นักแสดงสาวสายลุยผู้มีภาพลักษณ์เท่และแข็งแรง ทำให้มีโอกาสแสดงบทบาทที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา เทพธิดา และล่าสุดคือ สายลับ ที่มาพร้อมกับสูทและแว่นตาดำ ให้ความรู้สึกเป็นนักธุรกิจสาวผู้สยบทุกเหล่าร้าย ซึ่งเธอไม่ได้เป็นนักสู้เพียงแค่ในจอเท่านั้น นอกจอยังเป็นนักสู้เพื่อสิทธิของผู้หญิงผิวสีและ LGBTQ อีกด้วย จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เทสซา ธอมป์สัน (Tessa Thompson)
ธอมป์สันได้ฝากผลงานไว้กับวงการหนังมากมาย เช่น Dear white people (2014), Creed (2015), Thor: Ragnarok (2017), Avengers: Endgame (2019) รวมถึงผลงานล่าสุดเธอกลับมาพร้อมกับบทบาท “เอเจนท์ เอ็ม” ใน Men in Black: International (2019)
เธอได้ก้าวผ่านข้อจำกัดทั้งทางเชื้อชาติและเพศ ด้วยการเป็นลูกครึ่งอเมริกัน – เม็กซิกัน และเป็นผู้หญิงผิวสี ทำให้นักแสดงสาวมากความสามารถผู้นี้ต้องเผชิญกับการเหยียดสีผิวมากมาย ชีวิตวัยเด็กเธอถูกเพื่อนวัยเดียวกันเรียกว่า “nigger” ซึ่งเป็นคำที่ไว้ใช้เรียกคนผิวสี และถูกเรียกคำนั้นในสนามเด็กเล่น ทั้ง ๆ ที่สนามเด็กเล่นควรเป็นที่ที่เด็กทุกคนมาเพื่อเล่นและสร้างความสนุกร่วมกัน จนกระทั่งเธอต้องขอแม่ย้ายออกจากโรงเรียนเอกชนเพื่อไปโรงเรียนรัฐบาล เพราะคิดว่าโรงเรียนรัฐบาลมีความหลากหลายมากกว่า
“ฉันมีทุกอย่างที่กลุ่มเพื่อนของฉันมี ยกเว้นผิวขาว”
เมื่อมีโอกาสได้เข้ามาทำงานนักแสดงอย่างที่ฝัน ธอมป์สันรับรู้ได้ถึงความเหยียดสีผิวของฮอลลีวู้ด อย่างในภาพยนตร์เรื่อง Creed ก็มีข่าวออกมาว่า ที่เธอได้รับบท “บิอันก้า” เป็นเพียงเพราะสีผิวที่ไม่เข้มมากจนเกินไป “มันเป็นช่วงเวลาที่ยากมากสำหรับฉัน เพราะฉันไม่เชื่อว่ามันจริง”
[caption id="attachment_8896" align="alignnone" width="1066"]
เทสซา ธอมป์สัน ใน Creed (2015)[/caption]
ธอมป์สันต่อสู้มาตลอดเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้รับบทบาทเพียงเพราะสีผิว แต่เป็นเพราะการแสดงของเธอต่างหาก นักแสดงสาวกล่าวว่า “สำหรับผู้หญิงทั่วไปเรียกร้องสิทธิให้เท่าเทียมกับผู้ชาย แต่สำหรับผู้หญิงผิวสีเป็นอะไรที่ไกลกว่านั้น”
จากนั้นเธอมีโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่อง Dear White People นำเสนอชีวิตของคนผิวสีที่ไม่ใช่เพียงแง่มุมการถูกเหยียดเท่านั้น เธอได้รับบทเป็น “ซาเเมนธา ไวท์” ผู้จัดรายการวิทยุที่มีชื่อว่า Dear White People ในมหาวิทยาลัยวินเชสเตอร์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวละครดังกล่าวเปรียบเสมือนกระบอกเสียงของคนผิวสีในมหาวิทยาลัยที่มีเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ และคนผิวสียังถูกจับให้รวมในหอพักเดียวกันแยกกับคนขาวอย่างสิ้นเชิง
และในภาพยนตร์จักรวาล Marvel อย่าง Thor: Ragnarok ธอมป์สันก็ได้รับบทเป็น “วัลคีรี” เทพธิดาผู้รับใช้ “โอดิน” ผมดำเข้มที่มาพร้อมชุดหนังและดาบที่สวย สง่างาม และแข็งแกร่ง เรียกได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในนักแสดงผู้หญิงผิวสีคนแรก ๆ ของมาร์เวล (Marvel) ที่ไม่ต้องถูกทาสีเขียวหรือม่วงตามบทบาทที่ได้รับ และได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ตัว วัลคีรี ตามการ์ตูนนั้นมีลักษณะผิวขาวและผมสีบลอนด์ ซึ่งเป็นความงามครบสูตรตามแบบฉบับตะวันตก แต่ทางมาร์เวลได้เปิดรับความงามในแง่มุมที่กว้างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น
สิ่งนั้นทำให้เธอเป็นหนึ่งตัวอย่างความเป็นสมัยใหม่ของมาร์เวล (A modern marvel) และความเปิดกว้าง ที่ไม่จำกัดว่า ฮีโร จะเป็นเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ทุกคนก็สามารถเป็นฮีโรได้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไหนหรือเพศใดก็ตาม
[caption id="attachment_8898" align="alignnone" width="1401"]
เทสซา ธอมป์สัน ใน Thor: Ragnarok (2017)[/caption]
นอกจากนี้ เทสซา ธอมป์สัน ยังลุกขึ้นมาเป็นเสียงให้กับชาว LGBTQ อีกด้วย หลังจากที่เธอได้ออกมาเปิดตัวว่าได้มีความสัมพันธ์กับนักแสดง/นักร้องสาว เจแนลล์ โมเน (Janelle Monae) ด้วยความที่โตมาในครอบครัวที่ให้อิสระ เธอมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเรื่องทางเดินที่ต้องการ และไม่จำเป็นต้องปิดบังความเป็นตัวเอง “ไม่ว่าฉันจะพาคนรักเพศชายหรือหญิงไปพบ ครอบครัวของฉันก็จะรับได้เสมอ”
หญิงผู้รักอิสระคนนี้จึงอยากให้ทุกคนได้รับอิสระอย่างที่เธอได้รับ ธอมป์สันเลยออกมาเปิดเผยตัวตน เพื่อเป็นพลังจุดประกายให้กับชาว LGBTQ ทุกคน กล้าออกมายอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างภาคภูมิใจ และไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวคำตัดสินจากใคร
ธอมป์สันยังมีความตั้งใจที่จะนำเสนอตัวละครวัลคีรีในรูปแบบ Bisexual ที่สามารถรักเพศใด ๆ ก็ได้ ไม่จำกัดว่าเป็นเพศชายหรือหญิง เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า“วัลคีรีเป็น Bisexual คุณเห็นเธอกับทั้งชายและหญิง เพราะฉันตั้งใจแสดงให้เธอเป็น” ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้เห็นฉากที่แสดงถึงความเป็น Bisexual ของวัลคีรี เนื่องจากเรื่องราวความรักของ “ฮีโร” ดูเหมือนจะเป็นเรื่องรองแทนการกู้โลกหรือปราบวายร้ายที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องหลักของภาพยนตร์มาร์เวล แต่เธอก็พยายามจะสื่อให้ออกมาเป็นอย่างนั้น
“สำหรับเธอช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุดคือช่วงเวลาที่เราสามารถรักใครก็ได้ที่เราอยากจะรัก และพวกเราสามารถเป็นคนที่พวกเราต้องการ นั่นแหละเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก”
เธอได้มองภาพความรักของตัวละครวัลคีรีไว้อย่างไม่มีคำจำกัดความใด ๆ ในความรักของวัลคีรีเลย มองว่าวัลคีรีสามารถรักได้ทุกคน มีภาพในหัวที่มองว่าสามารถรักได้ทั้ง “ธอร์” เทพเจ้าสายฟ้า และ “กัปตันมาร์เวล” ฮีโรผู้หญิงที่มาพร้อมพลังสุดเลิศล้ำ และก็ยังหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะได้มีซูเปอร์ฮีโรที่เป็น LGBTQ ให้เราได้เห็นกันจริง ๆ
[caption id="attachment_8897" align="alignnone" width="1280"]
เทสซา ธอมป์สัน และ คริส เฮมส์เวิร์ธ[/caption]
ในปี 2019 เธอได้รับบทบาทเอเจนท์ เอ็ม คู่กับ “เอเจน เอช” รับบทโดย คริส เฮมเวิร์ธ (Chris Hemsworth) ที่กลับมาเจอกันถึงรอบที่ 3 แล้ว ความที่เคมีของทั้งคู่ช่างเข้ากัน จนผู้อำนวยการสร้างอย่าง แบร์รี ซอนเนนเฟลด์ (Barry Sonnenfeld) เห็นแววของเธอและเขา
เมื่อหนังภาคนี้เป็นคู่หูใหม่มาแทนคู่หูเก่าที่ ซอนเนนเฟลด์ ได้ทำให้เรื่องราวเดิมจบลงไปอย่างสมบูรณ์แบบ และให้ธอมป์สันได้มาเป็นผู้หญิงคนแรกที่มาร่วมงานกับองค์กร Men in Black (MIB) ในการปกป้องโลก จากสิ่งแปลกปลอมและอันตรายนอกโลก และภารกิจของเธอไม่ใช่แค่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภารกิจสุดหินมีอยู่ในทั่วทุกมุมโลก
กล่าวได้ว่า MIB รอบนี้ ไม่ใช่ MEN in black อีกต่อไป แต่เป็น “Man and Women in black”
“ถึงแม้ว่าในวงการภาพยนตร์จะยังไม่มีหนังที่มีผู้หญิงแสดงนำมากนัก แต่ฉันหวังว่า Men in Black จะจุดประการให้มีหนังที่แสดงนำโดยผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นอีก” ธอมป์สันกล่าว
ที่มา
buzzfeednews
toofab
imdb
cinemablend
nangdee
thematter
เรื่อง: อนัญญา นิลสำริด (The People Junior)