20 เม.ย. 2567 | 17:49 น.
KEY
POINTS
อยู่ให้ถูกที่ถูกเวลาแล้วเราจะมีค่าเอง... อาจจะเป็นคำกล่าวที่เหมาะสม - ถูกต้องกับเจ้าหนู ‘โคล พาลเมอร์’ ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษของสโมสรเชลซี ที่ผลงานอันยอดเยี่ยมเป็นคำตอบในเชิงประจักษ์ต่อสายตาแฟนบอลทั่วโลก ประตูแต่ละประตู แอสซิสต์แต่ละครั้ง เป็นของขวัญจากฟากฟ้าที่ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำทักษะจนเกิดเป็นฝีเท้าอันล้ำค่า
ท่ามกลางฤดูกาลที่ผลงานของสโมสรเชลซีในยุคถ่ายเลือดใหม่ เปลี่ยนทีมทั้งกระบิ โดยมี ‘เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่’ ยืนสั่งการและวางแผน ปรับกลยุทธ์ ยังหาความคงเส้นคงวาไม่เจอ ทุกอย่างยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ราวกับคนเป็นไบโพลาร์ ฟอร์มโดยรวมของทีมที่แสดงและฉายออกมาต่อสายตาแฟนสิงห์บูลส์ทั่วโลกยังห่างไกลจากสิ่งที่หัวใจสีน้ำเงินของสาวกเชลซีคาดหวัง, ความหวังในการไปฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง หรือลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ถูกโยนทิ้งไปตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ทีมฟอร์มหลุดไปแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความหวังและประกายไฟฝันเล็ก ๆ ให้แฟน ๆ ได้หัวใจพองโตกันได้บ้างในฤดูกาลนี้ ก็คือการที่พวกเขามีดาวเด่นคนใหม่อย่าง ‘โคล พาลเมอร์’ แนวรุกที่เพิ่งซื้อเข้ามา และได้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารประตูแห่งเดอะบริดจ์ในซีซั่นนี้
ในช่วงเวลาที่กลุ่มลุ้นแชมป์ กลุ่มลุ้นพื้นที่ยุโรป ยังมีโปรแกรมถ่ายซีซั่นเหลืออีก 6 นัด แต่ ณ ตอนนี้ โคล พาลเมอร์ คือ นักเตะสัญชาติอังกฤษเพียงคนเดียวที่ยิงแตะหลัก 20 ประตูไปแล้ว เทียบเคียงเท่ากับดาวซัลโวอย่าง ‘เออร์ลิ่ง ฮาร์แลนด์’ ของแมนฯซิตี้ จ่าฝูง (ข้อมูล ณ 19 เม.ย. 2024)
หากจะบอกว่า เจ้าหนู พาลเมอร์ มีโอกาสสูงมากที่จะถูก ‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ นายใหญ่ทีมชาติอังกฤษ หนีบขึ้นเครื่องบินไปเล่นยูโร 2024 ที่เยอรมนีในช่วงกลางปีนี้ ก็คงจะไม่ผิดจากความเป็นจริงเท่าไรนัก เพราะนี่คือนักเตะเลือดผู้ดีเพียงคนเดียว ณ เวลานี้ ที่ยิงได้มากที่สุดในลีกถึง 20 ประตู, แล้วหากนั่งคิดคำนวณจำนวนประตูทุกรายการแล้ว เจ้าหนูที่มีจุดเด่นที่เท้าซ้ายสุดฉมังแม่นราวกับจับวาง ผลิตสกอร์ให้เชลซีไปแล้ว 23 ประตู
นี่คือฟอร์มอันร้อนแรงทะลุปรอท, โลกของเราที่ว่าร้อนแล้ว แต่ฟอร์มของโคล พาลเมอร์ ดูจะเร่าร้อนและเดือดมากกว่า สำหรับนักฟุตบอลอายุ 21 ปี และเพิ่งเป็นแกนหลักให้กับสโมสรเป็นปีแรกเท่านั้น กับจำนวนประตูที่เป็นกอบเป็นกำ ใช้นิ้วมือและนิ้วเท้ารวมกันนับยังไม่พอ, ดังนั้น หาก แกเร็ธ เซาธ์เกต เจ้านายใหญ่ของสิงโตคำราม จะปฏิเสธเขา แล้วเลือกจะปิดตาข้างเดียว ไม่พาเขาไปยูโร 2024 ฉบับอินทรีเหล็ก ก็ดูจะใจจืดใจดำเกินไปสักหน่อยแล้ว
หากมองกันที่ความสำเร็จส่วนตัวของโคล พาลเมอร์ ณ เข็มนาฬิกาเดินอยู่ตอนนี้ อาจจะพอสรุปใจความสั้น ๆ ได้ว่า เขาเลือกสิ่งที่ถูกต้องสำหรับตัวเอง และถูกต้องสำหรับอาชีพของเขาแล้ว ในการตัดสินใจย้ายออกมาจากร่มเงาของแมนฯซิตี้ ในช่วงปลายตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ที่ผ่านมา, เลือกออกจากถิ่นสโมสรที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อมาเติบโตและเป็นตัวของตัวเองในเมืองหลวงลอนดอน
ที่จริงแล้ว ชีวิตในวัยเด็กของโคล พาลเมอร์ นั้น เติบโตมาในย่านไวเทนชอว์ ในแถบชานเมืองแมนเชสเตอร์ เมืองเดียวกับ ‘ไทสัน ฟิวรี่’ นักมวยดังรุ่นเฮฟวี่เวทของ UK และ ‘มาร์คัส แรชฟอร์ด’ นักเตะหัวใจสำคัญในแนวรุกของแมนฯยูไนเต็ด นั่นหมายความว่าพาลเมอร์ เป็นแมนเชสเตอร์ ซิติเซ่น ขนานแท้ และเขาก็ได้ใช้เวลาอยู่กับอะคาเดมี่ของเรือใบสีฟ้ามาหลายปี
ในสมัยที่พาลเมอร์ยังวัยเยาว์ เจ้าหนูคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ครอบครัวพาลเมอร์ โดยเฉพาะคุณพ่อ ซึ่งเคยเป็นนักเตะระดับท้องถิ่น ลงเล่นในซันเดย์ ลีก มาก่อน เลือกที่จะจูงมือพาลูกชายคนนี้ไปเปิดโลกกิจกรรม เปิดมุมมองใหม่ ๆ จนเขาเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตัวเองผ่านกีฬาฟุตบอล คุณพ่อของเขาจึงหวังให้ลูกชายผู้กำลังซึมซับมนต์เพลงลูกหนัง ได้ต่อยอดเป็นอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องในอนาคตได้
พ่อของพาลเมอร์ ตระเวนออกจากบ้านแทบจะทุกสุดสัปดาห์ พาลูกชายไปเตะฟุตบอลเล่นภายในสวนสาธารณะ ตลอดจนพาลูกชายไปคัดตัวกับทีมน้อยใหญ่หลาย ๆ สโมสร
แม้จะเกิดอุปสรรคบ้างในอดีต จากการที่เคยถูกปฏิเสธในขณะร่วมทดสอบฝีเท้าสู่ทีมอคาเดมี่ของลิเวอร์พูล รวมถึงโบลตัน วันเดอร์เรอร์ส แต่ที่สุดแล้ว โลกฟุตบอลก็ขับเคลื่อนและพาให้โคล พาลเมอร์ มีชื่อติดทีมอคาเดมี่ของสองสโมสรดังแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ คือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่สุดท้ายเขาก็เลือก ‘เดอะซิตี้เซนต์’ แมนฯซิตี้ เขาอยู่กับสโมสรแห่งนี้มาหลายปี จนกระทั่งกลายเป็นแกนหลักในทุก ๆ ชุดของเยาวชน
ช่วงเวลาที่โคล พาลเมอร์อยู่กับแมนฯซิตี้มาตั้งแต่ชุดเยาวชน เขาค่อย ๆ ใช้ฝีเท้าและศักยภาพของตัวเองที่รีดเค้นออกมา ไต่เต้ามาจนเป็นนักเตะในทีมชุดใหญ่ จนกระทั่งเป็นหนึ่งในสมาชิกชุดทีมประวัติศาสตร์กวาด 3 แชมป์ หรือทริปเปิ้ลแชมป์ในฤดูกาลที่แล้ว (2022 - 2023) ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์เอฟเอ คัพ และถ้วยที่ใหญ่ที่สุดอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, แต่ดูเหมือนว่า ชีวิตของโคล พาลเมอร์ ที่แมนฯซิตี้ ทีมเก่า ไม่ได้ถูกแสง ไม่ได้ถูกยกย่อง และไม่ได้ถูกสปอร์ตไลต์จับจ้องสักเท่าไร ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ‘เป๊ป กวาร์ดิโอล่า’ กุนซือสแปนิชวางตัวให้เป็น ‘อะไหล่’ ของแนวรุกคนอื่น ๆ ทั้ง ฟิล โฟเด้น, แจ็ค กลีริช, แบร์นาโด ซิลวา, เควิน เดอ บรอยน์ นั่นหมายความว่า โอกาสของเขาในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ไม่ได้มีมากเท่าไร หากเขายังเลือกที่จะอยู่ต่อ
แต่ลองตัดภาพมาดู ณ เวลานี้ ลองดูสิ ใช้ความจริงและตัวเลขสถิติพิจารณาดู จะเห็นเต็ม 2 ตาว่าตอนนี้ เขาได้กลายเป็น ‘เดอะแบก’ แห่งเชลซีไปแล้ว... พาลเมอร์ ได้กลายเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว กับต้นสังกัดเชลซี
ฤดูกาลที่แล้ว ที่เขาอยู่กับแมนฯซิตี้ ลงเล่น 26 เกมทุกรายการ 1 ประตู 1 แอสซิสต์ แต่ในรายละเอียดแล้ว เขาลงเล่นเป็นตัวจริงแค่ 7 เกม และอยู่ในสนามแค่ 850 นาที พูดง่าย ๆ คือ ยังไม่เต็ม 10 เกมด้วยซ้ำ
แต่ตัดภาพมาที่ตอนนี้ เขาแบกความรับผิดชอบทั้งการยิงจุดโทษให้ทีม ซึ่งหน้าที่ตรงนี้ มันต้องได้มาจากความมั่นใจ และการยอมรับภายในทีมเชลซี ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ในช่วงปรี-ซีซั่น ช่วงปรับตัวปรับจูนกัน เขาไม่ได้อยู่กับทีมด้วยซ้ำ เพราะเขาย้ายมาทีหลัง แต่ความเป็นผู้นำ ความกล้าหาญของเขา และความไว้วางใจจากเพื่อน ๆ ในทีม รวมถึงการวางใจของโค้ชก็มีให้เขาเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ พาลเมอร์ คือความแตกต่างที่ลงตัวในแนวรุกเชลซีคนอื่น ๆ ที่มีอยู่ตอนนี้ เพราะรูปแบบการเล่นของผู้เล่นเกมรุก ในขณะที่เชลซีเต็มไปด้วยนักเตะที่รวดเร็ว แข็งแกร่ง มีความเป็นตัวริมเส้น เลี้ยงและไปกับลูกบอลได้ดี อาทิ มิไคโล มูดริค, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, โนนี่ มาดูเอเก้ หรือแม้กระทั่ง คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ที่บาดเจ็บไปนาน รวมถึง แจ็คสัน มาร์ติเนซ ที่ต้องเป็นตัวความหวังในการพังสกอร์ในช่วงต้นซีซั่น แต่พาลเมอร์ เป็นตัวรุกในแบบที่ไม่ได้ไปกับบอลด้วยทักษะการเลี้ยง แต่เขาถนัดเรื่องการไปตัวเปล่า การเคลื่อนที่เวลาที่ไม่มีบอล และการเล่นแบบเข้าใจเกม จังหวะจ่ายเป็นจ่าย จังหวะยิงเป็นยิง และเท้าซ้ายข้างถนัดของเขาก็ไว้ใจได้
แล้วยิ่งในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง การเป็นคนที่เพรสซิ่งวิ่งไล่บอลในแนวบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาเป็นนักเตะแนวรุกของเชลซีที่ไล่บอลมากที่สุดในทีม ซึ่งจุดนี้มันประกอบกันสิ่งที่บอกว่าเขาต้องการเป็นผู้นำของ เชลซี
มันคือความแตกต่างระหว่างช่วงเวลาที่เขาอยู่กับแมนฯซิตี้ กับ เชลซี
ในความเป็นจริงแล้ว ช่วงเวลาที่ต้องย้ายทีม ในช่วงต้นซีซั่น, โคล พาลเมอร์ ไม่ได้แตกหักอะไรกับเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ชนิดที่ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบหรอก, แต่ดูเหมือนเงื่อนไขต่าง ๆ มันเป็นตัวแปรที่ผลักหลังให้ โคล พาลเมอร์ มีทาง 2 แพร่งเท่านั้นให้เลือกเดิน, เขาจะต้องเลือกระหว่างการอยู่กับทีมเพื่อรอโอกาสต่อไป หรือไม่ก็ย้ายออกไปในรูปแบบของการขายขาดเพื่อทำกำไรให้กับสโมสรแมนฯซิตี้ ที่เขาเติบโตมา
และเมื่อถึงเวลาตัดสินใจ เขาเลือกที่จะย้ายออก เขาก็ทำมันอย่างกล้าหาญ ฉับไว รวดเร็ว
ในตลาดซื้อขายวันสุดท้ายของซัมเมอร์ 2023 โคล พาลเมอร์ ก็เลือกไปอยู่กับเชลซีด้วยราคา 42.5 ล้านปอนด์ ส่วนเหตุผลที่เขามาถิ่นลอนดอนตะวันตกนั้น เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเองว่าเขาไม่ใช่เด็กดาวรุ่งที่ต้องรอโอกาสที่ม้านั่งสำรองอีกต่อไป แต่เขาพร้อมที่จะเป็นหนุ่มที่กำลังจะเติบใหญ่ มีพลังที่รอวันระเบิด ความสด ความห้าว กับเท้าซ้ายที่อันตราย พร้อมจะอวดต่อสายตาคนทั้งโลก เขาคงอยากจะบอกกับคนดูฟุตบอลอังกฤษให้ได้รู้ว่าศักยภาพของเขาดีพอจะเป็นผู้เล่นที่ได้รับโอกาสลงสนามในทุกสัปดาห์ แมตช์ต่อแมตช์แล้ว ซึ่งประเด็นนี้เอง ‘พอช’ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ บอกว่าจะมอบให้กับเขาตามต้องการ และนั่นคือการตัดสินใจที่ฝืนหัวใจของเขาที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว
และการย้ายแบบฝืนใจครั้งนี้ของเขา คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้...
ในทางกลับกัน ฝั่งเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม ผู้เป็นกุนซือจอมอัจฉริยะแห่งเอติฮัด สเตเดี้ยม ก็ไม่ได้อยากปล่อยตัว พาลเมอร์ ออกมาให้เชลซีเท่าไร เพียงแต่ว่าเป๊ปก็ไม่สามารถตกปากรับคำ การันตี โอกาสการเล่นในแมนฯซิตี้ได้ ขณะที่ พอช นายใหม่ สามารถรับปากและทำได้ กับการให้โอกาสเจ้าหนูอันตรายคนนี้ได้เล่น ได้ลงโชว์ลีลาอย่างสม่ำเสมอ และพร้อมปล่อยให้ฝีเท้าของเขาเรียกร้องความสนใจจากสายตาของแฟนบอลเอง... ความงามที่แท้จริงย่อมไม่เรียกร้องความสนใจ แต่สุดท้าย ความงามของฝีเท้าเจ้าหนูโคล พาลเมอร์ มันจะทำหน้าที่ของมันเอง
และอีกส่วนหนึ่งก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะปล่อยนักเตะที่เติบโตมาจากทีมเยาวชนรายนี้ ลึก ๆ แล้ว มีคนเชื่อว่าเป๊ป กวาดิโอล่า รู้สึกผิดหวังที่เขาต้องปล่อยพาลเมอร์ไป รั้งเอาไว้ไม่ไหว
แต่เพราะมีกฎเหล็กข้อหนึ่งที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ตั้งขึ้นไว้ และจะไม่ยอมแหกกฎดังกล่าวให้นักเตะคนใดก็ตาม
กฏดังกล่าวที่ว่า นั่นก็คือความจริงที่แมนฯ ซิตี้ ยอดทีมแห่งยุค 2010s และ 2020s จะไม่ปล่อยนักเตะในระดับชุดใหญ่ของทีมออกไปยืมตัวเด็ดขาด เนื่องจากเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีมุมมองว่านักเตะที่ดีไม่พอจะเล่นเป็นแกนหลักให้กับทีมชนิดที่ทีมขาดไม่ได้ ก็ควรจะขายทิ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และในกรณีของพาลเมอร์ก็เช่นเดียวกัน แม้แข้งชาวอังกฤษจะมีฝีเท้า ‘ดีพอ’ กับทัพเรือใบสีฟ้า แต่ความต้องการที่จะลงสนามเพิ่มขึ้นย่อมทำให้พาลเมอร์ต้องโบกมือลาเอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นการถาวร เพราะ พาลเมอร์กับแมนฯซิตี้ มันไม่ ‘พอดี’ กัน
พาลเมอร์ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า ความจริงแล้ว เขาพร้อมที่จะออกไปยืมตัวเป็นเวลาหนึ่งปี แล้วกลับมาเล่นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเวลาที่พร้อมมากกว่านี้ แต่นายใหญ่กวาดิโอล่า ยืนยันคำขาดว่าพาลเมอร์มีทางเลือกแค่อยู่ที่นี่ต่อ หรือถูก ‘ขายขาด’ ออกไป ซึ่งเจ้าตัวเลือกตัดสินใจย้ายมาเชลซี เพื่อเดินตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
แต่มันก็เป็นการตัดสินใจ ที่มีกาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า ทุกอย่าง มันถูกต้องสำหรับเขา และเขาได้กลายเป็น ‘ร่างทอง’ ไปแล้ว
ตอนนี้ เขาทำสถิติไว้มากมาย และพร้อมที่จะเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเอง ด้วยเท้าทั้ง 2 ข้างของเขาอีกเรื่อย ๆ, เขาเป็นนักเตะเชลซีคนแรกที่ทำประตูเกมเหย้าในลีก ต่อหน้าแฟนบอลในสแตมฟอร์ด บริดจ์ 7 นัดติดต่อกัน และยังเป็นผู้เล่นเชลซีคนแรกที่ทำ 20 ประตูในฤดูกาลเดียวต่อจาก ‘ดิเอโก้ คอสต้า’ ซึ่งทำไว้ครั้งล่าสุดในในพรีเมียร์ลีก 2016 - 2017 อีกทั้งเขายังเป็นนักเตะเชลซีคนที่ 2 ที่ยิงแฮตทริกได้ในเกมเหย้าติดต่อกัน ต่อจาก ‘ดิดิเยร์ ดร็อกบา’ กองหน้าตำนานของเชลซีในยุค 2000s บวกด้วยการเป็นนักเตะเชลซีคนแรกที่ทำ 2 แฮตทริกในฤดูกาลเดียว (ยิงแมนฯยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน) นอกจากนี้ยังเป็นนักเตะเชลซีที่ทำแฮตทริกได้เร็วที่สุดตั้งแต่เริ่มแมตช์ และนักเตะคนแรกที่ทำ 4 ประตู (ในเกมเจอเอฟเวอร์ตัน วันที่ 15 เม.ย. 2024) ให้เชลซีนับตั้งแต่ ‘แฟรงค์ แลมพาร์ด’ เคยทำไว้ครั้งหลังสุดเมื่อปี 2010 หรือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว
แม้เชลซีในตอนนี้จะเป็นทีมที่มีผลงานที่น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับการลงทุนของ ‘ท็อดด์ โบห์ลี’ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่เข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ในการบริหารธุรกิจ และนั่นทำให้เชลซีเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนงานบริหารมาจากยุคของ ‘เสี่ยหมี’ โรมัน อบราโมวิช แต่สำหรับผลงานส่วนตัวของโคล พาลเมอร์ นั้น มันแตกต่างราวฟ้ากับเหว
จากวันที่ย้ายมาจาก แมนฯซิตี้ ในฐานะดาวรุ่งวัย 21 ปี ตอนนี้เขาเปลี่ยนสถานะตัวเองได้สำเร็จแล้ว พาลเมอร์ขยับตัวเองขึ้นมาเป็นตัวรุกที่อันตรายที่สุดในพรีเมียร์ลีกได้อย่างสง่างาม และแฟนบอลทั่วโลกกำลังให้การยอมรับเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
จากนี้ที่เหลือมันขึ้นอยู่กับเชลซีแล้วว่าจะสร้างทีมจากการมีพาลเมอร์เป็นศูนย์กลางเกมรุกได้ดีขนาดไหน เพราะตอนนี้พาลเมอร์พร้อมที่จะรักษามาตรฐานการเล่นของตัวเอง และไปต่อยังระดับถัดไปแล้ว และเขาก็ยังมีสัญญากับเชลซีถึงปี 2030
และนี่คือการเซ็นสัญญาแห่งปีของสโมสรเชลซีประจำฤดูกาลนี้เลย... และอาจเป็นการ เซ็นสัญญาแห่งฤดูกาลของ 20 ทีม ในพรีเมียร์ลีกในซีซั่นนี้เลยก็ได้ เพราะโคล พาลเมอร์ ได้บอกกับโลกให้รู้แล้วว่า เขาจะเป็นผู้มีแสงสว่างในตัวเองที่เชลซี
เรื่อง : วิเวียน
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง :
2023–24 Chelsea F.C. season / wikipedi
2023–24 Premier League / wikipedi
2023 UEFA European Under-21 Championship / wikipedia
Cole Palmer / wikipedia
COLE PALMER / coachesvoice
"พาลเมอร์" เผย "เป๊ป" ตัวแปรย้าย คิดไม่ผิดร่วมทีม "เชลซี"
How Chelsea and Cole Palmer are primed to heap more misery on Man City in their FA Cup semi-final showdown... and the dilemma that could make or break the Blues' season / dailymail
Cole Palmer is the versatile glue who makes Mauricio Pochettino’s Chelsea work / theathletic