ทราย-อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงหญิงผู้ออกมาย้ำกับสังคมว่า ‘การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน’

ทราย-อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงหญิงผู้ออกมาย้ำกับสังคมว่า ‘การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน’

ทราย-อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงหญิงผู้ออกมาย้ำกับสังคมว่า ‘การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน’

หากพูดถึงดารานักแสดงที่ออกมาพูดเรื่องการเมืองอย่าง คนแรก ๆ ที่เรานึกถึงคือ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงคุณภาพที่อยู่ในจอและในใจคนมานานกว่า 20 ปี  “สำหรับเราเป็นไปไม่ได้เลยที่คนจะพูดถึงเรื่องรอบ ๆ ตัวโดยไม่ได้มองสภาพสังคม โดยไม่ได้กังวลเรื่องของนโยบายในระยะสั้นและระยะยาว” ทรายกล่าวในบทสัมภาษณ์ของ a day bulletin เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา “เราก็เลยไม่เข้าใจคนที่บอกว่าอย่าไปด่าเรื่องโครงสร้าง อย่าไปพูดถึงประเด็นสังคม อย่าด่ารัฐบาล ต้องด่าดิ เราเป็นพลเมือง เราอยู่ในสังคมที่มันห่วย เอาแค่เวลาขึ้นรถไฟฟ้าเรายังรู้สึกว่ามันยากเกินไปเลย ไปนั่งประเทศอื่นไม่เห็นยากขนาดนี้ หรือสะพานลอยกว่าจะเดินไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง แถมลื่นเชียว ไหนจะสายไฟระโยงระยางอีก แล้วถ้าเป็นคนที่แก่กว่าเรา ถ้าเป็นคนตาบอด ถ้าเขาเดินไม่ไหว คือยังไง ต้องไม่ออกจากบ้านเหรอ” (จากบทสัมภาษณ์ของ a day bulletin, 17 กุมภาพันธ์ 2020) เมื่อมองเห็นว่า ถ้าการเมืองดี ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น ทรายจึงออกมาเคลื่อนไหวและแสดงจุดยืนทางการเมือง โดยเฉพาะช่วงปี 2020 ที่มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง เธอได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านทวิตเตอร์และสวมบทบาทแม่ยกแห่งชาติที่คอยสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเยาวชน   บทบาทแม่ยกของม็อบ  ถ้าใครติดตามทราย-อินทิรา จะรู้ว่าเธอเริ่มสนใจการเมืองมาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะช่วงที่เกิดรัฐประหารในปี 2549 เรื่อยมาจนถึงปี 2553 ที่มีการสลายการชุมนุมซึ่งลงเอยด้วยความรุนแรง  แม้ในช่วง 10 กว่าปีก่อน ผู้คนในสังคมจำนวนมากจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เธอคิด ผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วย และมีแรงสนับสนุนความคิดเห็นเพียงน้อยนิด แต่กลับไม่ได้ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงความคิดและจุดยืนเดิมที่มี  จนกระทั่งกลางปี 2563 ทรายกลายเป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ที่ออกมาสนับสนุนการชุมนุมและการเรียกร้องประชาธิปไตยของเหล่าเยาวชนคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ โดยทรายกล่าวถึงมุมมองการเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่า “ถามว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ทรายไปปลุกระดมน้อง ๆ เหรอ ก็เปล่า น้องเขาก็โตขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กมันโตขึ้นทุกวันอยู่แล้ว มันคือเรื่องของโลกอนาคต คือโลกมันไปข้างหน้าเสมอ และเราก็ไม่มีวันเดาได้ เพียงแต่ว่าวันนี้เด็ก ๆ หลายคนรู้สึกว่าเขามีสิทธิ์ที่จะกำหนดอนาคตของเขาเองแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกเสพสิ่งที่เขาต้องการแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกฟังคนที่เขาสนใจแล้ว และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ซื้อหรือไม่สนับสนุนคำตอบบางแบบไปแล้ว” (จากบทสัมภาษณ์ของ work point today, 31 สิงหาคม 2563) ไม่นานหลังจากนั้น ทรายก็มีบทบาทในฐานะ ‘แม่ยก’ ของม็อบ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนของหวาน อาหารเครื่องดื่ม ไปจนถึงห้องสุขา  “ไม่ว่าหนูจะไปชูสามนิ้ว จะไปผูกโบว์ หรือจะอะไร หนูหันมาก็ยังมีข้าวให้กิน ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวดูแลเอง คือคิดเริ่มจากแค่นั้นเองง่าย ๆ เงินก็เป็นเงินส่วนตัว ที่ได้จากทำมาหากินมา ขายเสื้อยืดมา และเงินที่ได้จากคดีฟ้องร้องไม่รู้จะเอาไปทำอะไรกับมันดี เลยเอาไปช่วยสนับสนุนน้อง ๆ”(จากบทสัมภาษณ์ของ work point today, 31 สิงหาคม 2563) แม้ว่าครั้งนี้จะเริ่มมีคนที่คิดและกล้าออกมาแสดงจุดยืนแบบทรายมากยิ่งขึ้น แต่เธอก็คิดว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นในพริบตาและต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ แต่อย่างน้อยการชุมนุมในปี 2020 ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่มีพลังและปลุกให้ผู้คนหันมาสนใจการเมืองมากกว่าเดิม 

“เวลาคนมันตื่นแล้ว มันผลักกลับไปไม่ได้”

ทรายกล่าวในบทสัมภาษณ์ของ work point today ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา   ราคาที่ต้องจ่ายเมื่อออกมาแสดงจุดยืนทางการเมือง ขณะที่ทรายกำลังขยายวงกว้างให้มีผู้คนสนใจการเมืองมากขึ้นและสนับสนุนม็อบอย่างต่อเนื่อง เธอเองก็มีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งการกดดัน การถูกแบนและหน้าที่การงานที่ลดน้อยถอยลงไปมากกว่าครึ่ง “ทุกคนมีจุดยืน มีราคาที่ต้องจ่ายกันทั้งนั้น ทรายว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ไม่ใช่แค่ดาราที่โดนแบน ชีวิตเขามีคุณค่า ทุกคนก็มีคุณค่า ชีวิตของทุกคนก็มีคุณค่า มีราคากันทั้งนั้น มันไม่ใครไม่เสียอะไรเลย ทุกคนอาจจะต้องเสียเพื่อนบ้าง งอนกับแม่บ้างหรืออะไรก็ตาม ซึ่งของแบบนี้มันตีเป็นมูลค่าตลอดเวลาไม่ได้หรอก” (จากบทสัมภาษณ์ของ work point today, 31 สิงหาคม 2563) แต่ถึงอย่างนั้น ทราย-อินทิราก็ยังคงยืนยันจุดยืนเดิมและเคารพคนที่เห็นต่างออกไป เพราะการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิของแต่ละคน ส่วนการแบนก็เป็นวิธีการแสดงออกอย่างหนึ่งของคนที่ไม่เห็นด้วย เธอเชื่อว่าอย่างน้อยการที่กล้าออกมาพูดอย่างเปิดเผยจะช่วยให้การออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย   ทราย-อินทิรา กับข้อหา ม.112  การออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงที่มีประเด็นใหม่อย่างการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ทรายมีหมายเรียกคดีอาญาด้วยเหตุที่ต้องหาว่า หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ตามมาตรา 112 แต่เธอได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ไทย เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมว่า "ไม่ (ท้อ) ทำต่ออย่างเดียวเลย จริง ๆ อาจจะโดนอีกใบด้วยซ้ำ ไม่ได้ทำให้หยุด…เราจะทำต่อจนกว่าจะโดนจับหรือโดนอายัดบัญชีที่ทำให้เราไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าโดนแล้วต้องหยุดเลย"  หลังจากที่ทรายไปรับบทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เธอกล่าวขอบคุณผู้ชุมนุมพร้อมบอกว่า  “ความรู้สึกที่โดนข้อหา ม.112 ก็รู้สึกกล้ามาก เก่งมาก กูโดนได้ไง (หัวเราะ) แต่ก็คิดว่าถ้าเราโดนได้ ทุกคนก็โดนได้นะคะ ก็ยินดีกับทุก ๆ คนด้วย ถ้ายังไม่เลิกทุกคนก็มีสิทธิ์โดน เดินผ่านไม่ก้ม ยิ้มมากไม่พอ ใส่เสื้อไม่สวย อะไรก็โดนได้หมดเลย ขอบคุณมากนะคะที่มา แต่อยากให้เวลาน้องๆ ทุกคนที่เป็นแกนนำไป อยากให้มีคนไปให้กำลังใจเยอะ ๆ แบบนี้ มันมีความหมายมาก ๆ เลย ขอบคุณค่ะ” (จากบทความผู้จัดการออนไลน์, 21 ธันวาคม 2563) หากการทำงานในวงการบันเทิง หรือการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) มีหน้าที่หนึ่งคือเป็นกระบอกเสียงให้กับสังคม เราเชื่อว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงปี 2020 นี้ ทราย-อินทิรา เจริญปุระได้ทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่ทั้งต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม   เรื่อง ธัญญารัตน์  โคตรวันทา   ที่มา

  ที่มาภาพ https://www.instagram.com/p/CHurlHkH69K/