The People Talk: “Nobody ever has to say ‘Me too’ again” สุนทรพจน์เรียกร้องสิทธิสตรีสุดกินใจของ โอปราห์ วินฟรีย์

The People Talk: “Nobody ever has to say ‘Me too’ again” สุนทรพจน์เรียกร้องสิทธิสตรีสุดกินใจของ โอปราห์ วินฟรีย์

The People Talk: “Nobody ever has to say ‘Me too’ again” สุนทรพจน์เรียกร้องสิทธิสตรีสุดกินใจของ โอปราห์ วินฟรีย์

*The People Talk รวมสุนทรพจน์เปลี่ยนโลก *** “Nobody ever has to say ‘Me too’ again” สุนทรพจน์ของ โอปราห์ วินฟรีย์ ในงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 75 เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2018 ณ เบเวอร์ลี ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา    การเรียกร้องปกป้องสิทธิใด ๆ จะมีพลังมากขึ้นหากผู้เรียกร้อง คือเหยื่อผู้ได้รับประสบการณ์ตรง และจะยิ่งทวีพลังมากขึ้นหากผู้นั้นเป็นคนมีชื่อเสียงในสังคม เฉกเช่น โอปราห์ วินฟรีย์ ดาราและพิธีกรรายการทอล์กโชว์ชื่อดังชาวอเมริกัน ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดคนหนึ่งของโลก โอปราห์เคยเปิดเผยเรื่องราวในวัยเด็กของเธอว่า เธอเคยตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศด้วยน้ำมือของคนในครอบครัว รวมถึงเพื่อนชายคนสนิท ด้วยเหตุนี้ เธอจึงใช้โอกาสที่ได้ขึ้นเวทีรับรางวัลใหญ่ในงานลูกโลกทองคำ (Golden Globe Awards) เธอนำความทุกข์ในอดีตมาบอกเล่าปลุกกำลังใจให้ผู้หญิงทุกคนร่วมกันต่อสู้กับปัญหาไปด้วยกัน โอปราห์ขึ้นรับรางวัล Cecil B. DeMille ในฐานะดาราผู้ประสบความสำเร็จตลอดชีวิตอาชีพในวงการบันเทิง และกลายเป็นสตรีแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ สุนทรพจน์ของเธอเริ่มต้นด้วยการเปิดเผยแรงบันดาลใจในวัยเด็กที่เชื่อมโยงกับรางวัลที่ได้รับ ก่อนชื่นชมสื่อมวลชน และบรรดาผู้หญิงทั่วโลกที่ช่วยกันออกมาเปิดโปงเรื่องราวการล่วงละเมิดทางเพศและสร้างความอับอายทางเพศด้วยน้ำมือของผู้ชายที่มีอำนาจ ด้วยการนำประสบการณ์ที่ตกเป็นเหยื่อของตนเองมาบอกเล่า จนกลายเป็นกระแสบนโลกโซเชียลมีเดีย พร้อมแฮชแท็ก #MeToo โอปราห์ยกตัวอย่างเหตุการณ์ของสตรีผู้เป็นตำนานการถูกล่วงละเมิดในอดีต มาเชื่อมโยงกับกระแสเรียกร้องในโลกปัจจุบัน ก่อนจะปิดท้ายสุนทรพจน์ด้วยการปลุกเร้าใจให้พวกเราออกมาช่วยกันทำให้เด็กผู้หญิงรุ่นใหม่ในอนาคต จะไม่ต้องมาบอกว่า ฉันก็เคยตกเป็นเหยื่อมาเหมือนกัน และข้อความต่อจากนี้ คือสุนทรพจน์เต็ม ๆ ของ โอปราห์ วินฟรีห์ ที่กล่าวไว้หลังได้รับรางวัลจากมือของนักแสดงสาว รีส วิตเธอร์สปูน   สุนทรพจน์ “Nobody ever has to say ‘Me too’ again” (ต้องไม่มีผู้หญิงคนใดตกเป็นเหยื่อถูกล่วงละเมิดอีกต่อไป) "อ่าาา! ขอบคุณค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ โอเค-โอเค ขอบคุณ รีส (วิตเธอร์สปูน) ค่ะ "ในปี ค.ศ. 1964 ดิฉันยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ กำลังนั่งเล่นอยู่บนพื้นปูด้วยเสื่อน้ำมันที่บ้านของแม่ดิฉันในเมืองมิลวอกี ชมแอนน์ แบนคอร์ฟต มอบรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในงานอะคาเดมี อวอร์ด ครั้งที่ 36 "เธอเปิดซอง และพูดขึ้นมา 5 คำ ซึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง: ‘ผู้ชนะคือ ซิดนีย์ พอยเทียร์’ "จากนั้นผู้ที่เดินขึ้นมาบนเวทีคือบุรุษผู้สง่างามที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเจอ ดิฉันจำได้ว่าเขาสวมไทสีขาว และแน่นอนว่าเขามีผิวสีดำ "ดิฉันไม่เคยเห็นชายผิวดำได้รับการเฉลิมฉลองแบบนั้นมาก่อน และดิฉันก็พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะอธิบายว่า ช่วงเวลาแบบนั้นมันมีความหมายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงใด เด็กน้อยที่นั่งชมอยู่บนที่นั่งราคาถูก ขณะที่แม่ของดิฉันเปิดประตูเข้ามาด้วยความเหนื่อยล้าจนสายตัวแทบขาดจากการไปทำความสะอาดบ้านให้คนอื่น "แต่สิ่งที่ดิฉันทำได้คือแค่ยกคำพูดของซิดนีย์ ที่บรรยายออกมาในการแสดงเรื่อง Lillies of the Field ที่บอกว่า ‘เอเมน-เอเมน, เอเมน-เอเมน’  "ในปี 1982 ซิดนีย์ได้รับรางวัล Cecil B. DeMille Award ตรงนี้ที่งาน Golden Globes และดิฉันไม่เคยลืมว่า ณ ช่วงเวลานี้ มีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ บางคนอาจกำลังชมอยู่ ขณะที่ดิฉันได้กลายเป็นสตรีผิวดำคนแรกที่ได้รับรางวัลเดียวกันนี้ "มันถือเป็นเกียรติ และมันคือสิทธิพิเศษที่ได้ร่วมแบ่งปันค่ำคืนนี้กับพวกเขาทั้งหลาย รวมถึงท่านบุรุษและสตรีที่น่าเหลือเชื่อ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับดิฉัน ผู้ที่คอยท้าทายดิฉัน ผู้ที่ช่วยประคับประคองดิฉันและทำให้หนทางสู่เวทีแห่งนี้ของดิฉันเป็นจริง "เดนนิส สวอนสัน ผู้ให้โอกาสดิฉันในรายการ A.M. Chicago, ควินซี โจนส์ ผู้เห็นดิฉันในรายการนั้นและไปบอกกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก ว่า ‘ถูกต้องแล้ว เธอคือโซเฟียในเรื่อง The Color Purple’ "เกล คือคำจำกัดความของคำว่าเพื่อนคืออะไร และ สเตดแมน ผู้คอยช่วยเหลือดิฉันอยู่เสมอ อีกสักสองสามคนที่ต้องเอ่ยนาม ดิฉันขอขอบพระคุณสมาคมสื่อต่างประเทศฮอลลีวูด (Hollywood Foreign Press Association) เพราะพวกเราทุกคนรู้ดีว่า ทุกวันนี้สื่อมวลชนกำลังถูกโจมตีอย่างหนัก "แต่พวกเราก็รับรู้ด้วยว่า มันคือการรับผิดชอบต่อหน้าที่แบบไม่มีวันหยุด เพื่อให้ค้นพบความจริงสมบูรณ์ที่ไม่ทำให้เราเสแสร้งแกล้งทำเหมือนไม่มีการคอร์รัปชันและความอยุติธรรมเกิดขึ้น ไม่มีผู้ปกครองที่กดขี่และเหยื่อ, ความลับ และการโกหก  "ดิฉันต้องการพูดว่า ดิฉันให้คุณค่ากับสื่อมวลชนมากกว่าที่เคยเป็นมา ในขณะที่เราพยายามกำหนดเส้นทางเดินไปในห้วงเวลาอันสลับซับซ้อนเหล่านี้ "ซึ่งนำดิฉันมาสู่สิ่งนี้: สิ่งที่ดิฉันรู้แน่นอนก็คือ การพูดความจริงเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สุดที่พวกเรามี และดิฉันก็ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และได้แรงบันดาลใจจากผู้หญิงทุกคนที่รู้สึกเข้มแข็งเพียงพอ และมีอำนาจเพียงพอในการออกมาพูด และแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวของพวกเธอ "พวกเราแต่ละคนในห้องนี้ได้รับการเฉลิมฉลองเพราะเรื่องราวที่พวกเราบอกเล่าไป และในปีนี้เราได้กลายเป็นข่าว แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องราวที่กระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเท่านั้น มันคือสิ่งที่อยู่เหนือทุกวัฒนธรรม สภาพทางภูมิศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา การเมือง หรือแม้กระทั่งสถานที่ทำงาน "ด้วยเหตุนี้ ดิฉันอยากใช้คืนนี้เพื่อแสดงความขอบคุณแก่ผู้หญิงทุกคน ผู้ซึ่งอดทนต่อการล่วงละเมิดและทำร้ายมาเป็นเวลานานหลายปี เพราะพวกเธอ, คล้ายกับแม่ของดิฉัน, มีลูกๆ ให้ต้องเลี้ยงดู มีค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟให้ต้องจ่าย และมีความฝันให้วิ่งไล่ไขว่คว้า  "พวกเธอคือสตรีที่เราจะไม่มีวันได้รู้จักชื่อ พวกเธอคือคนรับใช้ภายในบ้าน และคนงานตามเรือกสวนไร่นา, พวกเธอกำลังทำงานอยู่ในโรงงาน ในร้านอาหาร และพวกเธออยู่ตามสถาบันการศึกษา ในภาควิชาวิศวกรรม การแพทย์ และวิทยาศาสตร์, พวกเธอเป็นส่วนหนึ่งของโลกเทคโนโลยี การเมือง และธุรกิจ, พวกเธอคือนักกีฬาในโอลิมปิก และพวกเธอคือทหารในกองทัพของพวกเรา "นอกจากนี้ พวกเธอยังเป็นคนอื่น ๆ อีก: ริซี เทย์เลอร์ คือชื่อที่ดิฉันรู้จัก และดิฉันคิดว่าพวกท่านก็ควรรู้จักด้วยเช่นกัน "ในปี 1944 ริซี เทย์เลอร์ เป็นภรรยาและคุณแม่ในวัยสาว เธอแค่กำลังเดินกลับบ้าน หลังจากไปเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาในโบสถ์แห่งหนึ่งที่เมืองแอบบีวิลล์ รัฐแอละแบมา เมื่อเธอถูกลักพาตัวไปด้วยฝีมือของชายผิวขาวพร้อมอาวุธ 6 คน เธอถูกข่มขืน และปิดตาทิ้งไว้ข้างถนนบนเส้นทางจากโบสถ์สู่บ้านของเธอ "พวกเขาข่มขู่จะฆ่าเธอหากนำเรื่องนี้ไปบอกใคร แต่เรื่องราวของเธอก็ถูกรายงานต่อ N.A.A.C.P. (สมาคมเพื่อความก้าวหน้าของชนผิวสีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นสถานที่ที่พนักงานสาวคนหนึ่งชื่อ โรซา พาร์กส์ ได้ทำหน้าที่เป็นพนักงานสืบสวนหลักในคดีนี้ และเธอทั้งคู่ก็ได้ร่วมมือกันเรียกร้องความยุติธรรม "ทว่า ความยุติธรรมไม่ใช่ทางเลือกในยุคของจิม โครว์ (กฎหมายแบ่งแยกสีผิวในอดีต) พวกผู้ชายที่พยายามทำร้ายเธอไม่เคยถูกดำเนินคดี "ริซี เทย์เลอร์ เสียชีวิตเมื่อ 10 วันที่ผ่านมา เพียงไม่กี่วันก่อนครบรอบวันเกิดปีที่ 98 ของเธอ ชีวิตของเธอเหมือนกับพวกเราทุกคนที่มีชีวิตอยู่มายาวนานหลายปีเกินไปในวัฒนธรรมที่แตกสลายด้วยน้ำมือของบรรดาผู้ชายมีอำนาจที่ป่าเถื่อนโหดร้าย "และมันยาวนานเกินไปที่ผู้หญิงไม่ได้รับการรับฟังหรือเชื่อถือ หากพวกเธอกล้าออกมาพูดความจริงต่ออำนาจของพวกผู้ชายเหล่านั้น แต่ตอนนี้เวลาของพวกเขาหมดลงแล้ว เวลาของพวกเขาหมดแล้ว พวกเขาไม่มีเวลาเหลือแล้ว "และดิฉันก็หวังว่า ริซี เทย์เลอร์ ได้จากโลกนี้ไปโดยรู้ว่า ความจริงของเธอ เหมือนกับความจริงของผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกมากมายที่ถูกทำให้ทุกข์ทรมานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และแม้กระทั่งทุกข์ทรมานอยู่ ณ ตอนนี้ ยังคงถูกบอกเล่าต่อ ๆ กันไป  "มันคือบางแห่งในหัวใจของ โรซา พาร์กส์ เกือบ 11 ปีหลังจากนั้น เมื่อเธอตัดสินใจไม่ยอมลุกจากที่นั่งบนรถประจำทางในเมืองมอนต์โกเมอรี และมันอยู่ตรงนี้กับผู้หญิงทุก ๆ คนที่เลือกจะพูดว่า ‘Me too (ดิฉันก็เช่นกัน)’ และกับผู้ชายทุก ๆ คน- ผู้ชายทุก ๆ คนที่เลือกจะรับฟัง "ในอาชีพการงานของดิฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันพยายามทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวงการโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ คือการพูดบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัวกันจริง ๆ ของผู้หญิงและผู้ชาย เพื่อบอกว่าพวกเรามีประสบการณ์น่าอับอายอย่างไร เรารักกันและโกรธเกลียดกันอย่างไร เราล้มเหลวอย่างไร เรายอมถอยอย่างไร เดินหน้าลุยต่อ และเราเอาชนะได้อย่างไร "และดิฉันยังได้สัมภาษณ์ และทำให้เห็นภาพของผู้คนที่ยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งน่ารังเกียจที่สุดบางอย่างที่สามารถกระโจนเข้ามาในชีวิตของพวกท่าน แต่มีคุณสมบัติหนึ่งที่ดูเหมือนพวกเขาทุกคนมีร่วมกัน นั่นคือความสามารถในการรักษาความหวังที่จะเห็นเช้าวันใหม่ที่สดใสกว่า แม้กระทั่งในค่ำคืนที่มืดมิดที่สุดของพวกเราก็ตาม "ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงอยากให้เด็กผู้หญิงทุกคนที่กำลังชมอยู่ที่นี่และเวลานี้ได้รับรู้ว่า วันใหม่นั้นอยู่ตรงที่ปลายขอบฟ้า และเมื่อในที่สุดมีแสงแห่งรุ่งอรุณเกิดขึ้นในวันใหม่นั้น มันจะเกิดขึ้นเพราะบรรดาผู้หญิงที่สวยงามน่าชื่นชมทั้งหลาย หลายคนอยู่ที่นี่ในห้องนี้ในคืนนี้ และผู้ชายที่แสนพิเศษน่ารักบางคน กำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้มั่นใจว่า พวกเขาจะกลายเป็นผู้นำที่พาเราไปสู่ห้วงเวลาที่ไม่มีใครต้องพูดคำว่า ‘Me too’ อีกต่อไปแล้ว  "ขอบคุณค่ะ"   ข้อมูลอ้างอิง: https://www.youtube.com/watch?v=LyBims8OkSY