20 ก.ย. 2563 | 21:22 น.
“คนเรามักหวาดกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ”และเพราะประโยคที่โจนาธาน เค้นต์ บิดาชาวโลกของเขาบอกว่า “คนเรามักหวาดกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ” ทำให้คลาร์ก ตัดสินใจปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่ไว้วางใจจากผู้อื่น การเปิดเผยปมความรู้สึกนี้ ช่วยทำให้คนดูรู้สึกว่าซูเปอร์แมนมีแง่มุมของคนธรรมดาที่มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก และจับต้องได้ บทบาทของซูเปอร์แมนในภาคนี้ทำให้เขากลายเป็น “มนุษย์” ที่เต็มไปด้วยความสับสนและยากจะเชื่อใจใคร ซึ่งนั่นถือเป็นมุมมองใหม่ ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสทำความรู้จักกับซูเปอร์แมน แต่ประเด็นที่น่าสนใจต่อจากนั้น คือ เมื่อมนุษย์ต่างดาวที่อ้างตัวว่าเป็นฮีโร่ มีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้น หากวันใดวันหนึ่ง เขาเปลี่ยนไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโลก ชาวโลกอย่างเราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา ประเด็นนี้อาจเป็นที่มาของภาพยนตร์ที่เป็นดั่งประตูสู่จักรวาลฮีโร่ของค่ายดีซี 'Batman v Superman: Dawn of Justice' (2016) ซึ่งเป็นเรื่องราวความขัดแย้ง และการปะทะกันของ ซูเปอร์แมน ตัวแทนของพลังอำนาจและชาติกำเนิดแสนพิเศษ กับ แบทแมน ตัวแทนฝ่ายมนุษย์ ที่อยากจะหยุดกระแสความเชื่อและศรัทธาในตัวของซูเปอร์แมน ในภาคนี้ จะว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 แนวคิดที่ขัดแย้งกันก็ว่าได้ เพราะทั้งคู่เป็นฮีโร่เหมือนกัน แต่จุดที่แตกต่างกันคือ แม้ตัวของซูเปอร์แมนจะมีจิตใจดี แต่เพราะเขามีพลังมาก จนแทบไม่มีจุดอ่อน เขาจึงมองโลกอย่างไร้เดียงสา ในขณะที่แบทแมนนั้น เพราะมีจุดเริ่มต้นจากความแค้น เขาจึงขี้หวาดระแวงและมองโลกด้วยมุมมองที่มืดมนกว่า ตัวตนของเขาอาจจะเป็นตัวละครที่มีเจตนาที่ดี แต่บางทีก็เลือกใช้วิธีการโหดเหี้ยม จนถูกตั้งคำถาม ทั้งสองจึงเป็นดั่งขั้วตรงข้าม ที่พยายามจะไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ หลายครั้งที่ผู้เขียนแอบคิดว่า ถ้าหากโลกนี้มีซูเปอร์แมนก็น่าจะดี เหตุเพราะมันมีหลายปัญหาที่ใหญ่โตเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเราจะเข้าไปแก้ไขได้ แต่เมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง หากโลกนี้มีซูเปอร์แมนขึ้นมาจริง ๆ เราจะสามารถไว้ใจเขาเพียงเพราะเขาเป็นคนดีได้จริงหรือ? ในเมื่อโลกแห่งความจริงไม่มีอะไรการันตีว่าคนที่มีอำนาจขนาดนี้จะอยู่เคียงข้างเราไปตลอด มันจึงน่าหวาดกลัวจริงหรือไม่ ในเมื่อยังมีโอกาสที่ฮีโร่แสนดีของเราจะเปลี่ยนไป คงไม่แปลกอะไร ที่สังคมจะมีคนคิดคล้าย ๆ กันกับแบทแมนเกิดขึ้นอีกมากมาย