เปิดประสบการณ์ชิมไวน์ในบรรยากาศของโลกศิลปะ

เปิดประสบการณ์ชิมไวน์ในบรรยากาศของโลกศิลปะ

🍷 เปิดประสบการณ์ชิมไวน์ในบรรยากาศของโลกศิลปะ Da Vinci Alive Bangkok : Italian Wine Tasting with Immersive Art Experience

สื่อออนไลน์ The People ร่วมกับ Live Impact, ผู้ผลิตแก้วไวน์ Lucaris, ผู้นำเข้าไวน์ออร์แกนิก/ไบโอไดนามิก FINWINEBKK และ Thaiticketmajor จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษสุด งาน Wine Meets Art ที่จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2567 เวลา 19.00 - 21.00 น. ณ สถานที่จัดแสดงนิทรรศการ Da Vinci Alive Bangkok บนพื้นที่ Attraction Hall ชั้น 6 ของศูนย์การค้าไอคอนสยาม

ซื้อบัตรได้ที่ https://www.thaiticketmajor.com/exhibition/taste-of-people-wine-meets-art-davinci-alive-italian-wine-tasting-with-immersive-art-experience.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR3AAXCoaJuQspaThaFzf1R7zz_NinnhMZtDey-AN9G9jekY5jt-1LKCYNQ_aem_Uv5CKy69LeG_UViKdPxMRA

ภายในงาน จัดให้มีการชิมไวน์ที่คัดสรรพิเศษจากอิตาลี ในบรรยากาศที่รายล้อมด้วย Immersive Art ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ของศิลปินชาวอิตาลี เลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci 1452 - 1519) ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า นี่เป็นรูปแบบงานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมี ศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ ที่มีความสนใจเปิดกว้างหลากหลาย โดยเฉพาะสาขางานศิลปะและการกินดื่ม, เบ็ญจวรรณ วิสุทธิ์สัตย์ ผู้ก่อตั้ง FIN Wine (FIN - Fabulous Is Needed) ผู้นำเข้าไวน์ออร์แกนิก/ไบโอไดนามิก เพื่อสุขภาพและความยั่งยืน และ อนันต์ ลือประดิษฐ์​ ผู้ร่วมก่อตั้งและบรรณาธิการอำนวยการ สื่อออนไลน์ The People ร่วมนำบทสนทนา

งานนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้รักหลงใหลในงานศิลปะและชื่นชอบในเสน่ห์อันน่าค้นหาของไวน์ ได้มีโอกาสเปิดรับประสบการณ์ที่แตกต่าง และไม่สามารถสัมผัสได้ในพื้นที่อื่นใด เพราะนี่คือการชิมไวน์อิตาเลียนในบรรยากาศที่จำลองยุคสมัยอันรุ่งเรืองของศิลปะยุคเรอเนสซองส์ ผ่านการรังสรรค์ของดาวินชี ซึ่งคาดหมายว่าจะเป็นกิจกรรมแห่งการเรียนรู้ ที่สร้างความทรงจำอันล้ำค่าและน่าประทับใจให้แก่ผู้ร่วมงานทุกคน

งานเริ่มต้นด้วยการให้ผู้ร่วมงานซึมซับมุมมอง โลกทัศน์ และความคิดสร้างสรรค์ ผ่านนิทรรศการที่มีชีวิต Da Vinci Alive Bangkok ในห้องแสดงงานต่าง ๆ ตามอัธยาศัย (เช่นเดียวกันกับผู้ชมงานนิทรรศการทั่วไป) จากนั้นเมื่อถึงเวลา 19.00 น. ผู้ร่วมงานทุกคน (ที่มี wristband บนข้อมือ) จะได้ร่วมกิจกรรมชิมไวน์ที่จัดขึ้นภายในห้องโถงขนาดใหญ่ นำเสนอผลงานของดาวินชี ในรูปแบบของ Immersive Art ที่เต็มไปด้วยความอลังการ อันเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับชื่องาน WINE Meets ART

การชิมไวน์จะไล่เรียงไปตามลำดับ จากขวดที่ 1 จนถึงขวดที่ 7 โดยวิทยากรจะนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของไวน์แต่ละชนิด สลับกับการบรรยายเรื่องราวของประวัติศาสตร์ศิลป์ยุคเรอเนสซองส์ จากนั้นจะมีการร่วมสนุกตอบคำถามเพื่อชิงรางวัลแก้วไวน์คริสตัลจาก Lucaris โดยงานจะสิ้นสุดลงในเวลา 21.00 น.

สำหรับไวน์อิตาเลียนที่เลือกสรรอย่างพิเศษสุด เพื่อนำมาใช้ในการชิมไวน์ครั้งนี้ ประกอบด้วย

🍷 ไวน์จากผู้ผลิต Cantina Tramin คัดสรรไวน์ขาว 2 รายการ ในเขต Alto Adige/Sudtirol

1. 2022 Pinot Grigio DOC, Cantina Tramin, Alto Adige, Italy (Organic)

2. 2022 Selida Gewurzttraminer, Cantina Tramin, Alto Adige, Italy (Organic)

Cantina Tramin เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเก่าแก่และมีชื่อเสียงในเขต Alto Adige ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของอิตาลี ติดพรมแดนออสเตรีย โดยพื้นเพผู้คนในละแวกนี้จะใช้ภาษาเยอรมันเป็นหลัก ต่อมาพื้นที่นี้ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ยังรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างเข้มแข็ง

บุคคลสำคัญที่ผลักดันให้ Cantina Tramin และแหล่งผลิตไวน์ในพื้นที่นี้ เป็นที่รู้จักในระดับสากลคือ Willi Sturz ซึ่งมาร่วมงานกับไวเนอรีแห่งนี้ในปี ค.ศ. 2002 เขาชักชวนให้ชาวไร่องุ่นในระบบสหกรณ์หันมาผลิตด้วยวิถีทางใหม่ ทั้งในแบบออร์แกนิกและไบโอไดนามิก เพื่อสร้างคุณภาพไวน์ขึ้นมาใหม่ จนได้รับการยกย่องจาก Gamboro Rosso ให้เป็น Winemaker of the Year ในปี 2004

เขตอัลโตอะดิเจ มีภูมิประเทศเป็นหุบเขา ปลูกองุ่นหลากหลายสายพันธุ์ ในการชิมไวน์ครั้งนี้ เราเลือก Pinot Grigio ที่ให้ความหอมของดอกไม้และผลไม้จำพวกผลแพร์/พีช เพื่อสร้างความสดชื่น ส่วนไวน์ตัวถัดมามีชื่อเรียกขานว่า Selida ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Gewurzttraminer ที่ทรงพลังและมีความหอมจรุงเฉพาะตัว ด้วยกลิ่นของกุหลาบ, ลิ้นจี่ และส้ม นี่คือหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์องุ่นสายพันธุ์นี้ที่ดีที่สุดของโลก (อีกแห่งคือ Alsace ในฝรั่งเศส)

🍷 ไวน์จากผู้ผลิต Ampeleia คัดสรรไวน์แดง 1 รายการ ในเขต Tuscany

3. 2021 Un Litro, Ampeleia, Maremma, Italy (Biodynamic)

หนึ่งในผลงานที่น่าภูมิใจของ Elisabetta Foradori และเพื่อน ๆ หลังเปลี่ยนจากฟาร์มองุ่นแบบออร์แกนิกมาเป็นไบโอไดนามิกอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อผู้ผลิต Maremma เพื่อให้ได้ไวน์ที่สะท้อนความเป็นธรรมชาติของผืนแผ่นดินเพาะปลูกมากที่สุด โดยไวน์ที่เลือกสรรจากเขตทัสคานีมาให้ชิมกันในครั้งนี้ มีชื่อว่า Un Litro (เต็มขวดลิตร) ผลิตจากองุ่น 5 สายพันธุ์ ประกอบด้วย Alicanto Nero (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Grenachae) ซึ่งเป็นสัดส่วนหลัก 40% ร่วมกับ Carignano, Mourvedre, Sangiovese และ Alicante Bouschet ตัวไวน์ให้กลิ่นอะโรมาเข้มข้น มีความพอเหมาะพอดีในพาเลท ด้วยคาแรกเตอร์ที่หลากหลายให้ติดตามค้นหา ทั้งผลไม้จำพวกเบอร์รี, บัลซามิก และเครื่องเทศ

🍷 ไวน์จากผู้ผลิต Foradori คัดสรรไวน์แดง 1 รายการ ในเขต Trentino

4. 2021 Foradori Teroldego, Elisabetta Foradori, Trentino, Italy (Biodynamic)

ในพื้นที่ใกล้ ๆ เขตอัลโตอะดิเจ ทางเหนือของอิตาลี มีเขตเตรนติโน ซึ่งสร้างชื่อเสียงจากไวน์แดงที่ผลิตจากองุ่นพื้นเมืองพันธุ์ Teroldego ไวน์ที่จัดเป็น Specialty ของเตรนติโน ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ พื้นดินผสมกับหินกรวดของที่ราบ Rotaliano Plain ที่นี่เป็นแหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14

เอลิซาเบตตา ฟอราโดริ ได้นำองุ่นพันธุ์นี้ให้กลับมาสร้างปรากฏการณ์อีกครั้ง ในช่วงกลางทศวรรษ 1980s จนเธอได้รับฉายาว่าเป็น Queen of Teroldego หลังจากกระบวนการหมัก ไวน์ตัวนี้เก็บบ่มนาน 12 เดือน (ในถังโอ๊คเก่าและถังคอนกรีต) น้ำไวน์มีสีแดงเข้ม ให้อะโรมาของผลพลัมและแบล็คเบอร์รี ตามด้วยกลิ่นและรสชาติอันซับซ้อนของกลิ่นผลไม้ต่าง ๆ ทั้งระหว่างชิมและอาฟเตอร์เทสต์

🍷 ไวน์จากผู้ผลิต Volpaia คัดสรรไวน์แดง 1 รายการ ในเขต Tuscany

5. 2019 Chianti Classico Riserva DOCG, Volpaia, Tuscany, Italy (Organic)

ในพื้นที่ทัสคานี มี Volpaia เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่ผลิตไวน์มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 หลังจากเปลี่ยนมือเจ้าของกิจการมาหลายทอด นับจากปี ค.ศ.1967 เป็นต้นมา พื้นที่แห่งนี้ดำเนินการโดยครอบครัว Stianti ที่เน้นวิถีการผลิตแบบออร์แกนิก ให้ความใส่ใจในสภาพดิน ฟ้า อากาศ และน้ำ (microclimate) ที่มีความพิเศษเฉพาะตัว และผลิตไวน์จากองุ่น Sangiovese 100% พร้อมกับยกระดับเป็นมาตรฐาน Chianti Classico Riserva

ไวน์ตัวนี้เลือกสรรจากไร่ไวน์ 8 แห่ง ด้วยยีลด์การผลิตที่ค่อนข้างต่ำ เพื่อให้น้ำองุ่นเข้มข้นมีคุณภาพ บ่มอยู่ในถังโอ๊คฝรั่งเศสและถังโอ๊คสโลวะเกีย ผลลัพธ์ที่ได้ คือน้ำไวน์ที่อุดมด้วยฟรุตตี้ มีแทนนินหนักแน่น งดงามด้วยความหอมของกลิ่นเชอร์รีบลอสซัม แล้วตามด้วยกลิ่นหนัง อัลมอนด์ มีเครื่องเทศปลาย ๆ จัดเป็นไวน์ที่พร้อมดื่มและยังควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ค้นหาพัฒนาการในลำดับต่อไป

🍷 ไวน์จากผู้ผลิต Vietti คัดสรรไวน์แดง 1 รายการ และไวน์ขาว 1 รายการในเขต Piedmont

6. 2021 Langhe Nebbiolo ‘Perbacco’, Vietti, Piedmont, Italy (Organic)

7. 2022 Moscato d’Asti DOCG, Vietti, Piedmont, Italy (Organic)

Vietti ในเขตปีดมอนต์ ผลิตไวน์มา 4 เจเนอเรชั่น เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 และถือเป็นตระกูลแรก ๆ ที่ผลิตไวน์คุณภาพ อย่าง Barolo ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาในทศวรรษ 1950s บุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้ Vietti คือ Alfredo Currado ลูกเขยที่มาทุ่มเทการผลิตไวน์ในหลายมิติ ตั้งแต่การให้ความสำคัญกับคุณภาพของชั้นดิน (terroir) ที่ปลูก จนจัดแบ่งแปลงปลูกเป็น Cru ต่าง ๆ (ใกล้เคียงกับคอนเซ็ปต์ของไวน์ในแคว้นเบอร์กันดีของฝรั่งเศส) หรือการใส่ใจในการพัฒนาองุ่นท้องถิ่น อย่าง Arneis ให้กลายมาเป็นองุ่นสำหรับผลิตไวน์ขาวหลักของปีดมอนต์ จนได้รับการยกย่องให้เป็น Father of Arneis ปัจจุบัน Vietti ดำเนินการโดยทายาทรุ่นที่ 5 นาม Luca Currado ซึ่งหันมาใส่ใจในวิถีการผลิตแบบยั่งยืน

ไวน์ 2 ตัวจาก Vietti ในงานนี้ เราจะได้ชิมไวน์แดง Langhe Nebbiolo ‘Perbacco’ ซึ่งมาจากส่วนผสมของไร่องุ่นที่ใช้ผลิต Barolo เป็นหลัก และบางส่วนมาจากไร่ที่ใช้ผลิต Barbaresco บ่มแยกในถังโอ๊ค 2 ปีก่อนมาพักในแท็งก์เพื่อผสมกัน แล้วจึงบรรจุขวด น้ำไวน์ที่ได้ให้สีแดงรูบีเข้ม ให้สัมผัสหนักแน่นแต่มีความฟรุตตี้ในอะโรมา ทั้งกลิ่นฟลอรัลและสไปซ์ แทนนินแน่นพอเหมาะ และมีบอดีที่สมดุลพอดี

ส่วนไวน์ที่ใช้ปิดท้าย คือ Moscato d’Asti ไวน์ขาวจากองุ่น Moscato ที่มีความสง่างาม ล้ำค่า ไวน์ผลิตจากองุ่นในไร่เล็ก ๆ ของพื้นที่ Castiglione Tinella น้ำไวน์มีสีเหลืองอ่อน มีพรายฟองนิด ๆ ให้กลิ่นหอมของพีช, ส้ม และขิง เมื่อจิบในพาเลท สัมผัสได้ถึงความฉ่ำหวานพอเหมาะ กับอะซิดิตีที่มีชีวิต ปิดท้ายด้วยกลิ่นแอปริคอตอันอบอวล
นักเขียนไวน์ชื่อดังอย่าง Karen McNeil เขียนถึง Moscato d’Asti ที่ผลิตโดย Vietti ไว้ในหนังสือ Wine Bible ว่า

“... ให้ฉันดื่มทั้งวันเลยก็ยังได้...​ไวน์มอสคาโตดัสตีส่วนมากที่ทำออกมาขายทุกวันนี้ โดยเฉพาะจากผู้ผลิตรายใหญ่ ทำได้ดีกว่าไวน์อัดฟองราคาถูกนิดเดียว แต่ไร่ไวน์เล็ก ๆ จากผู้ผลิตคุณภาพ อย่าง Vietti ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...”

นี่คือ Finale หรือ บทลงท้ายของงานชิมไวน์ Wine Meets Art ที่เราทุกคนจะได้รับประสบการณ์ความประทับใจจากรสชาติอันลึกซึ้งของไวน์อิตาเลียน ที่เชื่อมผสานไปพร้อม ๆ กับเรื่องราวของผลงานศิลปะในยุคสมัยของเรอเรสซองส์ที่ยังมีคุณค่าแก่การเรียนรู้สำหรับผู้คนร่วมสมัย

งานนี้เปิดรับจำนวนจำกัด เพียง 100 ท่านเท่านั้น (เฉพาะผู้มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป) บัตรราคา 2,200 บาท (ราคานี้ รวมค่าเข้าชม DaVinci Alive มูลค่า 1,080 บาท, การชิมไวน์ทุกชนิด, อาหารว่าง และการบรรยายของวิทยากร) บัตรมีจำหน่ายที่ Thaiticketmajor