17 ก.พ. 2566 | 11:02 น.
บทเรียนด่านตำรวจตรวจดาราไต้หวันเจอบุหรี่ไฟฟ้า สสส.และภาคีประชุมระดมความเห็นสื่อมวลชนถกแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า หมอประกิตเผยมีทั้งนิโคตินและโลหะหนักก่อโรคหลอดเลือดและหัวใจ บางยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับสูบบุหรี่ 50 มวน ผลวิจัยเผยเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงที่จะสูบบุหรี่มวนมากกว่าคนไม่สูบ 2-4 เท่า ด้านสคบ.แฉบุหรี่ไฟฟ้าทะลักเข้าตามแนวชายแดน ต้องจัดการผู้นำเข้ารายใหญ่ เคยบุกจับตลาดคลองถม 13 ครั้งจับเท่าไรก็ไม่หมด เตรียมใช้กฎหมายฟอกเงินจัดการกับผู้นำเข้า ด้านสื่อเรียกร้องเพิ่มข้อมูลด้านลบเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า และรัฐต้องจัดการผู้นำเข้าอย่างจริงจัง
มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ปเรื่อง “สางปม บุหรี่ไฟฟ้า... หลากปัญหา รอวันแก้” เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพ รัชดา โดยมี นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ
รายงานการวิจัยเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลกส่วนใหญ่สรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจเพราะละอองลอยมีสารโลหะหนักหลายชนิดเช่นเหล็ก ทองแดง นิกเกิล สังกะสี โครเมี่ยม และตะกั่วที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังพบว่าสารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของสมองเด็กและวัยรุ่น บุหรี่ไฟฟ้าหลายยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับสูบบุหรี่ 20 มวน และบางยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 50 มวน
ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่กล่าวถึงข้ออ้างที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในการช่วยเลิกบุหรี่มวนว่าไม่เป็นความจริง ในปี 2564 องค์การอนามัยโลกระบุว่าหลักฐานที่บอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่ยังสรุปไม่ได้ ส่วนองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกายืนยันเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาว่าไม่เคยรับรองให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่
เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียก็ระบุว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ สอดคล้องกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2564-2565 ไม่มีข้อสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ได้ มิหนำซ้ำยังพบว่า 60 % ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่กลับมาสูบบุหรี่ชนิดมวนใหม่ ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุชัดเจนว่าปัญหาใหญ่สุดของบุหรี่ไฟฟ้าคือทำให้เด็กที่ไม่เคยสูบบุหรี่เข้ามาสูบบุหรี่ไฟฟ้าและเด็กที่เริ่มต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่จะสูบบุหรี่ธรรมดามากกว่าเด็กที่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 2-4 เท่า รวมทั้งคนที่เลิกสูบบุหรี่ธรรมดาไปแล้วจะกลับมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน
ดังนั้นสื่อมวลชนต้องช่วยกันเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง หาแนวทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆที่เข้าถึงเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ควบคุมการโฆษณาในสื่อสมัยใหม่ทุกรูปแบบเพราะบริษัทบุหรี่ไฟฟ้ามักใช้สื่อออนไลน์และสนับสนุนเงินในการจัดกิจกรรมดึงดูดกลุ่มเยาวชน
นอกจากนี้ผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ายังมีความผิดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ กับให้ริบบุหรี่ไฟฟ้า
รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุและพาหนะใดๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าบุหรี่ไฟฟ้านั้นด้วย และยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ครอบครองหรือรับฝากไว้ จะมีความผิดฐาน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายเลิศศักดิ์กล่าวต่อว่า สคบ.ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ กรมควบคุมโรค ออกตรวจสอบการขายบุหรี่ไฟฟ้า พบว่าส่วนใหญ่ไปขายกันในโลกออนไลน์ซึ่งเด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ โดยสคบ.ได้ส่งข้อมูลไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ดำเนินการทางกฎหมายกว่า 300 website ที่สำคัญมีการลักลอบนำเข้ามาตามแนวชายแดนเป็นจำนวนมากในขณะนี้ จึงต้องบังคับใช้กฎหมายร่วมกันหลายหน่วยงานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ
ที่ผ่านมา สคบ.ได้จับกุมผู้ขายในกทม. ที่ตลาดคลองถมถึง13 ครั้ง จับเท่าไรก็ไม่หมด หัวใจสำคัญคือต้องจัดการกับผู้นำเข้ารายใหญ่ซึ่งมีไม่กี่สิบรายและผู้ขายที่รับมาจากรายใหญ่แล้วกระจายอยู่ทั่วประเทศ ต้องบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาดกับคน 2 กลุ่มนี้ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ประชาชน โดยล่าสุด สคบ. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่า จะมีการนำกฎหมายฟอกเงินมาบังคับใช้กับผู้ที่ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายด้วย เพื่อให้เกิดความเด็ดขาด
นอกจากนี้พรรคการเมือง ก็ยังพยายามจะผลักดันเรื่องนี้ให้ถูกกฎหมาย หากสื่อมวลชนและคนทำงานรณรงค์ ไม่ช่วยกันส่งเสียงเรื่องนี้ ฝ่ายการเมืองคงเดินหน้าเรื่องนี้แน่ และสุดท้ายนายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ ได้กล่าวปิดการประชุมโฟกัสกรุ๊ปว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการดำเนินงาน ตามโครงการ เสริมพลังสื่อมวลชนไทย สร้างเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อน สังคมสุขภาวะ ซึ่งได้รับการสนันสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ข้อมูลที่สื่อมวลชนได้แลกเปลี่ยนในวันนี้ นอกจากจะได้ความรู้ ความเข้าใจเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว ยังเห็นแนวทางในการดำเนินงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเพื่อสื่อสารข้อมูลให้สังคมได้รับทราบ และร่วมกันขับเคลื่อนในเชิงมาตรการและนโยบายต่อไป