‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ ว่าที่ท่านเซอร์ ผู้พาสิงโตกลับมาคำราม

‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ ว่าที่ท่านเซอร์ ผู้พาสิงโตกลับมาคำราม

‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ ผู้จัดการทีมหนุ่มที่พาทีมสิงโตกลับมาคำรามอีกครั้ง

KEY

POINTS

  • เส้นทางนักเตะที่แสนจะธรรมดาสู่กำลังหลักสิงโตคำรามกับรอยแผลที่ยากจะลืมเลือน
  • เริ่มต้นเส้นทางสายผู้จัดการทีม คุมทีมตกชั้นก่อนจะขึ้นกุมชะตาของสิงโตคำราม
  • แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้พาสิงโตกลับมาคำราม

หากจะพูดถึงทีมฟุตบอลที่ได้รับความนิยมและมีผู้ติดตามมากเป็นอันดับต้น ๆ หนึ่งในนั้นก็ต้องมีชื่อของ ‘ทีมชาติอังกฤษ’ รวมอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะด้วยความที่ประเทศอังกฤษได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นกำเนิดของกีฬาฟุตบอล  และก็มีระบบการจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพที่แข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามแทบไม่น่าเชื่อว่าทีมที่ได้รับฉายา ‘สิงโตคำราม’ ทีมนี้ จะประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ในการแข่งขันทัวนาเมนต์ระดับเมเจอร์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการคว้าแชมป์ ‘ฟุตบอลโลก’ ในปี 1966 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ

และนับตั้งแต่วันที่ทีมชาติอังกฤษได้ชูถ้วย ‘จูลส์ ริเมต์’ จวบจนถึงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเมื่อ ปี 2016 ทีมสิงโตคำรามทีมนี้ก็เหมือนต้องมนต์ที่ไม่มีวี่แววว่าจะประสบความสำเร็จใด ๆ เพิ่มขึ้นมาได้อีกเลย ในฟุตบอลโลกก็ไปได้ไกลที่สุดด้วยการคว้าอันดับที่ 4 ในปี 1990 เท่านั้น ส่วนในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปก็ไม่ต่างกัน เมื่อคว้าอันดับที่ 3 ใน ปี 1968 และผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในปี 1996 ส่วนในฟุตบอลยูโร 2016 นั้น ทีมชาติอังกฤษช็อคโลกด้วยการพ่ายแพ้ทีมชาติไอซ์แลนด์ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบเหลือเชื่อ และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมในเวลาต่อมา

ชื่อของ ‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ ปรากฎขึ้นในพื้นที่สื่อกีฬายักษ์ใหญ่ทุกสำนัก หลังจากที่เจ้าตัวได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นคุมทัพทีมสิงโตคำรามในวันที่ 27 กันยายน ปี 2016 โดยแรกเริ่มนั้นเป็นการคุมทีมชั่วคราว สำหรับเตรียมตัวเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ก่อนที่ในภายหลังเจ้าตัวจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมแบบเต็มตัว และก็พาทีมชาติอังกฤษสร้างผลงานเอาไว้มากมาย ซึ่งแม้ว่าเจ้าตัวจะได้รับเสียงวิจารณ์อย่างไร สุดท้ายแล้วทีมสิงโตของเขาก็มักจะคำรามได้เสมอ

เส้นทางของ ‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ เป็นอย่างไร การมาของเขาทำให้ทีมชาติอังกฤษสร้างผลงานได้ดีเพียงไร เรามาร่วมเดินทางไปด้วยกันครับ

เส้นทางนักเตะที่แสนจะธรรมดาสู่กำลังหลักสิงโตคำรามกับรอยแผลที่ยากจะลืมเลือน

ในช่วงชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของแกเร็ธ เซาธ์เกต นั้น เจ้าตัวคือนักเตะที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมากนัก โดยเขาเริ่มต้นจากการเป็นนักเตะระดับเยาวชนของสโมสรเซาแธมป์ตันก่อนที่จะย้ายมายังทีมเยาวชนของสโมสรคริสตัล พาเลซ ในช่วงปี 1988 ก่อนที่จะสามารถเป็นนักเตะอาชีพเต็มตัวกับทีม ‘ปราสาทเรือนแก้ว’ ในช่วงฤดูกาล 1991 - 1992 

แกเร็ธ เซาธ์เกต ร่วมหัวจมท้ายกับสโมสรคริสตัล พาเลซ เป็นระยะเวลากว่า 5 ฤดูกาล แม้ว่าทีมจะต้องตกชั้นจากศึกพรีเมียร์ ลีก ไปสู่ดิวิชั่น 1 เจ้าตัวก็ยังอยู่กับทีมเสมอ โดยผลงานเด่นก็คือการที่เซาธ์เกตมีส่วนสำคัญในการพาทีมปราสาทเรือนแก้ว คว้าแชมป์ฟุตบอลดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1993 - 1994 กลับขึ้นสู่ศึกพรีเมียร์ ลีก ได้สำเร็จ หลังต้องตกชั้นลงมาหนึ่งฤดูกาล โดยในฤดูกาลดังกล่าวเจ้าตัวยิงประตูในฟุตบอลลีกไปได้ถึง 9 ประตู

เซาธ์เกตค้าแข้งอยู่กับสโมสรคริสตัล พาเลซจนถึงปี 1995 หลังจากจบศึกพรีเมียร์ ลีก เจ้าตัวก็ได้ย้ายมาค้าแข้งกับสโมสรแอสตัน วิลล่า ด้วยค่าตัวราว 2.5 ล้านปอนด์ และก็สามารถทำผลงานได้โดดเด่นมีส่วนสำคัญในการพา ‘สิงห์ผงาด’ แอสตัน วิลล่าคว้าแชมป์ฟุตบอลโคคา - โคล่า ลีก คัพ 1996 ด้วยการเอาชนะลีดส์ ยูไนเต็ดไปได้ 3 - 0 ในรอบชิงชนะเลิศ ณ สนามเวมบลีย์ 

ผลงานของแกเร็ธ เซาธ์เกต กับสโมสรแอสตัน วิลล่า ทำให้เจ้าตัวได้มีโอกาสติดทีมชาติอังกฤษลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในปี 1996 ที่ประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพภายใต้การคุมทีมของ ‘เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์’ โดยในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว เซาธ์เกตคือตัวหลักของทีมสิงโตคำราม เกมเสมอกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ปราบทีมชาติสกอตแลนด์และทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ในรอบแรกเซาธ์เกตคือนักเตะที่ได้ลงสนามเต็ม 90 นาทีครบทุกนัด เช่นเดียวกับในเกมรอบควอเตอร์ไฟนอลกับทีมชาติสเปน เซาธ์เกตคือนักเตะตัวหลักที่ลงสนามครบ 120 นาที ก่อนที่สิงโตคำรามจะดวลลูกจุดโทษชนะกระทิงดุผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปพบกับทีมชาติเยอรมนี

การแข่งขันศึกยูโร 96 รอบรองชนะเลิศระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติเยอรมนี นั้น แกเร็ธ เซาธ์เกต ยังคงเป็นขุมกำลังสำคัญของทีม และเขาก็ไม่ทำให้แฟนฟุตบอลอังกฤษต้องผิดหวัง เมื่อตลอด 120 นาทีของการลงสนาม เจ้าตัวสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกอย่างกำลังไปได้ดีจนถึงช่วงเวลาของการดวลลูกโทษที่จุดโทษ โดย 5 คนแรกของทั้งสองทีมซัดลูกฟุตบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้อย่างไม่มีพลาดเป้า จนทำให้ต้องตัดสินกันแบบตัวต่อตัว โดยฝั่งของทีมอินทรีเหล็กนั้น ‘อันเดรียส โมลเลอร์’ ซัดขึ้นนำได้ก่อน

แกเร็ธ เซาธ์เกต รับหน้าที่ยิงลูกจุดโทษเพื่อตามตีเสมอทีมชาติเยอรมนี เซาธ์เกตวิ่งมายิงกดลูกฟุตบอลเรียดแบบสุดแรงไปทางขวาของ อันเดรียส ค็อปเค่ นายทวารทีมอินทรีเหล็กเพื่อหวังให้ลูกฟุตบอลตุงตาข่ายเพื่อต่อลมหายใจของทีมสิงโตคำรามอีกครั้ง แต่ลูกฟุตบอลดังกล่าวกลับถูกพุ่งปัดออกออกมาได้ มันคือวินาทีที่ฝันของแฟนฟุตบอลทีมชาติอังกฤษต้องสลายไปต่อหน้าต่อตา และไม่เพียงความฝันของแฟนฟุตบอลเท่านั้นแต่สภาพจิตใจของเซาธ์เกตก็เช่นกัน แม้ทุกคนจะเข้าใจได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมันเป็นส่วนหนึ่งของเกมฟุตบอล แต่แน่นอนก็มีอีกหลายคนที่ผลักให้เจ้าตัวต้องเป็นแพะรับบาปในครั้งนั้น

อย่างไรก็ตามชีวิตของทุกคนต้องดำเนินต่อไป และแกเร็ธ เซาธ์เกต ก็เช่นกัน เจ้าตัวค้าแข้งอยู่กับสโมสรแอสตัน วิลล่า จนถึงปี 2001 จากนั้นก็ย้ายไปอยู่กับสโมสรมิดเดิ้ลสโบรช์จนถึงปี 2006 โดยมีผลงานเด่นคือการเป็นกัปตันทีมพาเดอะ โบโร่ คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกคัพ 2004 ด้วยการปราบโบลตัน วันเดอเรอร์ส ไปในรอบชิงชนะเลิศ และนั่นก็คือเกียรติยศสุดท้ายในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ขณะที่เส้นทางของการเล่นทีมชาติอังกฤษนั้นเซาธ์เกตก็ยังคงทีมชาติในทัวนาเมนต์สำคัญอย่างฟุตบอลโลก 1998, ยูโร 2000 และฟุตบอลโลก 2002 แต่ก็เป็นได้แค่ตัวสำรองที่ได้มีโอกาสลงสนามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เริ่มต้นเส้นทางสายผู้จัดการทีม คุมทีมตกชั้นก่อนจะขึ้นกุมชะตาของสิงโตคำราม

หลังจากแกเร็ธ เซาธ์เกต ยุติเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เจ้าตัวก็ได้ผันตัวเองไปรับบทผู้จัดการทีมโดยการคุมสโมสรมิดเดิ้ลสโบรช์ระหว่างปี 2006 - 2009 โดยในช่วง 2 ฤดูกาลแรกเซาธ์เกตพาทีมเดอะ โบโร่ อยู่กลางตาราง จบอันดับที่ 12 และ 13 ในศึกพรีเมียร์ลีก ซึ่งแม้จะไม่อาจคว้าถ้วยรางวัลใด ๆ มาครองได้ แต่ผลงานสำหรับผู้จัดการทีมหน้าใหม่คนนี้ก็นับว่าไม่แย่นัก แต่แล้วในฤดูกาล 2008 - 2009 ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้แฟนฟุตบอลของสโมสรมิดเดิ้ลสโบรช์ต้องใจสลาย เมื่อทีมที่พวกเขารักต้องตกชั้นลงสู่ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพส์ ซึ่งก็คือฟุตบอลลีกรองของประเทศอังกฤษนั่นเอง โดยในฤดูกาลดังกล่าวเซาธ์เกตพาทีมเก็บชัยชนะในพรีเมียร์ลีกได้เพียง 7 นัดเท่านั้น จากการลงสนามกว่า 38 นัด และก็แน่นอนว่าเส้นทางของเซาธ์เกตก็ต้องจบลงไปด้วยหลังจากที่เจ้าตัวคุมทีมเดอะ โบโร่ลงสนามในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพส์ไปเพียงไม่กี่นัดเท่านั้น

แกเร็ธ เซาธ์เกต ว่างเว้นจากการคุมทีมไปถึง 4 ปีก่อนที่เจ้าตัวจะเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ต่อจาก ‘สจวร์ต เพียร์ซ’ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2013 โดยเซาธ์เกตคุมทีมลงสนามนัดแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 กันยายน 2013 ในเกมฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี รอบคัดเลือกและทีมเยาวชนสิงโตคำรามก็สามารถเอาชนะทีมชาติมอลโดว่าไปได้ 1  -0 ก่อนที่หลังจากนั้นทีมชาติอังกฤษชุดดังกล่าวจะเก็บชัยชนะได้ถึง 9 นัด และเสมออีก 1 นัด ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายแบบไม่พ่ายแพ้ทีมใด

อย่างไรก็ตาม แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็ถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการคุมทีมอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวพาทีมชาติอังกฤษชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ตกรอบแรกในการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ในปี 2015 โดยลงสนาม 3 นัดทำเพียงการเอาชนะทีมชาติสวีเดนได้เพียงนัดเดียวเท่านั้น ส่วนนัดที่เหลือทีมสิงโตคำรามรุ่นเล็กต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติโปรตุเกสและอิตาลีไปแบบน่าเจ็บใจ

แต่ก็เหมือนโชคชะตาได้กำหนดเส้นทางเดินเอาไว้แล้วเมื่อ ‘แซม อัลลาร์ไดซ์’ ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ หลังจากคุมทีมไปเพียงนัดเดียวเท่านั้น ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก เนื่องมาจากว่าตัวเขามีข่าวไม่สู้ดีที่เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงกฎของสมาคมฟุตบอลอังกฤษเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว จนทำให้ต้องประกาศลาออกไปในที่สุด และก็เป็นแกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ชั่วคราวในวันที่ 27 กันยายน ปี 2016

‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ ผู้พาสิงโตกลับมาคำราม

หลังจากแกเร็ธ เซาธ์เกต เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ เจ้าตัวก็สามารถพาทีมชาติอังกฤษคว้าชัยชนะเหนือทีมชาติมอลตากับทีมชาติสกอตแลนด์ รวมทั้งเสมอทีมชาติสโลวีเนีย ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก และเสมอกับทีมชาติสเปนในฟุตบอลนัดกระชับมิตร ผลงานดังกล่าวทำให้สมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือเอฟเอตัดสินใจมอบสัญระยะยาวเป็นเวลา 4 ปีให้กับเจ้าตัว

แกเร็ธ เซาธ์เกต ตอบแทนความไว้วางใจของสมาคมฟุตบอลอังกฤษด้วยการพาทีมสิงโตคำรามผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2018 ในฐานะแชมป์กลุ่มโดยเซาธ์เกตพาทีมชาติอังกฤษชนะ 7 นัด เสมอ 2 นัด ไม่พ่ายแพ้ทีมใด จากนั้นเจ้าตัวก็ทำให้โลกต้องมองทีมชาติอังกฤษในยุคของเขาเสียใหม่เมื่อสามารถคว้าอันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลก 2018 ณ ประเทศรัสเซียมาครองได้ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้แต่ผลงานดังกล่าวถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลเมเจอร์ทัวนาเมนต์นับตั้งแต่ฟุตบอลยูโร 1996

เซาธ์เกตยังคงสร้างผลงานกับทีมชาติอังกฤษได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเจ้าตัวพาทีมสิงโตคำรามผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้เป็นครั้งแรกในปี 2021 (ยูโร 2020) ก่อนจะพ่ายแพ้ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษต่อทีมชาติอิตาลีได้รองแชมป์ไปครองอย่างน่าเสียดาย จากนั้นในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมาทีมชาติอังกฤษก็ผ่านเข้าไปถึงรอบควอเตอร์ไฟนอลหรือรอบ 8 ทีม ก่อนจะไปพ่ายแพ้ต่อทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งหากมองกันในเรื่องของผลงานแล้ว แกเร็ธ เซาธ์เกต คือผู้จัดการทีมชาติอังกฤษที่ทำผลงานในเมเจอร์ทัวร์นาเมนต์ได้ดีทั้งในรอบคัดเลือกและรอบสุดท้าย

ผลงานของผู้จัดการทีมหนุ่มรายนี้ถูกผู้ถึงอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวพาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์กลุ่มในฟุตบอลยูโร 2024 รอบคัดเลือกด้วยชัยชนะ 6 นัด เสมอ 2 นัด และไม่พ่ายแพ้ทีมใด อีกทั้งพวกเขายังสามารถเอาชนะทีมชาติอิตาลีแชมป์ยูโร 2020 ไปได้ทั้งนัดเหย้าและเยือน และการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ครั้งนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็พาทีมชาติอังกฤษสร้างผลงานกระฉ่อนโลกลูกหนังอีกครั้ง เมื่อทีมสิงโตคำรามได้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับทีมชาติสเปน 

แต่ไม่ว่าผลงานของ แกเร็ธ เซาธ์เกต กับทีมชาติอังกฤษจะดีเพียงใด เจ้าตัวก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งนักวิเคราะห์และแฟนฟุตบอลอยู่เสมอ เกมการแข่งขันที่แสนอึดอัดและไม่ได้เร้าใจอย่างที่ทุกคนคาดหวัง ทั้งที่ตัวผู้เล่นนั้นก็ถือว่าเป็นโกลเด้นท์เจเนอร์เรชั่นของวงการฟุตบอลอังกฤษ ภาพที่แฟนฟุตบอลหลับอยู่ข้างสนาม หรือการเอาชนะจุดโทษทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ในรอบควอเตอร์ไฟนอลแบบเกือบหลับแต่กลับมาได้ หรือแม้แต่การได้ ‘โอลลี่ วัตกิ้นส์’ ช่วยยิงประตูชัยเหนือทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในนาทีสุดท้ายของรอบรองชนะเลิศ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องแซวหยิกแกมหยอกแบบน่าเจ็บแสบ

หรือถ้าหากจะพิจารณาลงลึกไปในแต่ละรายการที่ผ่านมานั้นก็ต้องยอมรับว่าทีมชาติอังกฤษมักจะอยู่ในสายการแข่งขันหรือเส้นทางของทัวนาเมนต์ที่ไม่ได้แข็งมากนัก ผลงานที่เจ้าตัวทำได้เมื่อเทียบกับทรัพยากรที่มีอยู่ในมือก็ถือว่าเป็นอะไรที่สมน้ำสมเนื้อและถ้าจะว่ากันตามจริง นักวิจารณ์หลายคนก็มองว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต ควรจะทำผลงานได้ดีกว่านี้ด้วยซ้ำ 

อย่างไรก็ตามเรื่องของกีฬาก็ต้องวัดกันที่ผลงานในสนามแข่งขัน และก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลงานของแกเร็ธ เซาธ์เกต นั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้จัดการทีมคนไหนในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษเลย ทั้งยังทำได้ดีกว่าอีกหลายคนด้วยซ้ำ การที่ทีมสิงโตคำรามสามารถผ่านเข้ารอบควอเตอร์ไฟนอลได้เป็นอย่างน้อยในรายการเมเจอร์ทัวนาเมนต์หรือการคว้ารองแชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 ได้ ก็สมควรที่เจ้าตัวจะได้รับการยอมรับและยกย่อง ซึ่งด้วยเหตุนี้เองทำให้มีข่าวว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต คือว่าที่ตำแหน่งท่านเซอร์คนต่อไปของประเทศอังกฤษ

แล้วคุณล่ะ รู้สึกอย่างไรกับ ‘แกเร็ธ เซาธ์เกต’ ผู้จัดการทีมหนุ่มที่พาทีมสิงโตกลับมาคำรามอีกครั้ง

 

เรื่อง : ธิษณา ธนคลัง (The Sportory)