The Black Eyed Peas - Where Is The Love?: บทเพลงจากฝันร้าย 9/11 สู่การตั้งคำถามว่า ‘รักอยู่ที่ใด’

The Black Eyed Peas - Where Is The Love?: บทเพลงจากฝันร้าย 9/11 สู่การตั้งคำถามว่า ‘รักอยู่ที่ใด’
“มีความแตกแยกและการเหยียดเชื้อชาติเกิดขึ้นมากมาย เรารู้สึกได้ถึงคำถามที่ผุดขึ้นในใจว่า เฮ้! ความรักมันหายไปไหนวะ?” - Taboo, The Black Eyed Peas   ความหวาดหวั่นบนสะพานซานฟรานซิสโก เหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 คือเหตุการณ์ก่อการร้ายโดยกลุ่มอัลเคดาที่พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ไป 2,977 ราย นำมาซึ่งการก่อตั้งหน่วยงานรักษาความปลอดภัยด้านการขนส่ง (Transportation Security Administration - TSA) ในสหรัฐฯ ส่วนทั่วโลกที่รับรู้เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านหน้าจอต่างก็เพิ่มมาตรการความปลอดภัยระหว่างเดินทางด้วยเครื่องบินทั้งในและระหว่างประเทศ ก๊วนแร็ปสัญชาติอเมริกันที่เริ่มต้นการเดินทางในปี 1989 ในนาม ‘Atban Klann’ ก่อนเปลี่ยนเป็น ‘The Black Eyed Peas’ ในปี 1995 สามสมาชิกของวงที่ประกอบไปด้วย will.i.am, alp.de.ap และ Taboo ใช้เวลาในเดือนกันยายน ปีดังกล่าวไปกับการขลุกตัวในสตูดิโอที่ซานฟรานซิสโกเพื่อปลุกปั้นผลงานใหม่ วันสุดท้ายของการเขียนเพลงและบันทึกเสียง will.i.am และสมาชิกในวงกำลังเก็บกระเป๋าขึ้นรถ เตรียมตัวกลับบ้าน “ผมเห็นเครื่องบินลำแรกแล้วนึกว่าเป็นการถ่ายทำ แต่ตอนที่ขับรถกลับบ้าน ข้ามสะพานซานฟรานซิสโก ผมรู้สึกกลัวจริง ๆ สิบนาทีบนสะพานนั้นเนิ่นนานในความรู้สึกเหมือนเกือบชั่วโมง” ควันความเสียหายจาก 9/11 ยังไม่จางหายระหว่างที่เหล่าศิลปินมุ่งมั่นเดินทางทัวร์และทำเพลงต่อไป การออกเดินสายไปยืนอยู่บนเวทีในหลาย ๆ ที่ หลาย ๆ ประเทศ ทำให้พวกเขาได้ไตร่ตรอง ได้มองดูความเป็นไปของผู้คน จังหวะคอร์ดแรกเริ่มของ ‘Where Is The Love?’ เริ่มขึ้นจากเสียงและสัมผัสของจังหวะหัวใจ “เสียงหัวใจมนุษย์คือบีตและไรห์มที่เราได้ยินทุกวัน มันดังก้องในจิตใต้สำนึก โดยที่เราอาจไม่ทันได้สนใจ” will.i.am เล่า พวกเขาทิ้งท่วงทำนองที่เพิ่งขึ้นโครงร่างไว้อย่างนั้นจนข้ามปี เพื่อให้เวลากับ ‘apl’ สมาชิกวงได้หยุดพักจากความเครียดและกดดันทั้งเรื่องตารางทัวร์และเรื่องความเป็นไปในบ้านเมือง หลังช่วงวิกฤตทางความรู้สึกพ้นผ่าน อีกวิกฤตที่ตามมาคือการกระทบกระทั่งกับค่ายเพลง “ทุกอย่างที่เราทำส่งไป บริษัทจะตีกลับมาว่า ‘นี่ไม่ใช่เพลงฮิตนะ’” will.i.am ย้อนเล่าถึงวันเก่า ๆ ขณะที่สมาชิกทั้งสามก็มองหน้ากันตาปริบ ๆ และบอกว่า “ไม่ใช่เพลงฮิตเหรอ? โน่นก็ไม่ฮิต นี่ก็ไม่ฮิต ช่างหัวมันสิวะ!” หลังจากนั้น The Black Eyed Peas จึงใช้กฎแห่งการปล่อยวางสุดคลาสสิกอย่างการ ‘ช่างแม่-’ แล้วเดินหน้าทำอัลบั้ม ‘Elephunk’ ที่มีเพลงอย่าง ‘Where Is The Love?’ ต่อ แม้แต่ละคนจะรู้ดีแก่ใจว่า ถ้าทั้งหมดที่พวกเขาทำแป้กขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็อาจกลายเป็นเพลงชุดสุดท้ายที่ค่ายเพลงจะยอมลงทุนให้ก็ตามที
  ความเกลียดชังระดับมหภาคและความไม่รักของปัจเจกบุคคล ‘Where Is The Love?’ กลายเป็นเพลงฮิต มิวสิกวิดีโอที่ถือเป็นงานชิ้นเปิดตัวของ ‘Fergie’ ศิลปินสาวสมาชิกใหม่ The Black Eyed Peas นั้นสร้างอิมแพกต์ไม่น้อย บีตและไรห์มของมันกลายเป็นภาพจำของหนึ่งยุค ขณะที่พาร์ตเนื้อหานั้นไร้กาลเวลาได้มากกว่า เมื่อบทเพลงนี้พูดถึงโลกที่ความรักหล่นหาย และ ‘รัก’ ที่ว่าไม่ใช่ความรู้สึกชื่นชู้คู่ใจระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นรักในอีกความหมาย ที่เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ ความแตกต่าง ความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน หากมองลึกลงไปในเนื้อหา ‘Where Is The Love?’ คือบทเพลงที่พูดถึงทั้งความ ‘ไร้รัก’ ในระดับมหภาค ไม่ว่าจะเป็นสงคราม อาชญากรรมโดยรัฐ หรือการปลูกฝังให้ผู้คนเกลียดชังผู้อื่นจาก identity และพูดถึง ‘ความเกลียดชัง’ ของผู้คนในระดับปัจเจก เนื่องจากต่างฝ่ายต่างต้องวุ่นวายอยู่กับการเอาชีวิตรอดได้เป็นอย่างดี   / What’s wrong with the world, mama? People livin’ like they ain’t got no mamas I think the whole world’s addicted to the drama Only attracted to the things that’ll bring a trauma /   บทเพลงเริ่มขึ้นด้วยคำแร็ปของ will.i.am และการตั้งคำถามราวเด็กไม่เดียงสา “แม่ครับ มันเกิดอะไรขึ้นกับโลก?” ขณะที่เนื้อเพลงท่อนถัด ๆ มา ด้วยเสียงของศิลปินคนเดียวกัน เขาเริ่ม ‘ตอบ’ คำถามที่ตัวเองได้ตั้งไว้ ด้วยการแร็ปเล่าเรื่องราวความไม่ปกติบนโลกอย่างชัดถ้อยชัดคำ เนื้อหาของ ‘Where Is The Love?’ นั้นครอบคลุมทุกประเด็น และแม้จะเป็นภาพฉายของสังคมอเมริกัน แต่ก็ดูราวกับว่ามันจะมีความเป็นสากลปะปนอยู่เท่า ๆ กัน นับตั้งแต่ปัญหาก่อการร้ายที่ทุกประเทศพยายามหาทางยุติ แต่ผู้ก่อการร้ายก็ยังมีอยู่ทุกที่ แม้แต่ใจกลางของสหรัฐอเมริกาที่เป็นดินแดนแห่ง ‘CIA’ เองก็ยังมีคนเหล่านี้มากมายหลายกลุ่ม ที่ปรากฏชื่อในวรรค ‘The Bloods and the Crips, and the KKK’ ถัดจากนั้นพวกเขาจึงเล่าถึงปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ ที่เกิดมาจากการแบ่งแยกมนุษย์ออกเป็นกลุ่ม ๆ และสอนให้รักเพียงกลุ่มของตัวเอง ส่วนท่อนของ Taboo ก็เล่าถึงวันที่โลกเต็มไปด้วยความขัดแย้งและ ‘Nations droppin’ bombs’ แต่ละประเทศต่างสร้างสงคราม สะสมขีปนาวุธและพร้อมใช้มันคร่าชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์ที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นศัตรู เด็กเล็กล้มตาย เยาวชนไร้อนาคต ส่วนความรักระหว่างพี่น้องร่วมโลกก็หล่นหายไปพร้อมกับ ‘ความจริง’ ที่ถูกปกปิดไว้ (และอาจคิดต่อจากเนื้อเพลงได้ว่าเป็นการปกปิดความจริงด้วยการสร้างวาทกรรมโดยรัฐ) ขณะที่ท่อนของ alp.de.ap เข้ามาขยาย ท่อน ‘Most of us only care about money-makin’ นั้นสะท้อนให้เห็นถึงสังคมทุนนิยมในอเมริกันที่ผลักดันให้ผู้คนออกไปหาเงิน สนใจแต่ตัวเลขเป็นหลักจนละเลยเรื่องความรู้สึก ขณะเดียวกันเขาก็วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อ ที่หลายครั้งก็นำเสนอข้อมูลผิด ๆ ที่จะแพร่กระจายไปไกลและรวดเร็วเสมอ และพูดถึงอิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ที่ส่งผลต่อผู้คนบนโลกโดยเฉพาะเด็ก ๆ สำหรับพรีฮุกและฮุกที่ถือเป็นอีกพาร์ตทองคำของเพลงนี้ แต่งโดยชายที่ไม่ได้อยู่ในมิวสิกวิดีโออย่าง ‘จัสติน ทิมเบอร์เลก’ (Justin Timberlake) เนื่องจากตอนนั้นเขาเองก็กำลังง่วนกับอัลบั้ม ‘Justified’ เพื่อป้องกันความสับสนเกี่ยวกับตัวตนของนักร้องเพลงป็อปคนนี้ที่อาจจะตามมา ทำให้ค่ายเพลงตัดสินใจให้จัสตินกลายเป็นเสียงร้องปริศนาไม่ระบุชื่อเสียงเรียงนามในช่องเครดิต ท่อนนั้นมีเนื้อหาแสนกินใจ ร้องว่า   / People killin’ people dyin’ Children hurtin’, I hear them cryin’ Can you practice what you preachin’? Would you turn the other cheek again? /   / Where is the love? /   การกลับมาอีกครั้งของบทเพลงเรียกหารัก หลังช่วงเวลาที่ ‘Where Is The Love?’ ถูกเปิดในคลื่นวิทยุแบบรายวันพ้นผ่าน The Black Eyed Peas ก็ไม่ได้ยุติการพูดผ่านเพลงและแสดงออกด้านอื่น ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางสังคมแต่อย่างใด โดยเมื่อปี 2006 พวกเขาได้ก่อตั้ง The Pea Pod Foundation มูลนิธิสำหรับช่วยเหลือเด็กทั่วโลกขึ้น และระดมทุนด้วยการจัดคอนเสิร์ต ขณะที่สมาชิกในวงอย่าง will.i.am ก็ได้ก่อตั้ง ‘i.am.angel Foundation’ ขึ้นมาเช่นกัน 2016 คือปีที่บทเพลง ‘Where Is The Love?’ กลับมาอีกครั้งพร้อมเวอร์ชันใหม่ ในการสัมภาษณ์ของ The Black Eyed Peas ที่ไม่ได้ออกเพลงใหม่ในนามวงมานานพอสมควร เล่าว่าพวกเขาไม่ได้กลับมารวมตัวกันด้วยเหตุผลอื่นใด นอกจาก “เพราะโลกอยากให้ ‘Where Is The Love?’ กลับมา” “ตอนเหตุการณ์โจมตีในปารีสเกิดขึ้น มีผู้คนบอกกับผมว่า ‘เราต้องการ ‘Where Is The Love?’ อีกครั้ง’ หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยการโจมตีที่เบลเยียม ที่ตุรกี ที่ออร์แลนโด และฟิลินโด ออลตัน และดัลลัส - ทุกคนร้องเรียกเรา แบบว่า ‘เราต้องการให้เพลงนั้นกลับมา’” คือคำเล่าของ will.i.am การคืนวงครั้งนี้ The Black Eyed Peas ไม่ได้มาเพียงลำพัง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ต้องการเสียงสะท้อนของผู้คนจำนวนมาก มิวสิกวิดีโอตัวใหม่เต็มไปด้วยภาพและเสียงผู้คนคุ้นหน้า ไม่ว่าจะเป็น ‘จัสติน ทิมเบอร์เลก’ ที่ได้อยู่ในเอ็มวีในที่สุด, ‘Usher’, ‘Jessie J’, ‘DJ Khaled’ และเหล่าเซเลบริตีคนอื่น ๆ ที่มีแนวคิดเห็นพ้องต้องกันกับ ‘The Peas’ แต่เอ็มวีที่ว่าก็ยังสานต่อเรื่องราวของเอ็มวีตัวที่แล้วเมื่อปี 2003 ที่ไม่ได้มีแต่คนมีชื่อเสียงเท่านั้น คนทั่วไปที่ไม่ได้โด่งดังก็มีส่วนร่วมในมิวสิกวิดีโอเช่นกัน สมคอนเซปต์ ‘The Black Eyed Peas ft. The World’ ที่วงต้องการบอกเล่าว่าบทเพลงเพลงนี้คือเสียงสะท้อนจากผู้คนบนโลกทั้งใบ และกำไรจากผลงานชิ้นดังกล่าวจะถูกโอนเข้ามูลนิธิหลากหลายโครงการ โดยเฉพาะมูลนิธิในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายนั่นเอง แม้จะเป็นเรื่องเศร้าที่เวลาผ่านไปมากกว่าสิบปี (สิบสามปีถ้านับถึงปี 2016 และสิบแปดปีถ้านับถึง 2021) หากผู้คนมากมายยังต้องล้มตายเพราะความเกลียดชังไม่ต่างไปจากเดิม ขณะเดียวกัน การมีวงอย่าง The Black Eyed Peas การมีเพลงอย่าง ‘Where Is The Love?’ อยู่บนโลก และการที่เพลงเพลงนี้ยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีในทุกครั้งที่มันหวนกลับมา ก็อาจจะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ‘บนโลกนี้ยังมีความหวัง’ อีกทั้งยังสร้าง awareness เกี่ยวกับความเป็นไปในสังคมได้มากทีเดียว
  เรื่อง: จิรภิญญา สมเทพ ที่มา: https://www.songfacts.com/facts/the-black-eyed-peas/where-is-the-love https://www.telegraph.co.uk/music/interviews/william-making-love-werent-trying-make-hit/ https://www.npr.org/2016/09/11/493491886/black-eyed-peas-hit-where-is-the-love-remixed-in-2016-to-remind https://sosmusicmedia.com/music-that-matters/black-eyed-peas-where-is-the-love https://www.glamour.com/story/black-eyed-peas-update-where-is-the-love