ทาเคชิ คาเนชิโร: นักแสดงผู้สร้างเสน่ห์ที่ไม่มีวันหมดอายุ 

ทาเคชิ คาเนชิโร: นักแสดงผู้สร้างเสน่ห์ที่ไม่มีวันหมดอายุ 
“ทุก ๆ วันเราเดินผ่านผู้คนมากมาย คนเหล่านั้นอาจผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หรือบางคนอาจจะกลายเป็นเพื่อนคุณ”   “เราเลิกกันในวันเอพริล ฟูล เดย์ ผมเลยคิดว่าจะลองรับมุกเธอสักเดือน  ด้วยการซื้อสับปะรดกระป๋องที่หมดอายุวันที่ 1 พฤษภาคม ทุกวัน  ผมเลยบอกกับตัวเองว่า ถ้าซื้อถึง 30 กระป๋อง แล้วเธอยังไม่กลับมา  ความรักของเราก็จะหมดอายุตามไปด้วย”    ไดอะล็อกเท่ ๆ ปนขมขื่นของนายตำรวจรหัส 223 ในหนัง ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง (Chungking Express, 1994) ที่ว่ากันว่ามันคือไบเบิ้ลของคนเหงาที่อมตะ จนชื่อผู้กำกับถูกนำไปเปรียบเปรยความโดดเดี่ยวอ้างว้างแต่สุดเท่ว่า ‘กระทำความหว่อง’ แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีนักแสดงหลายคนร่วมสร้างความเหงาที่แตกต่างไป แต่หนึ่งในนักแสดงที่รับบทบาทจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนคลั่งรักสุดเหงา ไม่มีใครเกิน ทาเคชิ คาเนชิโร อย่างแน่นอน เรามาทำความรู้จักชายหนุ่มที่ชื่อญี่ปุ่น โตที่ไต้หวัน โด่งดังในฮ่องกง และเป็นขวัญใจของชาวไทยคนนี้ไปพร้อม ๆ กัน    หนุ่มน้อยผู้ไล่หาความฝันตั้งแต่เยาว์วัย ทาเคชิ คาเนชิโร เป็นลูกครึ่งที่มีพ่อเป็นนักธุรกิจชาวโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น พบรักกับแม่ชาวไต้หวัน ก่อนจะมาตั้งรกรากอยู่ประเทศไต้หวัน และได้ให้กำเนิด 3 พี่น้องผู้ถือสัญชาติญี่ปุ่น โดยทาเคชิเป็นคนสุดท้อง ด้วยเพราะพ่อเป็นชาวญี่ปุ่น และแม่เป็นชาวไต้หวัน จึงไม่แปลกเลยที่เขาสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาพ่อและแม่ ก่อนจะค่อย ๆ เรียนรู้ภาษาอื่น ๆ จนทำให้เขาสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีนกลาง, จีนฮกเกี้ยน, จีนกวางตุ้ง, ญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ  แม้จะเป็นครอบครัวฐานะร่ำรวย แต่เพราะความรักในการดูหนังมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะหนังฮ่องกงที่กำลังเฟื่องฟูในยุค 80s ทาเคชิและพี่ชายจึงชอบหนีพ่อและแม่ไปดูหนังในโรงเสมอ ทำให้ทาเคชิสนใจในวงการบันเทิงมากกว่าธุรกิจที่เขาต้องรับช่วงต่อจากพ่อ  เขาเริ่มตั้งวงดนตรีกับเพื่อนในช่วงมัธยมฯ ต้น ในตำแหน่งนักร้องนำและมือกีตาร์ จนเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวในช่วงมัธยมฯ ปลาย ความฝันก็เขยิบใกล้เขามากขึ้น เมื่อเขาเข้าไปสมัครเพื่อออดิชันแสดงนำในโฆษณาทีวี จากนั้นก็มีโอกาสได้ร้องเพลงประกอบโฆษณา จนรู้สึกว่าโรงเรียนนั้นคับแคบเกินไป หากเขาจะสานต่อความฝันในวงการบันเทิง เขาต้องทำมันให้เต็มที่ สุดท้ายเขาตัดสินใจเลิกเรียนเพื่อเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว    ทศวรรษ1990 แจ้งเกิดในฐานะ 4 จตุรเทพแห่งเกาะไต้หวัน หลังจากที่เขาร้องเพลงประกอบโฆษณาไปหลายต่อหลายเพลง ในที่สุดก็สะดุดตาค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในยุคนั้นอย่าง EMI จึงได้เชิญชวนทาเคชิออกอัลบั้มเป็นครั้งแรกในอัลบั้มที่ชื่อ Heartbreaking Nights (1992) โดยที่เขาได้โชว์ฝีไม้ลายมือในการแต่งเพลงหลายเพลงในอัลบั้ม ซึ่งการเปิดตัวนี้ได้รับการตอบรับระดับถล่มทลาย จนแฟน ๆ ต่างพากันเรียกขานเขาว่า Aniki ที่แปลว่า พี่ชาย และได้รับการจัดกลุ่มในฐานะ 4 จตุรเทพน้อยแห่งเกาะไต้หวัน โดยทาเคชิได้ร่วมกลุ่มกับ อู๋ฉี่หลง หลินจื้ออิง และ ซูโหย่วเผิง สร้างความเกรียวกราวถล่มทลายในยุคนั้น และด้วยเสน่ห์ที่สามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ ทั้งฮ่องกงและไต้หวันนั้นเอง ทำให้ทาเคชิได้ชักเท้าก้าวสู่วงการอีกแขนงนั่นก็คือ การแสดงหนังนั่นเอง โดยหนังเรื่องแรกที่เขาแสดงนั้นคือหนังแอ็คชันพลังหญิงเรื่อง สวยประหาร 2 (Executioners, 1993) แม้จะเป็นบทสมทบ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่ทำให้ทาเคชิเป็นที่รู้จักในโลกภาพยนตร์ จากนั้นก็ไต่เต้าสู่บทบาทพระรองในหนังโรแมนติกคอเมดี้อย่าง ผู้หญิงครึ่งคน (Mermaid Got Married, 1994) และได้รับบทนำครั้งแรกในฐานะพระเอกจากหนังเขย่าขวัญที่ไม่น่าจดจำอย่าง The Wrath of Silence (1994)  แต่กับหนังเรื่องต่อมา กลับเปลี่ยนสถานะให้ทาเคชิกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเหงาเข้ากระดูกดำในทันที    ตำรวจสุดเหงา และหนุ่มใบ้ผู้เปล่าเปลี่ยว “หลายครั้งเมื่อคนเราอับโชคในความรัก ผมมักจะออกไปวิ่งให้เหงื่อมันออกจนหมดตัว เพื่อให้ร่างกายไม่เหลือน้ำให้ผลิตน้ำตา” ทาเคชิได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่จากผู้กำกับสุดอาร์ตในยุคนั้นอย่าง หว่องการ์ไว ที่ชวนให้เขาร่วมแสดงในหนังเรื่อง ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง (Chungking Express, 1994) ที่เขาเป็นหนึ่งในตัวละคร 4 คนที่เล่าเรื่องราวความเปลี่ยวเหงาท่ามกลางเมืองอันแสนวุ่นวายของฮ่องกง โดยทาเคชิรับบทเป็นตำรวจรหัส 223 ตำรวจสุดระทมเมื่อความรักของเขาหมดอายุไปพร้อมสับปะรดกระป๋อง แม้บทบาทของเขานั้นจะมีแต่ถ้อยคำที่รำพึงรำพันในใจ แต่ไดอะล็อกสุดคมนั้นกลับกลายเป็นหนึ่งในคีย์เวิร์ดสำคัญที่ใครต่อใครมักกล่าวขานเมื่อเอ่ยถึงหนังเรื่องนี้  ทาเคชิเล่าเบื้องหลังการทำงานของหนังแจ้งเกิดเรื่องนี้ของเขาว่า มันเป็นหนึ่งในบทเรียนแห่งการแสดงสำคัญสำหรับเขาเลยทีเดียว  “ผมค่อนข้างตกใจกับวิธีการกำกับที่ไม่เหมือนใครของผู้กำกับหว่องการ์ไว เพราะในแต่ละวันเราจะได้กระดาษเปล่า ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าฉากที่เรากำลังจะถ่ายทำต่อไปนั้นคือฉากอะไร คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ตากล้องก็มักจะมากองถ่ายในสภาพเมาแอ๋ทุกวัน แต่อย่างไรก็ตาม เราทุกคนมีความเชื่อมั่นในผู้กำกับเป็นอย่างมาก และบรรยากาศแห่งการสร้างสรรค์นั้นเต็มไปด้วยพลังและสนุกสนาน ที่ผ่าน ๆ มาผมแทบไม่เคยใส่ใจในการแสดงมากนัก จนได้มาทำงานร่วมกับเขาจึงได้รู้ว่าศิลปะแห่งการแสดงนั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน” และพลังการแสดงของทาเคชิก็เปล่งประกายอย่างต่อเนื่องเมื่อเขาได้รับบทบาทที่เปรียบเสมือนขั้วตรงข้ามของหนัง Chungking Express ในหนังเรื่อง นักฆ่าตาชั้นเดียว (Fallen Angel, 1995) ที่พลิกบทบาทสลับขั้วจากผู้รักษากฎหมาย เป็นหนุ่มใบ้นอกคอกผู้ชอบถือวิสาสะบุกเปิดร้านในยามวิกาล บทบาทการแสดงของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับหนังเรื่องก่อนอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล Golden Bauhinia Awards ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม  หลังจากนั้นช่วงยุค 90s ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวชื่อเสียงสำหรับเขา ทั้งหนัง / เพลง / ถ่ายแบบ / พรีเซนเตอร์ เรียกได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองถึงขีดสุดสำหรับเขา นอกจากนั้นเขายังข้ามน้ำข้ามทะเลไปสร้างความฮอตกับซีรีส์ญี่ปุ่นในเรื่อง อยู่เพื่อรัก (God, Please Give Me More Time, 1998) ซีรีส์ดรามาสะเทือนอารมณ์ที่เขาได้แสดงร่วมกับเคียวโกะ ฟูคาดะ และ ปฏิบัติการรัก ปี 2000 (Love 2000, 2000) ที่กลายเป็นซีรีส์ที่ครองใจไปทั้งเอเชีย รวมไปถึงประเทศไทยอีกด้วย จากการแพร่ภาพในโทรทัศน์ช่อง ITV ในยุคนั้น ทำให้ทาเคชิเป็นหนุ่มในฝันของเหล่าสาว ๆ อย่างแท้จริง   ทศวรรษ 2000 ล้มเหลวเพื่อค้นหาตัวตน ในทศวรรษต่อมา ทาเคชิพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะสลัดภาพหนุ่มน้อยหน้ามนในทศวรรษก่อน ด้วยการพิสูจน์ตัวตนในฐานะนักแสดงยอดฝีมือด้วยการรับงานที่หลากหลายขึ้น รวมไปถึงการพยายามเลือกที่จะร่วมงานกับผู้กำกับดัง ไม่ว่าจะเป็นจางอี้โหมว ที่เพิ่งประสบความสำเร็จสด ๆ ร้อน ๆ จาก Hero เพื่อมารับบทในหนังกำลังภายใน จอมใจบ้านมีดบิน (House of Flying Daggers, 2004) ร่วมงานในหนังเพลงของ ปีเตอร์ ชาน อยากร้องบอกโลกว่ารัก (Perhaps Love, 2005) และหนังเอพิคสงครามเรื่องยิ่งใหญ่ อหังการ์ เจ้าสุริยา (The Warlords, 2007) ได้ร่วมงานกับจอห์น วู ในหนังมหากาพย์ สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ (Red Cliff Part I/II, 2008-2009) รวมไปถึงผู้กำกับแห่งยุคอย่าง แอนดรูว์ เลา และ อลัน มัก ที่เพิ่งประสบความสำเร็จจาก 2 คน 2 คม ที่สานต่อด้วย คู่เดือด เฉือนคม (Confession of Pain, 2006)  แต่ดูเหมือนโชคไม่ค่อยจะเข้าข้างทาเคชิเท่าใดนัก เพราะหนังที่เขาแสดงนั้นประสบความสำเร็จเพียงระดับกลาง ๆ ไม่อาจเทียบเท่าตอนเขาแสดงยุคก่อนหน้านั้นเลย ช่วงจังหวะชีวิตของเขาไม่มาช้าไปก็มาเร็วจนเกินไป เพราะตอนที่เขารับเล่นหนังไซ-ไฟของญี่ปุ่นในเรื่อง เพชฌฆาตทะลุศตวรรษ (Returner, 2002) ผลงานเรื่องต่อมาของผู้กำกับ ทาคาชิ ยามาซากิ ก็คือ Always: Sunset on Third Street เพราะหลายคนยังติดอยู่กับเสน่ห์ของเขาในทศวรรษที่แล้วมากกว่า  แม้ว่าทั้งทศวรรษ ทาเคชิจะยังค้นหาตัวเองในเส้นทางสายอาชีพ แต่มันกลับเป็นบทเรียนอันล้ำค่าของชีวิต และมันไม่ได้ทำลายความพยายามของเขาสักนิด โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์ถึงช่วงเวลานั้นว่า “ในขณะที่เติบโต คุณจะต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน คุณต้องล้มเหลวก่อนจึงจะประสบความสำเร็จ แล้วความสำเร็จของคุณจะมั่นคงยิ่งขึ้น แน่นอนว่าผมก็มีความล้มเหลวเช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นตอนที่ผมไม่พอใจกับการที่หนังออกมา ผมไม่อยากให้ใครมองผมเป็น ‘ผู้ชายในฝัน’ สำหรับใคร ๆ ไปตลอดกาล ผมอยากจะพัฒนาฝีมือการแสดงไปเรื่อย ๆ มากกว่า”   ทศวรรษ 2010 เขาก้าวเป็นพี่ใหญ่ด้วยใจทระนง เมื่ออายุถึงเลข 4 หลายคนวิตกกังวลเมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคนอย่างเต็มตัว แต่สำหรับผู้ชายที่หน้าเด็กตลอดกาล ช่วงเวลาแห่งการขึ้นทศวรรษใหม่สำหรับเขาถือว่าเป็นโอกาสทองในการได้ลิ้มลองบทบาทที่แตกต่าง เขาเคยให้สัมภาษณ์อย่างติดตลกว่า เขาดีใจที่ผมหงอกบนศีรษะของเขาแล้ว “ในที่สุดผมก็มีผมหงอกแล้ว! ผู้จัดการของผมขอให้ไปย้อมสีดำ แต่ผมปฏิเสธ เพราะมันถึงเวลาของมัน และมันบ่งบอกว่าตอนนี้ผมมีอายุสี่สิบเศษ ๆ แล้ว มันก็ถูกต้องแล้วที่จะมีผมหงอก”  ทาเคชิสารภาพว่าเขาไม่เคยชินกับคำชมที่ได้รับในเรื่องหน้าตาดี และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในดาราชายที่ร้อนแรงที่สุดในยุคนั้นตอนที่เขาอายุ 17 จนถึงวันนี้ ทาเคชิยังคิดไม่ออกว่าจะได้รับคำชมแบบนี้ได้อย่างไรโดยไม่รู้สึกเคอะเขิน สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้คือการกล่าวเพียงคำขอบคุณสั้น ๆ สาเหตุที่เขาไม่ค่อยยินดีกับคำชมนี้เพราะว่า “การชมว่าผมหน้าตาดี ก็เหมือนกับการชื่นชมพ่อและแม่ของผม มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมเลย ผมเคยค่อนข้างดูถูกรูปลักษณ์ของตัวเองมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ผมพยายามทำความเข้าใจแล้ว….” ทาเคชิเลิกที่จะใส่ใจในบทบาทการแสดง เขาเปลี่ยนทิศทางในการหาบทบาทที่แปลกใหม่และท้าทายตัวตนของเขามากกว่า โดยเฉพาะบทตลก เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาอยากปรากฏตัวในหนังของโจวซิงฉือมาก ๆ แต่ไม่เคยมีโอกาสสักครั้งที่ได้ร่วมงาน ขณะเดียวกันผลงานในยุค 2010s ดูจะน้อยลงอย่างน่าใจหาย แต่สิ่งที่ได้มาคือความหลากหลายของผลงาน ไม่ว่าจะเป็นหนังโศกนาฏกรรมความรักท่ามกลางไฟสงครามของเรือเดินสมุทรอย่าง The Crossing (2014-2015) ที่เปรียบเป็น Titanic แห่งแดนมังกรของจอห์น วู หนังตลกที่ได้ปลดปล่อยการแสดงในหนังล้อเลียนความหว่องเรื่อง รักเธอ...ทุกวันพรุ่งนี้ (See You Tomorrow, 2016) และล่าสุดกับหนังโรแมนติกคอเมดี้ ในบทบาทนักชิมสุดเนี้ยบในหนังไต้หวัน This Is Not What I Expected (2017) ที่ทำให้เขาคว้ารางวัล Golden Screen Awards สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปครอง จนถึงปัจจุบัน ทาเคชิมีความสุขกับการใช้ชีวิตเรียบง่าย ในแบบฉบับชายวัยกลางคน แม้จะเคยมีข่าวลือว่าเขาเข้าพิธีวิวาห์แบบเงียบ ๆ แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถคอนเฟิร์มได้ แต่ทาเคชิก็เคยวาดหวังกับชีวิตในบั้นปลายของเขาเอาไว้ว่า  “ถ้าวันหนึ่งผมแต่งงานมีลูก ผมอาจจะเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่ดูแลครอบครัวอย่างจริง ๆ จัง ๆ ทุกวันผมจะกินข้าวที่บ้าน ช่วยทำงานบ้านและดูแลเด็ก ๆ ผมต้องการเพียงเท่านี้”  และนี่คือเรื่องราวชีวิตของผู้ชายที่เสน่ห์ไม่มีวันหมดอายุเหมือนสับปะรดกระป๋อง ซึ่งถ้าเป็นไปได้ คนที่รักในตัวตนของเขาคงอยากเก็บช่วงเวลาและความทรงจำดี ๆ ของผู้ชายคนนี้ให้ยาวนานเป็นหมื่น ๆ ปี   ข้อมูล https://www.thefamouspeople.com/profiles/takeshi-kaneshiro-11415.php https://www.harpersbazaar.com.sg/exclusives/takeshi-kaneshiro-takeshi-know-takeshi-mind/ https://english.cw.com.tw/article/article.action?id=298 GQ China Magazine Touch Magazine