ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ปลัดอำเภอเมืองปัตตานี ใช้การศึกษาแก้ปัญหาด้ามขวานไทย

ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ปลัดอำเภอเมืองปัตตานี ใช้การศึกษาแก้ปัญหาด้ามขวานไทย
“หลายคนสงสัยว่า อ้าว เราเป็นคนกรุงเทพฯ แล้วเรามาอยู่นี่ได้ด้วยเหรอ ทำไมจะไม่ได้เพราะที่นี่ประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่คนไทยอาศัยอยู่ เราต้องมาดูแลคนไทยครับ แล้วผืนแผ่นดินนี้เป็นผืนแผ่นดินไทย” ปัตตานีวันนี้ยังคงร้อนแรงเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา แต่คำว่าร้อนนั้นหมายถึงสภาพอากาศร้อนชื้นจากแสงแดดที่แผดจ้าเกือบตลอดทั้งปี สวนทางกับสถานการณ์ในพื้นที่ที่เริ่มมีบรรยากาศผ่อนคลายในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการสร้างความเข้าใจระหว่างผู้คนและรัฐ โดยมีข้าราชการพลเรือนที่คลุกคลีกับประชาชนเพื่อช่วยประสานความเข้าใจ เหมือนที่ ว่าที่ร้อยตรี ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ปลัดอำเภอเมืองปัตตานี กำลังโบกมือทักทายเด็ก ๆ อย่างเป็นกันเองระหว่างเดินทอดน่องแถวมัสยิดกรือเซะ หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ ศาสนสถานเก่าแก่คู่เมืองปัตตานีมายาวนานหลายร้อยปี ด้วยการที่เขาอาศัยอยู่ในพื้นที่นานเกือบสิบปี ทำให้หัวเราะพูดคุยกลมกลืนกับชาวบ้านที่ผ่านไปมา ไม่ต่างกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตที่จังหวัดภาคใต้ริมฝั่งทะเลตะวันออกแห่งนี้ ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ปลัดอำเภอเมืองปัตตานี ใช้การศึกษาแก้ปัญหาด้ามขวานไทย “ผมเป็นปลัดอำเภอเมื่อปี 2552 บรรจุครั้งแรกที่จังหวัดหนองคาย แล้วก็ย้ายมาอยู่จังหวัดสงขลาประมาณปีนึง ต่อมาย้ายลงจังหวัดปัตตานี ปี 2553 ตอนแรกที่บรรจุอยากไปจังหวัดที่มีแม่น้ำโขง พอย้ายอีกครั้งขอจังหวัดที่มีทะเล ก็ได้ไปอยู่สงขลา แล้วก็ยังได้ย้ายไปปัตตานีจังหวัดที่มีทะเลอีก” การโยกย้ายไปประจำยังจังหวัดต่าง ๆ เป็นเรื่องปกติของข้าราชการพลเรือน โดยเฉพาะปลัดอำเภอ ที่บ่อยครั้งมีคำสั่งโยกย้ายให้ไปประจำยังพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ซึ่งก่อนที่จะได้มาเป็นปลัดอำเภอคอยดูแลสุขทุกข์ของประชาชนยังปลายด้ามขวานไทยนั้น ธวัช เคยเป็นคุณครูสอนหนังสือนักเรียนมาก่อน แล้วแทบไม่มีความรู้มาก่อนเลยว่าปลัดอำเภอมีหน้าที่อย่างไรบ้าง “ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่รู้จักปลัดอำเภอมาก่อนด้วยซ้ำ เพราะว่ากรุงเทพไม่มีปลัดอำเภอ เราเริ่มมาเรียนรู้งานในหน้าที่ก็ตอนบรรจุรับราชการ ได้รู้ว่าปลัดอำเภอมีหน้าที่หลักคือการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และเป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอ ดังนั้นสิ่งใดที่เป็นเรื่องเดือดร้อนของประชาชน เราจำเป็นที่จะต้องแก้ไข เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของเรา” นอกจากหน้าที่หลักในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนแล้ว เรื่องความมั่นคง และการดูแลความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตในพื้นที่ ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างปลัดอำเภอ ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ปลัดอำเภอเมืองปัตตานี ใช้การศึกษาแก้ปัญหาด้ามขวานไทย โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี ที่อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ หลายคนยังรู้สึกว่าสถานการณ์ยังไม่กลับมาเหมือนปกติ จากเหตุการณ์ความรุนแรงจากผู้ไม่หวังดีที่ก่อกวนเป็นระยะ ทำให้มีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ทั้งทหาร ตำรวจ รวมถึงอาสาสมัครในพื้นที่ คอยประจำการตามจุดต่าง ๆ เพื่อดูแลความสงบปลอดภัย ซึ่งทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดนี้ ปลัดอำเภอธวัช มองว่ารากลึกของปัญหาส่วนหนึ่งที่เราต้องแก้ไขให้ถูกจุดคือ เรื่องการศึกษา “พื้นที่สามจังหวัด ยังมีเด็กและเยาวชนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา เด็กเหล่านี้เวลาเติบโตขึ้นไปจะทำอะไร ในแต่ละวันเขาก็ใช้ชีวิตแบบไม่มีความหมาย อันนี้จึงเป็นปัญหาหนึ่งที่เราต้องร่วมกันให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเรื่องการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับครอบครัว โดยเริ่มจากสนับสนุนเรื่องการศึกษา” ปลัดอำเภอธวัช ย้ำอยู่เสมอว่าหน้าที่ของงานปลัดอำเภอนั้น มีคติพจน์ว่า บำบัดทุกข์ บำรุงสุข และปลัดอำเภอเป็นข้าราชการหนึ่งในไม่กี่ฝ่ายที่สามารถเข้าไปคลุกคลีกับพี่น้องประชาชนทั้งไทยพุทธ มุสลิม ในพื้นที่อย่างจริงจัง แล้วรับฟังเสียงสะท้อนความต้องการของชาวบ้านผ่านผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำชุมชน ซึ่งเป็นตัวแทนที่อยู่ในพื้นที่ คอยประสานส่งต่อว่าชาวบ้านในพื้นที่มีความต้องการให้ช่วยเหลือหรือพัฒนาอย่างไรบ้าง โดยหน้าที่แล้วการที่ข้าราชการต้องลงพื้นที่ เพื่อต้องการสร้างมวลชน เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก แต่การเรียนรู้วัฒนธรรมของคนพื้นที่ สิ่งใดที่ควรทำ สิ่งใดที่ไม่ควรทำ เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า “เราเป็นข้าราชการที่ย้ายมาจากนอกพื้นที่ แต่ด้วยความที่เราขยัน เราไม่มีความรู้สึกเป็นอื่นกับคนในพื้นที่ เวลาผมลงพื้นที่ก็จะได้รับการต้อนรับที่ดี คนพื้นที่เขาเรียกเป็นภาษามลายูเขาจะมีสำเนียง บือละบือละ บือละก็คือปลัด หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ป.” ด้วยความที่ปลัดอำเภอธวัช มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร อาศัยอยู่ในเมืองหลวงของประเทศมาตั้งแต่เกิด ทำให้ลึก ๆ แล้วการที่เขามีความเป็นคนนอกพื้นที่ ประกอบกับภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่นำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ สร้างความกังวลใจให้กับครอบครัวของเขาอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงแรกที่ลงไปประจำการ แม้ในความเป็นจริงแล้ว หากใครมีโอกาสลองมาเยือนจังหวัดปัตตานี และได้สัมผัสชีวิตคนปัตตานีด้วยตัวเองแล้วจะพบว่า ที่นี่สงบและน่าอยู่ไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในประเทศไทยเลยทีเดียว ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ปลัดอำเภอเมืองปัตตานี ใช้การศึกษาแก้ปัญหาด้ามขวานไทย “เราเป็นคนกรุงเทพฯ คนที่อยู่ภาคอื่นเขาดูสถานการณ์จากภาพข่าว แน่นอนข่าวมันก็นำเสนอสิ่งที่มันน่าสนใจ ก็คือสถานการณ์เหตุการณ์ความไม่สงบ เขาก็จะได้รับรู้แต่ภาพความรุนแรง มันก็เลยเป็นความกังวล แต่พอหลัง ๆ เราก็ให้ความมั่นใจกับครอบครัวว่าเราอยู่ได้นะ เขาก็จะคลายความกังวลไปครับ” รางวัลปลัดอำเภอดีเด่น หรือปลัดอำเภอแหวนทองคำ ที่ ว่าที่ร้อยตรี ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ได้รับเมื่อ พ.ศ. 2561 เป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าปลัดอำเภอเมืองปัตตานีคนนี้ ลงมือทำงานด้วยความตั้งใจอย่างเอาใจใส่ ด้วยการทำงานเชิงรุกตลอดเวลา ซึ่งในบทบาทหน้าที่ปลัดอำเภอของเขา การลงพื้นที่หมายถึงการนำปัญหานั้นไปแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งงานที่รับผิดชอบในส่วนงานป้องกัน รักษาความสงบเรียบร้อย ไปจนถึงงานปราบปรามยาเสพติด โดยทำงานประสานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงสามฝ่าย ประกอบไปด้วยทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ที่มีสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนเป็นกำลังสำคัญ เนื่องจากเป็นกำลังของประชาชนในพื้นที่ ที่ถูกบรรจุเข้ามาฝึก สวมเครื่องแบบ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในนามของฝ่ายปกครอง แม้ความพยายามทำงานอย่างหนักของปลัดอำเภอเมืองปัตตานี ว่าที่ร้อยตรี ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ จะได้รับการตอบแทนเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ ที่เข้าใจ คอยให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือปลัดอำเภอหนุ่มอย่างสม่ำเสมอ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขายอมรับว่า ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่แบกรับอยู่นั้นจะประมาทไม่ได้เลยสักวินาทีเดียว เพราะแม้ตัวเขาจะทำดีที่สุดสักแค่ไหน แต่ด้วยอคติ ความไม่เข้าใจ ที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มผู้ที่เสียผลประโยชน์ ทำให้ทุกครั้งที่มีโอกาสกลุ่มคนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะก่อกวนสร้างสถานการณ์ความไม่สงบได้ตลอดเวลา “หน้าที่งานของผมบางครั้งเป็นงานที่กระทบกระทั่ง เลยมีทั้งคนรักและมีคนเกลียด ผมเคยเจอเรื่องที่ท้อแท้หลายเรื่อง แต่แค่กำนันผู้ใหญ่บ้านเขารู้แล้วมาบอกว่าปลัด เดี๋ยวผมอยู่ข้างปลัดเอง ไม่ต้องกลัว คือเขาพร้อมมายืนอยู่เคียงข้างเรา เป็นตัวแทนของคนในพื้นที่มายืนฝั่งเดียวกับเรา เพราะ พวกเขาเห็นสิ่งที่เราตั้งใจมาตลอด ว่าเราทำในสิ่งที่ประชาชนพึงพอใจ เท่านี้ผมก็มีกำลังใจแล้วครับ”