดี ๆ และไม่ถูกใครทำร้ายจนหลงลืมตัวเองไป
 

เก้าอี้เหล็กสีชมพู : เสียงจากคนที่รักตัวเอง

หญิงสาวคลุมฮิญาบ ใส่แว่น ปากถูกแต่งแต้มด้วยลิปสีชมพู คือ เจ้าของเก้าอี้เหล็กสีชมพู

เธอคือ ‘อัส’ LGBTQ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในศาสนาอิสลามมาตั้งแต่เกิด และถูกพร่ำบอกให้เป็นผู้ชายตามเพศสภาพของเธอ

แต่ถึงจะเป็นเดินตามสังคม เป็นตามที่คนอื่นบอก แต่อัสก็รู้สึกว่าเธอไม่เคยถูกยอมรับจากคนอื่นเลย ทั้งเรื่องเพศที่อยากเป็น หรือศาสนาที่เธอนับถือ

“เหมือนคนไม่ได้ยอมรับในสิ่งที่ประกอบสร้างเป็นตัวเรา” อัสบอกไว้แบบนั้น

คำตัดสินจากคนอื่น และการกระทำที่ล่วงเกินร่างกายจากคนคนหนึ่งเพราะเพียงอารมณ์ชั่ววูบครั้งเดียว ทำให้เป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหาย

‘FACE THE VOICE OF US’  สารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของเก้าอี้ไร้ชื่อสะท้อนเงาสังคม

เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เราถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าคุณค่าของตัวเองคืออะไร คือ การต้องยอมจำนนไปเป็นเครื่องมือบำบัดความใคร่ทางเพศ ให้กับคนเพศหนึ่งที่ยึดมั่นถือมั่นมากกว่าเพศเราเหรอ”

วันนี้เธอเป็นนักพัฒนานโยบายเกี่ยวกับการศึกษา ความหลากหลายทางเพศ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และพิสูจน์ตัวเองว่าถึงจะแตกต่าง แต่ทั้งหมดก็เพื่อชีวิตที่ ‘ปกติ’ เหมือนที่สังคมบอก 

“อัสน่าจะต้องพิสูจน์ตัวเองทั้งชีวิต เพื่อคืนความปกติให้กับชีวิตอัสหรือคนที่มีลักษณะทับซ้อนคล้าย ๆ กับเรา”

อาจเป็นเพราะคำพูด ความเห็นของคนอื่น และสายตาจากคนนอก ทำให้วันนี้อัสตกตะกอนความคิด และเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็น

มากกว่านั้น วันนี้เธอคือคนที่มอบอิสระ โอบรับด้านบวกและด้านลบของตัวเอง เข้าใจ และอยู่กับมันให้ได้ 

รวมถึงคงไม่มีอยากใช้ชีวิตบนไม้บรรทัดและคำตัดสินของคนอื่น

“ณ วินาทีแรกที่เราเกิดมา เราเกิดมาโดยเนื้อตัวร่างกายเรา ไม่มีอะไรเลย และก็ไม่มีการตีตราตัดสิน แต่พอใช้ชีวิตไป มันเป็นคนเราด้วยกันเองหรือเปล่าที่มาบอกว่าเราต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ ถ้าเราไม่เป็นแบบนี้ เราไม่มีคุณค่าในชีวิตเท่ากับคนอื่น”

เพราะไม่ว่าอย่างไร การใช้ชีวิตคือการได้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในทุกวันอยู่แล้ว

 

พรม : เสียงศรัทธาที่อยากให้คนเข้าใจ

“ตอนอยู่พื้นที่สามจังหวัด เราก็เป็นคนหมู่มาก ไม่ได้รู้สึกถึงชายขอบขนาดนั้น แต่พออยู่กรุงเทพฯ จริง ๆ เราเป็นคนนอกนี่นา”  

ความรู้สึกของ ‘ฮีซัมร์’ ผู้ที่ใช้ ‘พรม’ เป็นตัวแทนในการเล่าเรื่อง เขาเติบโตในอำเภอสมัยโกลก จังหวัดนราธิวาส ก่อนจะเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ 

และเขาก็คิดว่าสิ่งที่จะช่วยลดอคติในสังคม คือ สื่อ 

เขาอยากจะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องมุสลิมผ่านหนังที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น ก่อนหน้านี้เขาอาจจะตัดสินตัวเองก่อนว่า ชาวมุสลิมเป็นตัวร้ายในเรื่องเล่าของใครสักคน 

‘FACE THE VOICE OF US’  สารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของเก้าอี้ไร้ชื่อสะท้อนเงาสังคม

นั่นอาจเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด มุสลิมเองก็มีเรื่องราวของตัวเอง มีเรื่องดี ๆ ให้เรายิ้มและหัวเราะได้เหมือนกัน

“สิ่งที่แย่ที่สุด ไม่ใช่โลกภายนอกมา judge เรา แต่เรา judge ตัวเองก่อนแล้ว”

ดังนั้นเป้าหมายของการทำหนังของ ‘ฮีซัมร์’ ในวันนี้ไม่ใช่การทำหนังเพื่อรายได้ แต่อยากให้หนังบอกเล่าวิถีมุสลิมและส่งเสียงของคนทำไปถึงคนดูได้

“หนังมันคือไมโครโฟนที่จะระบายความอัดอั้นออกมา เราก็เลยใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการพูด สิ่งที่อยากพูด

“สิ่งที่เป็นรางวัลไม่ใช่เทศกาลอย่างเดียว แต่เป็นการที่เสียงของเรามันไม่ถึงคนอื่นจริง ๆ”

เก้าอี้ไม้ : เสียงจากเวลาที่กำลังเดินถอยหลัง

ปี 2567  ‘สมใจ’ กำลังใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ในปีที่ 80 แล้ว

และเขาในวัย 80 ปีก็เลือกที่จะออกมาอยู่คนเดียว เพราะอยากให้ตัวเองเป็นภาระให้กับลูกหลาน

สัญญาณหนึ่งที่ทำให้เขารู้ว่าเขาแก่ คือ วันที่ร่างกายเริ่มประท้วง เริ่มเหนื่อย เริ่มปวดขา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความสุขกับวัยชรา คือ ความสุขที่มาจากใจ 

“ต้องทำใจให้ได้ แล้วความสุขจะเกิด”

ทำใจว่าร่างกายมันต้องเสื่อมลง ทำใจว่าสิ่งที่เราเคยมองว่ามีค่า แต่ในมุมมองของลูกหลานอาจไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ทำใจว่าวันหนึ่งเราก็คงแก่ลงจริง ๆ 

‘FACE THE VOICE OF US’  สารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของเก้าอี้ไร้ชื่อสะท้อนเงาสังคม

ทำใจในความหมายของสมใจ คือ การเตรียมใจ ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะมีความสุขกับตัวเองในทุกวัน แล้วถ้าชีวิตจะกำหนดให้เขาต้องนอนติดเตียงหรือเป็นเจ้าชายนิทรา เขาก็พร้อมที่จะบอกลูกหลานว่าให้เขาหลับไปตลอดกาลได้เลย

“วันที่ผมจากไป ผมจะสั่งเขาว่า ถ้าหากโรคภัยใกล้เจ็บ แล้วมันติดเตียง ผมอยากให้ถอดปลั๊กออก อยากให้เดินเรื่องต่อ”

เพราะถ้าวันหนึ่งที่ร่างกายเสื่อมลง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เราจะยอมรับได้ ทำใจได้ และอยู่กับสิ่งนี้ได้

“วันหนึ่งหัวเข่าเดินไม่ได้จริง ๆ หัวเข่ามันไม่เจ็บเท่าที่ควร เพราะใจรับทราบล่วงหน้าแล้ว”

สำหรับชายวัยชราคนนี้ เหตุผลที่เขาตื่นขึ้นมา คงไม่ใช่เพราะเงินทองหรือสิ่งของนอกกาย แต่เป็นการลืมตาเพื่อมองหาความสุขให้ตัวเองและเป็นพ่อของลูก ๆ ที่ไม่ได้เป็นภาระอันหนักอึ้งของคนรุ่นต่อไป

เท่านั้นก็คงเพียงพอแล้ว…

เก้าอี้ป้ายรถเมล์ : เสียงจากคนที่อยากมีบ้านในบั้นปลายชีวิต

ก่อนจะมาเป็น ‘นิกร’ วันนี้ เขาคือคนหาเช้ากินค่ำที่มีรายได้แบบวันต่อวัน แต่วิกฤตโควิด 19 กลับพรากบ้านของเขาไป

เขาจึงกลายเป็น ‘คนไร้บ้าน’ หน้าใหม่ ปัจจุบันเป็นคนปล่อยเช่าพระเครื่อง  เมื่อถามว่านิยามของคนไรบ้านคืออะไร เขาบอกว่า “ตอบไม่ได้เลยครับ”

วันนี้เขาเดินเข้าศูนย์พักพิง มีหลายเรื่องที่เขาต้องปรับตัว เพื่ออยู่ให้ได้ และฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีบ้านเป็นของตัวเอง

ในฐานะคนดูแลศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน ‘โด่ง’ บอกว่า ตั้งแต่เกิดมา คงไม่มีใครคิดว่าจะต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้ เพราะทุกคนมีโอกาสเป็นคนไร้บ้านได้หมด

เพราะคนไร้บ้าน คือ ภาพสะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจ สังคม และลึก ๆ มันคือความเปราะบางของโครงสร้างประเทศ

“พวกเขาต้องมีหลัก มีที่นอน กินอิ่ม นอนหลับ เขาจะได้รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะเอายังไงกับชีวิต”

‘FACE THE VOICE OF US’  สารคดีที่ว่าด้วยเรื่องของเก้าอี้ไร้ชื่อสะท้อนเงาสังคม

และสำหรับนิกร บ้านที่อยากอยู่ คือ บ้านแบบไหนก็ได้ ขอแค่ให้อยู่ได้ เพื่อชีวิตของตัวเอง

“บ้าน คือ ฐานที่อยู่ มั่นคง ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่เป็นภาระสังคม ก็มีอิสระหน่อย ก็วิ่งหางานได้ ชีวิตสบายขึ้น 

“จะเป็นบ้านที่ไหนก็ได้ ต่างจังหวัดก็ได้ บั้นปลายมีบ้าน ขอให้มีบ้านอยู่”

 

มองด้วยตา ฟังด้วยใจ 

เรื่องเล่าทั้ง 5 เรื่อง ผ่านเก้าอี้ 5 ตัว คือ ภาพสะท้อนสังคมที่มีอยู่ แต่เราอาจมองข้ามไป 

แต่พวกเขา คือ มนุษย์ที่ใช้ชีวิตในสังคมของเรา และเป็นมนุษย์ที่กำลังต่อสู้กับชีวิตตัวเองเหมือนกับอีกหลาย ๆ คน 

และบอกให้เรากลับมาดูว่า ในสังคมที่กำลังเดินหน้า เรากำลังทิ้งใครไว้ข้างหลังหรือไม่

นี่คือส่วนหนึ่งของงาน ‘Face the voice : มองด้วยตา ฟังด้วยใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ มารับฟังเรื่องราวเพื่อสร้างความเข้าใจทำลายอคติกับ ‘FACE THE VOICE มองด้วยตา ฟังด้วยใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ ได้ในวันที่ 23-24 พฤศจิกายน 2567เวลา 10.00 - 20.00 น. @ มิวเซียมสยาม (Museum Siam)

นอกจากนี้ในงานจะพบกับนิทรรศการที่ซ่อนความในใจ เวทีแชร์ความล้มเหลวและความสำเร็จของคนทำงานภาคสังคม ทั้งคนระดับผลักดันนโยบายและคนลงมือทำจนเห็นผล, ฟังดนตรีสบายๆ จากเครื่องสายและเต้นรำสนุกๆ กับกลุ่มชาติพันธุ์ ฯลฯ

สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมล่วงหน้าได้ที่นี่ https://forms.gle/jrq64K9Hs34jMZNt7 

หมายเหตุ : พิเศษสำหรับผู้ที่ลงทะเบียน 200 ท่านแรก รับฟรีมาส์กหน้าที่มีเฉพาะในงานเท่านั้น