สเตฟาโน กาบบานา ยังพา Dolce & Gabbana ไปไม่ถึงหัวใจคนจีน

สเตฟาโน กาบบานา ยังพา Dolce & Gabbana ไปไม่ถึงหัวใจคนจีน

สเตฟาโน กาบบานา ยังพา Dolce & Gabbana ไปไม่ถึงหัวใจคนจีน

แวดวงรันเวย์ลุกเป็นไฟส่งท้ายปี 2018 เมื่อ Dolce & Gabbana แบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์สัญชาติอิตาลี ประกาศยกเลิกการจัดแฟชั่นโชว์ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่กรุงเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน อย่างกะทันหัน สาเหตุมาจาก Dolce & Gabbana เผยแพร่คลิปวิดีโอโปรโมทแฟชั่นโชว์ที่เป็นภาพนางแบบชาวจีนใช้ตะเกียบรับประทานอาหารอิตาเลียนอย่างพิซซาและพาสตา ทำให้คนจีนจำนวนไม่น้อยมองว่านี่คือการสื่อนัยถึงการเหยียดเชื้อชาติ ไม่รู้วัฒนธรรมอื่น แถมยังปรากฏข้อความของ สเตฟาโน กาบบานา (Stefano Gabbana) ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ โต้ตอบคนที่เข้ามาแสดงความเห็นเรื่องนี้ในอินสตาแกรมอย่างเผ็ดร้อน สร้างดรามาเรื่องใหม่ หลังจากเขาเคยสร้างดรามาในโลกออนไลน์มาแล้วหลายครั้ง เรื่องบานปลายยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง เพราะแม้ Dolce & Gabbana จะถอดคลิปนี้ออกจากสื่อสังคมออนไลน์ของจีน ตามด้วยการที่แบรนด์และกาบบานาออกมากล่าวว่าอินสตาแกรมถูกแฮ็ก รวมถึงแถลงการณ์แสดงความเสียใจ พร้อมข้อความที่บอกว่า Dolce & Gabbana เคารพประเทศจีนและคนจีน แต่ปฏิกิริยาของคนจีนต่อเรื่องนี้ก็ดูจะยังไม่คลี่คลายง่ายๆ ยังไม่นับนักแสดง นักร้อง และเซเลบริตี้ชื่อดังสายเลือดจีนอีกหลายรายที่ออกมาแสดงความผิดหวังและไม่พอใจต่อ Dolce & Gabbana เช่น จาง จื่ออี๋ (หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า จาง ซิยี่) หลี่ ปิงปิง เป็นต้น ถ้าถามว่าทำไมตลาดจีนถึงสำคัญกับแบรนด์ไฮเอนด์นักหนา คำตอบคือเพราะจีนมีจำนวนเศรษฐีเงินล้านและพันล้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จีนจึงเป็นปลายทางของแบรนด์หรูทั้งหลายนั่นเอง รายงานของ แมคคินซี่ (McKinsey) บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก เผยว่า คาดว่าจำนวนชาวจีนที่เป็นเศรษฐีเงินล้าน (Millionaires) จะแซงหน้าประเทศอื่นภายในปีนี้ (2018) และภายในปี 2021 คาดว่าจีนจะมีจำนวนครัวเรือนที่มั่งคั่งมากสุดในโลก ในปี 2016 แมคคินซี่ประมาณการว่ามี 7,600,000 ครัวเรือนในจีนที่ซื้อสินค้าลักชัวรี แต่ละครัวเรือนใช้จ่ายกับสินค้าลักชัวรีเฉลี่ยครัวเรือนละ 71,000 หยวน (ราว 338,000 บาท) ต่อปี ซึ่งมากเป็นสองเท่าของครัวเรือนชาวอิตาเลียนและชาวฝรั่งเศส และโดยรวมแล้ว ผู้บริโภคสินค้าลักชัวรีในจีนใช้จ่ายไปมากกว่า 5 แสนล้านหยวนต่อปี หรือราว 7,400 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น แม้ Dolce & Gabbana จะบุกตลาดจีนและเปิดบูทีคไปในหลายเมืองใหญ่แล้ว เช่น ปักกิ่ง เฉิงตู กว่างโจว ฯลฯ แต่สถานการณ์ล่าสุด ย่อมไม่ส่งผลดีในการที่กาบบานาจะพา Dolce & Gabbana ครองใจตลาดลักชัวรีเมืองจีนเป็นแน่!   ย้อนประวัติกาบบานา กาบบานาเกิดเมื่อปี 1962 ที่มิลาน ประเทศอิตาลี ในครอบครัวที่พ่อทำงานในโรงพิมพ์ ส่วนแม่ทำงานซักรีด หลังจบการศึกษาจาก Istituto Superiore per le Industrie Artistiche กาบบานาก็วางเส้นทางชีวิตด้วยการทำงานสายโฆษณา แต่เมื่อชิมลางได้สักพัก ก็คิดว่าไม่น่าจะเหมาะกับตัวเอง จึงหันเหเข้าสู่วงการแฟชั่น ปี 1980 กาบบานาพบกับ โดเมนิโก โดลเช (Domenico Dolce) ซึ่งเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ ทั้งคู่จึงเริ่มทำงานด้วยกัน จากนั้นในปี 1982 โดลเชและกาบบานาก็ตัดสินใจออกมาทำธุรกิจเอง โดยก่อตั้งสตูดิโอขึ้นในมิลานด้วยเงินลงทุนราว 1,000 เหรียญ ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 โดลเชและกาบบานาทำงานเป็นนักออกแบบฟรีแลนซ์ให้แบรนด์ต่างๆ กระทั่งปี 1985 พวกเขาก็สร้างชื่อจากการเป็นดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่มีผลงานการออกแบบเป็นที่น่าจับตา  ปีเดียวกันนั้นเอง ทั้งคู่ก็ก่อตั้ง Dolce & Gabbana S.p.A และเปิดตัวคอลเล็กชันแรกซึ่งเป็นเสื้อผ้าสตรีในปี 1986 จากนั้นปีถัดมาก็เปิดตัวร้าน Dolce & Gabbana แห่งแรกที่มิลาน พร้อมกับความสำเร็จที่ขยายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ไปสู่คอลเล็กชันเสื้อผ้าบุรุษ ชุดชั้นใน น้ำหอม ฯลฯ ควบคู่กับการเปิดร้านในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ ส่วนเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ก็เปิดที่ ดูไบ มอลล์ ในดูไบ และจัดแฟชั่นโชว์ครั้งแรกของแบรนด์ในภูมิภาคตะวันออกกลางไปเมื่อเดือนตุลาคมปีเดียวกัน   เอกลักษณ์เสื้อผ้าชั้นสูง Dolce & Gabbana นำเสนอเสื้อผ้าชั้นสูงที่ตัดเย็บอย่างประณีต รุ่มรวยความหรูหรา เย้ายวน เน้นส่วนโค้งส่วนเว้า โดยมีนักร้องนักแสดงชื่อดังระดับโลกหลายรายเป็นแฟนเหนียวแน่น มาดอนนา (Madonna) ให้ Dolce & Gabbana ออกแบบเครื่องแต่งกาย 1,500 ชุดสำหรับเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ต “The Girlie Show” ปี 1993 รวมทั้งออกแบบเครื่องแต่งกายของมาดอนนาในอัลบัม “Music” แบรนด์ยังออกแบบเครื่องแต่งกายให้ ไคลี มิโน้ก (Kylie Minogue) ในทัวร์คอนเสิร์ต “Aphrodite: Les Folies” ปี 2011 ส่วน สโมสรฟุตบอล เอ.ซี.มิลาน ก็ให้ Dolce & Gabbana ออกแบบยูนิฟอร์มให้ในปี 2011 นอกจากนี้ เมลาเนีย ทรัมป์ (Melania Trump) สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ก็มักปรากฏตัวในเสื้อผ้าของ Dolce & Gabbana หลายครั้ง โดลเชและกาบบานาเป็นคู่รักที่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบมาอย่างยาวนาน กระทั่งปี 2004 ทั้งคู่ก็ประกาศยุติความสัมพันธ์ แต่ก็แยกแยะความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเรื่องงาน เพราะทั้งสองยังคงร่วมกันดูแลและกำหนดทิศทางของแบรนด์นับจากนั้นมาถึงปัจจุบัน “แม้กระทั่งวันนี้ อะไรที่เป็นของผมก็เป็นของเขา อะไรที่เป็นของเขาก็เป็นของผม...พาร์ทเนอร์คนใหม่ของพวกเราก็รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้แหละ ไม่ว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม” โดลเชกล่าว แล้วเสริมว่า “หากความรักเกิดขึ้นเมื่อคุณยังเด็ก สำหรับผมมันคือประสบการณ์ครั้งแรก และสำหรับเขามันคือเรื่องราวความรักครั้งแรก-มันเป็นเรื่องที่บริสุทธิ์” ความมีชื่อเสียงของแบรนด์ Dolce & Gabbana นำมาซึ่งความมั่งคั่งของสองผู้ก่อตั้ง นิตยสาร Forbes จัดให้โดลเชและกาบบานาติดอันดับที่ 1,394 ในลิสต์มหาเศรษฐีโลก ปี 2018 (Billionaires 2018) ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายนปีนี้ ที่ราว 1.5 พันล้านเหรียญ หรือราว 4.6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ชื่อเสียงของแบรนด์ยังนำมาซึ่งดีลธุรกิจด้วยเช่นกัน มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายสนใจเจรจาขอซื้อกิจการ Dolce & Gabbana ทว่าโดลเชและกาบบานาไม่สนใจ และยืนกรานที่จะปฏิเสธข้อเสนอทั้งหลายที่เข้ามาเป็นระย “คุณจะมีเงินทั้งหมดบนโลกนี้ก็ได้ แต่คุณจะทำอย่างไรถ้าไม่มีอิสระ? คุณคงไม่อยู่ในโลงศพพร้อมกับเงินที่อัดแน่นในนั้นหรอกนะ” โดลเชบอก ส่วนกาบบานาก็เห็นพ้องไปในทางเดียวกับโดลเช เขาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Corriere della Sera ของอิตาลีไว้ว่า “ถ้าเราตายเมื่อไหร่ก็คือตาย ผมไม่ต้องการให้นักออกแบบชาวญี่ปุ่นมาเริ่มต้นออกแบบให้ Dolce & Gabbana หรอก”   วิวาทะอันเผ็ดร้อน เครื่องแต่งกายของ Dolce & Gabbana สร้างสีสันให้โลกแฟชั่นได้มากเท่าไร คำพูดหรือการแสดงออกของกาบบานาก็สร้างแรงกระเพื่อมทางความรู้สึกให้คนอื่นได้ไม่น้อยไปกว่ากัน ปีที่แล้ว กาบบานาโพสต์ภาพสนีกเกอร์ของแบรนด์ Dolce & Gabbana คู่ละ 973 เหรียญ และเขียนประโยค “I’M THIN & GORGEOUS” (ถ้าพูดแบบหยอดอารมณ์ลงไปคงได้ประมาณว่า “ชั้นผอมและเลิศมาก!”) ไว้บนรองเท้า ทำให้เกิดความไม่พอใจ และมีความเห็นว่ากาบบานา “ไม่รับผิดชอบ” เพราะข้อความนั้นไม่สะท้อนการยอมรับความหลากหลายของขนาดรูปร่าง แต่กาบบานาก็โต้ตอบเหมือนการราดน้ำมันลงในกองไฟว่า “ที่รัก เธออยากจะอ้วนและเต็มไปด้วยคอเลสเตอรอลอย่างนั้นน่ะหรือ???” คิดว่าเธอน่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ” ส่วนปีนี้ กาบบานาก็ยังมีประเด็นต่อเนื่อง เมื่ออินสตาแกรม @thecatwalkitalia เลือกภาพ เซเลนา โกเมซ (Selena Gomez) นักแสดงและนักร้องขวัญใจวัยรุ่นที่สวมใส่เดรสสีแดงมา 5 ภาพ แล้วให้คนดูเลือกว่าชอบภาพไหนมากที่สุด ปรากฏว่ากาบบานาเข้าไปแสดงความเห็นเป็นภาษาอิตาเลียนแปลได้ว่า “เธอน่าเกลียดจริงๆ เลย!!!” สร้างความโกรธเคืองให้แฟนคลับของโกเมซอย่างมาก ส่วนอินสตาแกรม @bazaaruk ของนิตยสาร Harper’s Bazaar ประเทศอังกฤษ ก็ลงภาพแฟชั่นบล็อกเกอร์สาวชาวอิตาเลียนสวมใส่ชุดแต่งงานของแบรนด์ Dior ในวันสำคัญของเธอ แต่กาบบานาก็เข้าไปแสดงความเห็นว่า “Cheap” หรือแปลได้ว่า “ดูไม่แพงเลย” ทำให้มีผู้โต้ตอบกาบบานาว่า “สิ่งเดียวที่ดูไม่แพงในนี้ก็คือทัศนคติน่าขยะแขยงของคุณนั่นแหละ” ต้องดูกันต่อไปว่าแบรนด์ Dolce & Gabbana และกาบบานา จะแก้วิกฤตที่บานปลายในประเทศจีนนี้อย่างไร ถ้าไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้ทัน พวกเขาก็อาจสูญเสียที่ทางในตลาดจีนไปได้ง่ายๆ เพราะยังมีแบรนด์ไฮเอนด์แบรนด์อื่นๆ ที่พร้อมจะเป็นตัวเลือกของตลาดจีนอีกมากมายนอกเหนือจาก Dolce & Gabbana   ที่มา https://www.mckinsey.com/business-functions/marketing-and-sales/our-insights/chinese-luxury-consumers-more-global-more-demanding-still-spending https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-46288884 http://www.catwalkyourself.com/fashion-biographies/dolce-gabbana/ https://www.referenceforbusiness.com/history2/58/Dolce-Gabbana-SpA.html https://prabook.com/web/stefano.gabbana/16090 https://www.forbes.com/profile/stefano-gabbana/#5b0a939857da https://www.washingtonpost.com/lifestyle/style/dolce-and-gabbana-are-rich-extravagant-and-politically-incorrect-you-got-a-problem-with-that/2018/05/22/63caaa8c-41b0-11e8-ad8f-27a8c409298b_story.html?utm_term=.838bc45e2e92 https://www.independent.co.uk/life-style/fashion/stefano-gabbana-chiara-ferragni-wedding-gown-instagram-cheap-dior-a8522926.html https://www.brit.co/dolce-gabbana-thin-gorgeous-sneaker-controversy/