เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือสิงห์อมควัน อดีตนายแบงค์ กับการเลือกทางเดินของตัวเอง

เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือสิงห์อมควัน อดีตนายแบงค์ กับการเลือกทางเดินของตัวเอง
ชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตของชายที่ชื่อ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ในหัวของเขามีแต่เรื่อง “ฟุตบอล” เต็มไปหมด และมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมาตลอด 59 ปีที่เขามีชีวิตอยู่ ซาร์รี่เกิดที่บาโญลี ในเมืองเมเปิลส์ ประเทศอิตาลี พ่อของเขาเป็นอดีตนักปั่นจักรยาน ที่ชีวิตพลิกผันให้กลายเป็น พนักงานขับรถเครนยกเหล็กในไซต์งานก่อสร้าง ซาร์รี่ฝันมาเสมอว่าจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้ แต่ความฝันนั้นก็ไม่เคยเป็นจริง ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ของเขาโตที่ฟลอเรนซ์ และทัสคานี เพราะต้องติดสอยห้อยตามพ่อที่เป็นนักปั่นจักรยานไปยังทุกที่ แต่หลังย้ายกลับมาอยู่ที่ทัสคานี ซาร์รี่ ก็ฉายแววอัจริยะด้านกีฬาหลายชนิด โดยเฉพาะฟุตบอลกับจักรยาน และนั่นทำให้ซาร์รี่ต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเอาดีด้านไหนกันแน่ จะเลือกเตะฟุตบอลตามความฝันของตัวเอง หรือ จะเลือกเป็นนักปั่นและทำตามความฝันของพ่อเขาแทน สุดท้าย ซาร์รี่ ตัดสินใจเลือกเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่แม้จะมีพรสวรรค์และพรแสวงมากเพียงใด แต่หากไร้โชค ชีวิตนักกีฬาของคุณก็อาจจะจบลงได้ทุกเมื่อ ซาร์รี่ได้เข้าร่วมทีมท้องถิ่นของทัสคานี และได้เล่นในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง เขามีโอกาสเดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับยอดทีมดังของศึกกัลโช่ เซเรีย อา อย่าง ฟิออเรนตินา และ โตริโน แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขา ซาร์รี่ได้รับบาดเจ็บขั้นรุนแรงและนั่นเป็นการยุติความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาลงทันที หลายคนมองว่าถ้าเขาไม่เจ็บเสียก่อนอาจมีโอกาสได้ไปเล่นให้กับยอดทีมของอิตาลีอย่างนาโปลี ทีมบ้านเกิดของตัวเอง หรือเผลอ ๆ อาจก้าวขึ้นไปยืนปราการหลังตัวกลางในทีมชาติคู่กับ แกตาโน่ ชีแร หรือ ฟรันโก บาเรซี ก็เป็นได้ แต่ชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป สุดท้ายเขาผันตัวไปเป็นนายธนาคารที่เดย์ ปาสคี ดิ ซิเอนา (Monte dei Paschi di Siena) ธนาคารที่ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก การเป็นนายธนาคารทำเงินให้กับซาร์รี่ได้มากโข และทำให้เขายังมีโอกาสได้เดินทางรอบโลกอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะลอนดอนและลักเซมเบิร์ก แต่ซาร์รี่ก็ไม่เคยลืมฟุตบอล เขามักจะหาเวลาอยู่เพื่อมันเสมอ และมักจะเข้างานแต่เช้า เพื่อช่วงบ่ายและเย็นจะได้ใช้เวลาอยู่กับการเล่นฟุตบอลและอบรมการเป็นโค้ช
“ผมต้องตื่นหกโมงเช้าทำงานอย่างหนักเสมอ แต่ฟุตบอลคืองานเดียวในโลก ที่ผมจะทำมันโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนก็ได้” ”
สุดท้าย ซาร์รี่ ก็ทำตามใจปรารถนา เขาหันหลังให้กับงานที่แสนมั่นคง และมุ่งหน้าทำตามความฝันกับการเป็น “ผู้จัดการทีมฟุตบอล” ช่วงยุค 90s เขาได้คุมทีมสโมสรเล็ก ๆ ในทัสคานี หลักสิบ ๆ สโมสร และเชื่อหรือไม่ว่าเขาเพิ่งจะได้ขึ้นมาคุมทีมในฟุตบอลระดับสูงเมื่อปี 2012 เท่านั้นเอง หลายคนอาจจะรู้จักซาร์รี่ในฐานะผู้จัดการทีมจากการที่เขาพานาโปลี กลับขึ้นมาเป็นทีมแถวหน้าของกัลโช่ เซเรีย อา ได้อีกครั้ง แต่จุดเปลี่ยนในชีวิตของชายคนนี้อยู่ที่การพาเอ็มโปลี กลับขึ้นมาเล่นในเซเรีย อา ได้ในรอบกว่าหกฤดูกาล ซาร์รี่พูดเสมอว่าการเคยเป็นนายธนาคารช่วยทำให้เขากลายเป็นโค้ชที่ดี “ประสบการณ์ที่ธนาคารเป็นอะไรทื่มีคุณค่า ผมเรียนรู้คุณค่าขององค์กร และที่นั่นสอนในเรื่องการตัดสินใจสำคัญ ๆ ให้กับผม”  สไตล์การคุมทีมของซาร์รี่ จะเน้นเกมบุกและการต่อบอลที่แม่นยำ ตั้งแต่แผงหลังยันกองหน้า แต่ละเกมเราจะได้เห็นกองหลังของซาร์รี่ดันขึ้นเกมอยู่เสมอ ซาร์รี่มาพร้อมกับ 33 สูตรลูกตั้งเตะซึ่งเขานำแผนการเหล่านี้มาปรับใช้กับทุกทีมที่เขาคุม จนถูกเรียกว่าเป็น “Mr.33” และแน่นอนเขามักจะมาพร้อมกับบุหรี่ที่ปากอันเป็นเครื่องหมายประจำตัวของชายคนนี้         เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือสิงห์อมควัน อดีตนายแบงค์ กับการเลือกทางเดินของตัวเอง        กุนซือสัญชาติอิตาเลียน มักขึ้นชื่อในเรื่องการเป็นสิงห์อมควันอยู่แล้ว ทั้งมาร์เซโล ลิปปี้, คาร์โล อันเชล็อตติ หรือ วอลเตอร์ มาซซารี ก็ผ่านการสูบบุหรี่ข้างสนามมาแล้ว และโดยเฉพาะ ซาร์รี่ เองก็ชอบแอบไปสูบบุหรี่ระหว่างเกมเสมอ ๆ ซาร์รี่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุยังน้อย จากแหล่งข่าวของ The Mirror เล่าว่าภายใน 4-5 ชั่วโมง ซาร์รี่ต้องสูบบุหรี่เฉลี่ยวันละ 80 มวนต่อวัน (ตกวันละ 4 ซองต่อวันเลยทีเดียว) ย้อนกลับไปในเกมที่ ไลป์ซิก เปิดบ้านพบ นาโปลี ในยูโรป้า ลีก รอบน็อคเอาต์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 ไลป์ซิกได้จัดทำพื้นที่พิเศษขนาดกว่า 3 เมตร คูณ 3 เมตร ไว้ให้ซาร์รี่สูบบุหรี่โดยเฉพาะ และดูเหมือนที่ เชลซี ก็ได้ทำห้องสูบบุหรี่ไว้ให้ซาร์รี่เช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวลือระหว่างช่วงซาร์รี่เข้ามาคุมทีมใหม่ ๆ ว่า โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสร ไม่ค่อยปลื้มกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ข้างสนามของซาร์รี่เท่าไหร่ โดยออกกฏห้ามเขาสูบบุหรี่ระหว่างคุมทีมข้างสนาม โดยมองว่าน่าจะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของสโมสร และที่สำคัญอาจโดน เอฟ เอ แบนได้ ซาร์รี่ เคยเผยกับสื่อเมื่อถูกถามเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ข้างสนามในพรีเมียร์ลีกว่า “ผมค่อนข้างเป็นคนเปิดเผย ผมไม่ทำสิ่งที่จะกลายเป็นปัญหาแน่ ๆ (สูบบุหรี่) ผมหวังว่าพวกคุณจะได้เห็นว่าผมอยู่และทำงานที่นี่ยังไง” ในเมื่อห้ามสูบ ก็เคี้ยวซะเลย สุดท้าย ซาร์รี่แก้ความอยากของตัวเองด้วยการเคี้ยวบุหรี่ระหว่างคุมทีมแทน ก่อนหน้านี้ ซาร์รี่ เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก “เหยียดเชื้อชาติ และโฮโมโฟเบีย” กลายเป็นข่าวใหญ่โตถึงขนาดเคยถูกปรับ 20,000 ยูโร และถูกแบนสองเกมจากข้อหาเรื่องการใช้คำเชิงเหยียดเชื้อชาติ กับอดีตโค้ชแมนฯ ซิตี้อย่าง โรแบร์โต มันชินี แม้อดีตโค้ชจะเคยโดนด่า แต่โค้ชซิตี้คนปัจจุบันอย่าง เป๊ป กวาดิโอลา ก็ออกมาเชิดชูซาร์รี่ว่าเป็นคนเก่งคนหนึ่งในวงการฟุตบอล “เขาคือหนึ่งในคนเก่งที่สุด” เป๊ป เผย การคุมเชลซี คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของซาร์รี่ เพราะนี่ถือเป็นงานนอกประเทศครั้งแรกของเขา แต่ดูจากสถานการณ์ของเขากับเชลซีในปัจจุบัน บอกได้เลยว่าอนาคตในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของซาร์รี่ ก็ยังคงกลายเป็นเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเร่อ ฤดูกาลหน้าเราจะได้เห็นชายคนนี้บนเสื้อสีน้ำเงินของเชลซีอีกหรือไม่คงต้องรอติดตามกัน