“เพื่อน! กูรักเมียมึง” รักสามเส้าสนั่นโลก สู่เพลงอมตะ ‘Wonderful Tonight’ ของเอริค แคลปตัน

“เพื่อน! กูรักเมียมึง” รักสามเส้าสนั่นโลก สู่เพลงอมตะ ‘Wonderful Tonight’ ของเอริค แคลปตัน

เรื่องราวรักสามเส้าระหว่างยอดศิลปินอย่าง เอริค แคลปตัน นักกีตาร์บลูส์, จอร์จ แฮร์ริสัน สมาชิก The Beatles และ แพตตี้ บอยด์ นางแบบสาวสวย จนทำให้เกิดเพลงอมตะ ไม่ว่าจะเป็น Layla, Something และ Wonderful Tonight

  • ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างจอร์จ แฮร์ริสัน กับแพตตี้ บอยด์ มีปัญหา เอริค แคลปตัน เข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ
  • บทเพลงที่เกิดขึ้นท่ามกลางเส้นทางสัมพันธ์รักสามเส้า คือเพลง ‘Wonderful Tonight ที่แคลปตัน แต่งให้กับแพตตี้ บอยด์ 

เรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้นับเป็นอีกหนึ่งตำนานแห่งวงการเพลงอังกฤษ เรื่องราวรักสามเส้าของคนสามคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน!

ทุกอย่างมันเริ่มมาจากการที่ เอริค แคลปตัน (Eric Clapton) นักร้อง, นักกีตาร์ชื่อดัง ดันไปหลงรัก แพตตี้ บอยด์ (Pattie Boyd) ภรรยาของเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) แห่งวงเดอะ บีเทิลส์ (The Beatles) นี่คือข่าวฉาวที่โด่งดังและถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงทศวรรษ 70s ความรักต้องห้ามที่กลายมาเป็นที่มาของเพลงดังอย่าง ‘Something’, ‘I Need You’, ‘Layla’ และ Wonderful Tonight’

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1964 เดอะ บีเทิลส์ โด่งดังสุดขีดในอเมริกา หลังพวกเขาปรากฏตัวในรายการ The Ed Sullivan Show ซึ่งว่ากันว่าในวันนั้นมียอดคนดูสูงกว่า 73 ล้านคน และทำให้วงคณะ ‘สี่เต่าทอง’ (ฉายาที่คนไทยมักเรียกเท่านั้น - กองบรรณาธิการ) กลายเป็นวงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด

ภาพตัดกลับมาที่ แพตตี้ บอยด์ (Pattie Boyd) นางแบบ, ช่างภาพสาวสวยชาวอังกฤษ ที่กำลังเริ่มต้นเส้นทางอาชีพในวงการบันเทิงจากการเป็นนางแบบขึ้นปกนิตยสาร Vogue ในตอนนั้น บอยด์ เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่มาจากเมืองธอร์นตัน และรักในการถ่ายภาพ แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาลหลังได้มีโอกาสเข้าฉากเล็ก ๆ ในหนัง A Hard Day's Night ของผู้กำกับ ริชาร์ด เลสเตอร์ หนังที่เล่าเรื่องราวของวงเดอะ บีเทิลส์ 

ในหนังเรื่องนั้น บอยด์ มีบทพูดแค่เพียงประโยคสั้น ๆ ว่า “นักโทษเหรอ?” ถึงแม้มันจะเป็นประโยคที่ไม่มี impact เท่าไหร่ แต่ด้วยความสวยของเธอ ก็สะดุดตาสะดุดใจ จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) สมาชิกคนดังของวงเป็นอย่างมาก

เรียกได้ว่าปิ๊งเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น แน่นอนหนุ่มแฮร์ริสัน ไม่รอช้าเดินหน้าเข้าไปขายขนมจีบเต็มที่ พร้อมกับหยอดคำหวานต่าง ๆ นานา แถมถึงขั้นขอเธอแต่งงานเลยทีเดียว แต่แล้วเขาก็ต้องเดินคอตกกลับมา เมื่อรู้ว่าเธอกำลังคบหากับผู้ชายคนอื่นอยู่

ตอนนั้นคงไม่มีใครเชื่อว่า บอยด์ จะกล้าปฏิเสธหนึ่งในสมาชิกของวงที่กำลังโด่งดังที่สุดในโลก แน่นอนเรื่องนี้ทำเอา แฮร์ริสัน อกหักดังเป๊าะ แต่แล้วโชคก็เหมือนจะเข้าข้างเขา เพราะไม่กี่วันต่อมา บอยด์ กลับมาเข้าฉากอีกครั้งพร้อมกับสถานะที่เปลี่ยนไป

ใช่แล้ว เธอเพิ่งจะเลิกกับ เอริค สเวนย์ แฟนหนุ่มช่างภาพ และเมื่อรู้ว่า บอยด์ โสดสนิทอีกครั้ง คราวนี้ แฮร์ริสัน ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปอีก

เขาตัดสินใจเดินเข้าไปถามคำถามเดิมกับเธอว่า “คุณจะแต่งงานกับผมได้ไหม แต่ถ้าคุณไม่อยาก คุณจะไปทานอาหารค่ำกับผมคืนนี้แทนได้ไหมคร้าบบบ?”

บอยด์ ตอบรับการเดทของ แฮร์ริสัน ในวันนั้น และอีกสองปีต่อมาทั้งคู่ก็แต่งงานกันโดยมีหนุ่ม พอล แมคคาร์ทนีย์ เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว 

แพตตี้ บอยด์ และ จอร์จ แฮร์ริสัน เมื่อปี 1966 ภาพจาก Getty Images

“ตอนนั้นฉันอายุ 21-22 ได้ และเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขและมีความรักเต็มหัวใจ ตอนนั้นฉันคิดว่าเราจะอยู่ด้วยกันและมีความสุขแบบนี้ตลอดไป ”

บอยด์ เล่าย้อนความหลัง ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข ชนิดคนต้องมองบนแทบตาถลนเพราะหนุ่มแฮร์ริสัน มักจะทำหวานแต่งเพลงให้ภรรยาบ่อยครั้ง

หนึ่งในนั้นคือเพลงสุดโรแมนติกอย่าง ‘Something’ จากอัลบั้ม Abbey Road (1969) มาถึงตอนนี้พวกเขาดูจะเป็นคู่รักน่าอิจฉาที่สุดคู่หนึ่งของเกาะอังกฤษ แต่แล้วการปรากฏตัวของชายที่ชื่อ เอริค แคลปตัน (Eric Clapton) ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ภารกิจเคลมเมียเพื่อนสะท้านวงการ 

ในช่วงทศวรรษ 60s อันเป็นยุคเฟื่องฟูของดนตรีร็อกแบบอังกฤษ เอริค แคลปตัน ได้กลายมาเป็นที่รู้จักในฐานะนักกีตาร์สุดฮอตเจ้าของฉายา “Mr.Slowhand” จากการร่วมงานกับหลายวงไล่ตั้งแต่ The Yardbirds, John Mayall และ Cream

แคลปตัน กับสำเนียงกีตาร์บลูส์และสุ้มเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาโดดเด่นอย่างมากจน แฮร์ริสัน อดใจไม่ไหวต้องพา บอยด์ มาชมการแสดงสดของแคลปตันที่ลอนดอนบ่อย ๆ จนทำให้ทั้งสามรู้จักกันและกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันในท้ายที่สุด

แคลปตัน กลายเป็นเพื่อนสนิทที่แฮร์ริสัน มองหามานาน ทั้งคู่ต่างประทับใจและชื่นชมอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก พวกเขามักจะสร้างสรรค์งานเพลงร่วมกันบ่อยครั้ง รวมถึงขึ้นแจมกันบนเวทีคอนเสิร์ตต่าง ๆ หลังวง Cream พักงานเพลงในปี 1969 แคลปตัน ก็เข้าขั้นจิตตกอย่างมาก เขาตัดสินใจหั่นเงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อบ้านในย่านเซอร์เรย์ ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกันกับที่ แฮร์ริสัน และ บอยด์ อาศัยอยู่ เพราะหวังว่ามันจะช่วยทำให้เขาหายเหงาได้บ้าง

ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ของแฮร์ริสัน และบอยด์ เริ่มเปลี่ยนไป หลังฝ่ายชายเริ่มตีตัวออกห่างเพราะกำลังสนใจในเรื่องวิถีฮินดู การนั่งสมาธิ และยาเสพติด (LSD)

ด้านบอยด์ ก็เคยออกโรงสับอดีตสามีในหนังสือชีวประวัติของตัวเองว่า

“ใคร ๆ ก็ว่าหวาน แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ในความเป็นจริงความสัมพันธ์ของเรากำลังมีปัญหา บางครั้งเขาก็ไม่สนใจฉัน มันทำให้ฉันเริ่มรู้สึกอยากตาย”

แคลปตัน ที่มักจะขลุกตัวอยู่ในบ้านของแฮร์ริสันเสมอ เริ่มเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ภายในบ้าน และคอยแอบเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนอยู่ห่าง ๆ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าลึก ๆ แล้ว เพื่อนสนิทคนนี้กำลังจะคิดไม่ซื่อกับเขาซะแล้ว

ใช่แล้ว ความใกล้ชิดกับบอยด์ ทำให้แคลปตัน แอบมีใจให้กับภรรยาของเพื่อนสนิทตัวเอง...อ่าวดนตรีมา! “เพื่อนคนนี้เปลี่ยนไปเป็นรักเธอ”

แค่นี้ไม่พอ ที่พีกหนักไปกว่านั้นคือ ตัวสาวบอยด์ ก็แอบมีใจให้กับแคลปตัน มานานแล้วเหมือนกัน เอาแล้วววววว!!!

“เขา (แคลปตัน) เป็นคนที่แสดงได้น่าทึ่งมาก ๆ เขาดูวิเศษสุด ๆ เวลาอยู่บนเวที เขาดูเซ็กซี่มาก ๆ ตอนที่ฉันเจอเขาครั้งแรก เขาไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนพวกร็อกสตาร์เลย เขาค่อนข้างดูขี้อายและสงวนท่าทีอย่างน่าแปลกใจเชียวล่ะ ฉันรู้เลยว่าเขาคิดว่าฉันน่าดึงดูด และฉันชอบความสนใจที่เขามีต่อฉันเช่นกัน”

รู้ว่าผิดแต่ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้!

ในปี 1969 แคลปตัน ถึงขั้นลงทุนคบหาดูใจปลอม ๆ กับพอลล่า บอยด์ น้องสาวแท้ ๆ ของแพตตี้ เพื่อหวังจะได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น แต่แล้วทุกอย่างก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะแคลปตัน เริ่มไม่สามารถต้านทานความรักที่เขามีให้กับบอยด์ ได้

ทุกอย่างเริ่มกระจ่างขึ้นเมื่อพอลล่า ได้ฟังเพลงใหม่ที่แคลปตัน แต่งขึ้น ในตอนนั้นเธอรับรู้ได้ทันทีว่าเพลงนี้เกี่ยวกับพี่สาวของเธอ นั่นจึงทำให้เธอยุติความสัมพันธ์กับ แคลปตัน ทันที

ในเวลาไล่เลี่ยกัน แคลปตัน ตัดสินใจขอร้องให้บอยด์ มาหาเขาอย่างลับ ๆ ที่แฟลตของเขาในย่านเคนซิงตัน ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่แคลปตัน ได้เผยความในใจที่มีของเขาต่อเธอ ผ่านเพลง ‘Layla’

“เราพบกันอย่างลับ ๆ ที่แฟลตทางตอนใต้ของเคนซิงตัน เอริค ขอให้ฉันมาหาเขาเพื่อฟังเพลงใหม่ที่เขาเขียน พอไปถึงเขาเริ่มเปิดเทปที่อัดไว้และเล่นตามให้ฉันฟัง มันเป็นเพลงที่มีพลังที่สุดเท่าที่ฉันเคยฟังมา เขาก็ดูปฏิกิริยาที่ฉันมีต่อมัน

ฉันคิดในใจตอนนั้น ‘พระเจ้า ทุกคนต้องรู้แน่ ๆ ว่าเพลงนี้หมายถึงฉัน’ เอริค ค่อนข้างชัดเจนสำหรับความต้องการในตัวฉันอยู่หลายเดือน จนฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดที่เขาพาฉันไปในทิศทางที่ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าอยากไปไหม แต่เมื่อฉันนึกได้ว่าฉันเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดอารมณ์ความสร้างสรรค์ เพลงดีก็เพราะฉัน ฉันเลยไม่อาจต้านทานได้”

ทั้งคู่เริ่มมีใจให้กันมากขึ้น แถมแอบกินกันลับหลังแฮร์ริสัน แต่ในขณะเดียวกัน บอยด์ ก็เริ่มรู้สึกผิดกับสามีตัวเอง และในงานปาร์ตี้ที่บ้านของโรเบิร์ต สติกวูด ก็เป็นครั้งแรกที่แคลปตัน เปิดอกพูดเรื่องนี้กับแฮร์ริสัน โดยบอยด์ เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นว่า

“จอร์จ เดินเข้ามาถามว่า ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’ และสิ่งที่ฉันกลัวก็เกิดขึ้น เมื่อ เอริค พูดว่า ‘ฉันต้องบอกนายแล้วว่ะ ว่าฉันตกหลุมรักเมียนาย’

ตอนนั้นนี่ฉันอยากตายจริง ๆ และจอร์จ ก็โกรธมากแบบควันออกหู เขาพูดขึ้นมาว่า ‘แล้ว..เธอจะไปกับมันหรือจะมากับฉันล่ะ’

ครั้งต่อไปที่ฉันเจอเอริค คืออยู่ ๆ เขาก็โผล่มาแบบบังเอิญที่ ไฟรเออร์ ปาร์ค (บ้านของแฮร์ริสันในย่านอ็อกซ์ฟอร์ดเชียร์) ตอนนั้นจอร์จ ไม่อยู่ เขาบอกว่าอยากให้ฉันหนีไปอยู่กับเขา เขารักฉันแบบโงหัวไม่ขึ้นและอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฉัน เขาอยากจะให้ฉันไปจากจอร์จ เดี๋ยวนี้และไปอยู่กับเขา”

“ ‘เอริค คุณเป็นบ้าหรือไง มันเป็นไปไม่ได้เลย ฉันแต่งงานกับจอร์จ นะ’ เขาพูดต่อว่า ‘ไม่ ไม่ ไม่ ผมรักคุณ ผมต้องการจะมีคุณในชีวิตของผม’ ไม่ นั่นคือสิ่งที่ฉันพูด ทันใดนั้นเองเขาก็หยิบกระปุกเล็ก ๆ จากกระเป๋ากางเกงแล้วพูดว่า ‘ได้ ถ้าคุณไม่ยอมมากับผม ผมจะใช้เจ้านี่’

ใช่แล้วมันคือเฮโรอีน ฉันพยายามคว้ามันจากเขา แต่เขาเก็บไปก่อนและพูดว่า ‘ถ้าคุณไม่ไปกับผม ก็ตามนั้น ได้ ผมยอม’ เขาเดินจากไป และฉันไม่ได้พบเขาอีกเลย จนกระทั่งอีกสามปีต่อมา”

แคลปตัน ติดยาเสพติดอย่างหนักนับตั้งแต่ตอนนั้น ชีวิตของเขาดำดิ่งลงเรื่อย ๆ เขาไม่แม้แต่ออกจากบ้านหรือไปเจอเพื่อนฝูง ยิ่งไปกว่านั้น แคลปตัน ถึงขั้นหมดอาลัยตายอยาก ไม่รับทั้งโทรศัพท์หรือแม้กระทั่งเดินไปเปิดประตู แต่โชคดีที่เขามีเพื่อนดี ๆ ในวงการหลายคน พีท ทาวน์เซนด์ แห่งวง The Who คือหนึ่งในนั้น เขาคือชายคนสำคัญที่ผลักดันให้แคลปตัน หันมาบำบัดและรักษาอาการเสพติดต่าง ๆ จนสุดท้าย แคลปตัน ก็กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน ชีวิตคู่ของบอยด์ และแฮร์ริสัน ก็แย่ลงนับตั้งแต่เหตุการณ์ในปาร์ตี้วันนั้น ตลอดเวลา แฮร์ริสัน รู้ทั้งรู้ว่าภรรยาของตัวเองกับเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งกำลังแทงข้างหลังเขา แต่เขาเลือกที่จะทำเหมือนไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ในจุดที่แทบไม่รู้จักกันอีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อมา บอยด์ ได้รับรู้เรื่องราวที่แฮร์ริสัน แอบไปมีความสัมพันธ์กับมอรีน ค็อกซ์ ภรรยาของอดีตเพื่อนร่วมวงอย่างริงโก้ สตาร์ เรื่องนี้ยิ่งทำให้บอยด์ รู้ว่าชีวิตคู่ของเธอกับ แฮร์ริสัน ได้จบลงแล้ว

“ริงโก้ ไม่รู้เรื่องเลย จนวันหนึ่งฉันโทรไปบอกเขาว่า ‘รู้ไหมทำไมวันนี้เมียของนายไม่กลับบ้านคืนนี้ ก็เพราะว่าตอนนี้เธออยู่ที่นี่น่ะสิ’” บอยด์ เล่าย้อนความหลัง

“จอร์จ ยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป และนั่นทำให้ฉันนอยด์มาก ฉันรู้สึกเหมือนโดนทำร้ายจิตใจและไม่ถูกรัก และ จอร์จ ก็เป็นคนที่พูดคุยด้วยยากมาก เขายิ่งทำตัวแย่มากในช่วงปีสุดท้าย อาจเป็นเพราะ เอริค ยังคงมาป้วนเปี้ยนและทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าเขาอยากเจอฉัน จอร์จต้องมีเซนส์แหละว่าเราเป็นชู้กันแต่เขาก็ไม่เคยพูดมันออกมา” 

ในงานศพของคีธ มูน มือกลอง The Who เมื่อปี 1978 เป็นครั้งแรกที่แฮร์ริสัน และแคลปตัน กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง หนึ่งในพยานคนสำคัญของเหตุการณ์นี้คือจอห์น เฮิร์ท นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษ

โดยเฮิร์ท เล่าว่า แฮร์ริสัน ต้องการจะหลุดพ้นจากช่วงเวลา awkward (กระอักกระอ่วน - กองบรรณาธิการ) แบบนี้ เขาจึงตัดสินใจลงไปที่ห้องด้านล่างพร้อมกับแอมป์และกีตาร์อย่างละ 2 ตัว ก่อนจะเล่นมันเรื่อย ๆ จนกระทั่งแคลปตัน เดินลงมา ทันใดนั้นเอง แฮร์ริสัน ก็ได้ยื่นกีตาร์ให้กับแคลปตัน ก่อนทุกอย่างจะจบด้วยการที่ทั้งคู่ดวลกัน

“สมัยก่อนเวลาผู้ชายจะสู้กัน พวกเขามักจะยื่นดาบให้กันก่อนจะลงเอยด้วยการต่อสู้ ตอนนั้นทุกอย่างอบอวลไปด้วยความตื่นเต้นจากดนตรีของพวกเขา ตลอดสองชั่วโมงพวกเขาเล่นมันโดยไม่พูดกันสักคำเดียว แต่พอจบทุกคนก็รู้ ๆ กันว่า เอริคชนะ ถึงแม้เขาจะเมามาก เขาเล่นชนิดที่ว่าไม่มีใครจะสู้ได้เลย” เฮิร์ท พูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

ไม่กี่วันต่อมา แคลปตัน และเพื่อน ๆ ได้มาหาบอยด์ ที่บ้าน ก่อนฝ่ายชายจะหาจังหวะขอร้องให้ฝ่ายหญิงรับรักเขาอีกครั้ง

“ฉันทำมื้อค่ำวันนั้น และเราก็กินข้าวกันท่ามกลางบรรยากาศที่ฝืนทำเป็นร่าเริง ก่อนที่ เอริค จะพาฉันหลบไปและขอร้องอ้อนวอนให้ฉันไปจากจอร์จ อีกแล้ว เราอยู่ตามลำพัง ซึ่งความรู้สึกเหมือนหลายชั่วโมงมาก เขาดูคลั่งไคล้ฉัน ดูหมดสิ้นหนทาง แถมอ้อนวอนสุดฤทธิ์ จนฉันรู้สึกสับสน หลงทาง”

แคลปตัน กล่าวลาบอยด์ ในคืนนั้นก่อนออกเดินทางไปทัวร์โปรโมทอัลบั้ม 461 Ocean Boulevard ที่อเมริกา พร้อมกับทิ้งเรื่องหนักอึ้งไว้ให้บอยด์ ได้คิด

แคลปตัน และ แพตตี้ บอยด์ เมื่อปี 1975 ภาพจาก Getty Images

ใช่แล้วชีวิตของบอยด์ กำลังเดินทางมาถึงจุดที่ยากที่สุดแล้ว เพราะลึก ๆ เธอเองก็อยากเก็บพวกเขาไว้ทั้งสองคน...โอ้โหเพลง ทาทา นี่ขึ้นมาเลย 

“ฉันจำเป็นต้องเลือก ระหว่าง เอริค ชายที่เขียนเพลงอันงดงามให้กับฉัน และต้องอยู่ในนรกมาตลอดสามปีก็เพราะฉัน ชายผู้ยอมประท้วงเพื่อความรักของตัวเอง หรือจอร์จ สามีของฉัน ชายที่ฉันเคยรักและเย็นชากับฉันตลอดมา นี่มันก็นานมากจนฉันแทบจำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่เขาทำเหมือนรักฉันหรือแม้กระทั่งบอกรักฉันมันคือตอนไหน

“ช่วงกลางดึกของวันที่ 3 กรกฎาคม ฉันเดินไปหาจอร์จ ที่สตูดิโอ เพื่อบอกเขาว่าฉันจะไปจากเขาแล้ว ฉันจะไปอเมริกา แต่พอเขากลับมาที่เตียงนอน ฉันเองก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าของเขา เขาเอนตัวนอนลงและบอกฉันว่า ‘อย่าไปเลย’

ตอนที่เขาพูดแบบนั้น ใจหนึ่งฉันก็เชื่อและอยากจะอยู่ต่อ เพราะลึก ๆ ก็หวังว่าเขาคงจะทำให้มันดีขึ้นได้ แต่มันก็สายเกินแล้ว วันต่อมาคือวันที่เศร้าที่สุดในชีวิตฉัน ฉันเก็บของและบอกลา ไฟรเออร์ ปาร์ค และมุ่งตรงไปที่อเมริกา” 

สุดท้าย บอยด์ ตัดสินใจรับรักแคลปตัน ก่อนซื้อตั๋วบินตามไปทัวร์ด้วยเลย และแล้วในปี 1979 ทั้งสองก็ได้แต่งงานกันสมใจ ซึ่งในวันนั้น แฮร์ริสัน ก็ได้ไปร่วมงานด้วยในฐานะ husband-in-law 

ชีวิตคู่ของทั้งสองลงตัวสุด ๆ ถึงขั้นแคลปตัน แต่งเพลง ‘Wonderful Tonight’ ให้กับเธอ ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างราบรื่นกว่า 9 ปี แต่ก็ไปไม่รอด หลังแคลปตัน เริ่มมีอาการติดสุราอย่างหนัก แถมออกอาการเบื่อบอยด์ อย่างเห็นได้ชัด จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องเลิกรากันไป

หลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แฮร์ริสัน กับแคลปตัน ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แถมดูจะสนิทกว่าเดิมอีกต่างหาก จะมองมุมไหนก็ต้องยกนิ้วให้กับความใจกว้างของแฮร์ริสัน จริง ๆ ที่มองว่ามิตรภาพสำคัญกว่าทุกสิ่ง

ส่วนแคลปตัน หลังหย่ากับบอยด์ เขาก็ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงปัจจุบัน

ด้านบอยด์ หลังเลิกกับแคลปตัน ได้สามปี เธอก็มาเจอกับ ร็อด เวสตัน นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก่อนจะใช้ชีวิตร่วมกันมากว่า 28 ปี

 

เรื่อง: วิทวัส ปัญญาเลิศวุฒิ

ภาพ: Getty Images