Parasyte: The Grey - หรือ 'ความรู้สึก' คือบทพิสูจน์ความเป็นมนุษย์?

Parasyte: The Grey - หรือ 'ความรู้สึก' คือบทพิสูจน์ความเป็นมนุษย์?

Parasyte: The Grey - เมื่อโลกไม่ได้สงบสุขอีกต่อไป การมาเยือนของปรสิตในคราบมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะเนียนแค่ไหน แต่ความเป็นมนุษย์ก็ยังมีเส้นแบ่งอย่างชัดเจน

Parasyte: The Grey’ คือซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแอนิเมชันต้นฉบับอย่าง ‘Parasyte’ มังงะชั้นดีที่พิสูจน์ผ่านกาลเวลามากว่า 30 ปี กลายเป็นของขึ้นหิ้งที่ถูกเอามาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และมังงะภาคพิเศษในกาลต่อมา ความพิเศษของ ภาค The Grey คือในซีรีส์ได้หมายถึงทีมปราบปราม ‘ปรสิต’ แบบเฉพาะกิจที่ได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลความไม่สงบที่เกิดขึ้นในประเทศเกาหลี

เหตุเกิดเพราะ ‘เป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกัน’ เงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียง หรือต้องการเพียงแค่การมีชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ กินอิ่ม ก็เพียงพอแล้ว นั่นคือการเปรียบเทียบการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์และปรสิต ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง คงไม่ต้องบอกว่าฝั่งไหนเป็นปรสิต ฝั่งไหนเป็นมนุษย์

มนุษย์ไม่ได้เพียงบริโภคแค่อิ่ม เราต่างสนองตัณหาของพวกเราด้วยการเลือก ทั้งรูป ทั้งรส ไม่ถูกปาก หากยังไม่นับรวมอาการแพ้ที่ต้องเลือกกินอย่างช่วยไม่ได้ แต่กลับกัน ‘ปรสิต’ พวกนี้มันกินเพียงแค่ต้องการมีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น แต่มันดันโชคร้ายที่เป้าหมายอาหารจานหลักของมันคือ ‘มนุษย์’ ไม่จำกัดความว่าคุณจะต้องเป็นคนยังไง รูปร่างหน้าตายังไง โดนกินหมด เป็นความแตกต่าง แต่ตรรกะของพวกมันนั้นก็ตรงตัวไม่อ้อมค้อม

เรื่องชวนคิดในภาค The Grey จึงมีตั้งแต่ประเด็นที่ว่าจะเป็นการฆ่าเพื่อศีลธรรมที่เคยพูดถึงไปในบทความ Parasite ฉบับแอนิเมชัน แต่ประเด็นที่ชวนคิดอย่างมากในภาคนี้คือการที่ปรสิตมันเกิดความที่อยากจะเรียนรู้ในตัวมนุษย์ การถูกมนุษย์กำจัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้พฤติกรรมของพวกมันแตกต่างไป พวกมันได้พยายามเรียนรู้ถึงเป้าหมายการ ‘อยู่ร่วมกัน’ ของมนุษย์ ว่าทำไมถึงมีประสิทธิภาพ ความเข้มแข็งและความน่ากลัวกว่า ทั้ง ๆ ตัวพวกมันเองที่เป็นปรสิตมีพลังเหนือธรรมชาติ

/ เนื้อหาต่อไปนี้มีการเปิดเผยข้อมูล Parasyte: The Grey /

คาดว่าคงมีผู้ชมที่เป็นแฟน ๆ ของเจ้าปรสิต มาตั้งนานแล้วก่อนที่จะได้มาดูซีรีส์เรื่องนี้ เพราะความคลาสสิก ลายเส้นที่ดูเป็นเอกลักษณ์ และเนื้อหาที่เรียกได้ว่าเข้มข้น ทั้งการตีแผ่เรื่องของจิตใจมนุษย์หรือการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่มันบีบหัวใจ เรื่องของความละเอียดอ่อนของความรู้สึกของมนุษย์ว่ามันมีพลังมากแค่ไหน

ไม่ว่าจะเป็นฉบับไหน ก็จะมีการพูดเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์และปรสิต ที่ว่ามีความคล้ายคลึงกันในการดำรงชีวิต เพียงแต่ตัวแปรบางอย่างของปรสิตมันดันเป็นสิ่งที่มนุษย์รับไม่ได้คือการถูกกิน ก็อย่างที่กล่าวไปว่าเราเองก็ต้องการมีชีวิตรอด กินเพื่ออยู่ และเราก็ฆ่าเมื่อจำเป็น ไม่ได้หมายถึงฆ่าคนนะครับ หมายถึงสัตว์ที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ แต่ด้วย “อารมณ์และความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ความจงรักภักดีต่อพวกพ้องและองค์กร ทำให้เกิดความแตกต่างที่ทำให้มนุษย์นั้นแข็งแกร่งกว่า”

สืบเนื่องจากในเรื่องเราจะได้พบกับ จองซูอิน (รับบทโดย จอน โซ-นี) สาววัยรุ่นที่ทำงานเป็นพนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ผ่านเรื่องราวที่เส็งเคร็งมากมายในชีวิต ถูกพ่อแท้ ๆ ทุบตีไม่ต่างอะไรกับวัตถุที่มีไว้ระบายอารมณ์ และมิหนำซ้ำ แม่ที่เบ่งคลอดออกมากลับไม่มีเยื่อใยที่ดีต่อซูอิน ซึ่งแม่ได้ไปมีความรักครั้งใหม่กับครอบครัวใหม่ แถมมีลูกคนโปรดคนใหม่

ในวันหนึ่งที่ซูอินเกิดมีปากเสียงกับลูกค้า (โรคจิต) ในที่ทำงาน และได้ลุกลามกลายเป็นเหตุอาชญากรรม คนร้ายพยายามฆ่าซูอิน (อันที่จริงเรียกว่าฆ่าไปแล้วก็ได้) เพราะเธอได้ตายไปแล้ว ทว่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดดันตกลงมา หนึ่งในพวกมันได้ยึดร่างของเธอตาม ‘เป้าหมาย’ ที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด

เหมือนเป็นเสียงพูดที่ดังออกมาอยู่ตลอดว่า ‘ยึดร่างมนุษย์และจงกินพวกมันซะ’ 

ปรสิตในที่นี้จำเป็นต้องมีร่างต้น เหมือนกาฝาก เมื่อมันเข้าไปแล้วมันจะกัดกินสมองจนหมดจนถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดพฤติกรรม หน้าตา อารมณ์ ที่ดูไร้ความรู้สึก ก็เพราะว่าปรสิตพวกนี้มันเรียนรู้เรื่องของ ‘อารมณ์’ ไม่ได้ การยึดร่างของคนใกล้ตาย ปรสิตตัวนั้นจำเป็นจะต้องรักษา ‘ร่างต้น’ ของมันก่อน ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการควบคุมซึ่งมันผิดธรรมชาติของปรสิต ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป นั่นคือการควบคุมสมองที่ไม่สมบูรณ์ ซูอินไม่ได้กลายเป็นปรสิตแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอยังเป็น ‘มนุษย์’ ที่มีตัวประหลาดอยู่ด้านในแทน

 

ความรู้สึกที่หลงเหลือ

เธอกลายเป็นตัวกลายพันธ์ุทั้งมุมมองของมนุษย์และมุมมองของปรสิตเอง คล้าย ๆ กับชีวิตพระเอกอย่าง อึซึมิ ชินอิจิ ของฝั่งแอนิเมชันญี่ปุ่น

กลไกการเอาชีวิตรอดของปรสิตโดยปกติคือแฝงตัวอยู่ในกลุ่มมนุษย์ โดยใช้แม่แบบเกือบทุกอย่างที่มาจากร่างต้น (มนุษย์ผู้โชคร้าย) แม้ภายนอกจะดูเหมือนมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น หรือจะเรียกได้ว่าหากเป็นคนใกล้ตัวก็คงจะรับรู้ได้อย่างแน่นอน เพราะข้อเสียของพวกมันที่ถูกพูดถึงก็คือเรื่องของ ‘ความรู้สึก’ 

ดีใจหรือว่าเสียใจ ปรสิตไม่สามารถแสดงออกได้อย่างมนุษย์

ซูอินเป็นเหมือนเครื่องช่วยพิสูจน์ความแข็งแกร่งของมนุษย์ที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเอง ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาในรูปแบบไหน แต่ถ้าคิดว่าถ้าไม่ทำจะเสียใจไปตลอดชีวิต จะเหมือนคนที่ ‘วิ่งหนี’ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

เธอกล้าที่จะตัดสินใจและแสดงออกอย่างไม่เกรงกลัว แล้วมันก็ย้อนแย้งกับการดำเนินชีวิตของ ‘ปรสิต’ ที่อยู่ในร่างเธออย่างมาก อย่างที่กล่าวไปว่า ปรสิตขอเพียงต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หลีกเลี่ยงอันตรายหรือความเสี่ยงที่มีสิทธ์เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเอง จะไม่ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นนำพาไป

ปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างซูอินมีนามว่า ‘ไฮดี้

ซูอินกำลังพยายามอย่างมากเลยแหละ” คงเป็นอีกคำพูดที่บ่งบอกอะไรสักอย่างจากไฮดี้ สู่ซูอิน มันได้ให้ข้อคิดถึงการมีชีวิตอยู่ของคนคนหนึ่ง ที่ผ่านเรื่องราวแย่ ๆ มากมายเกือบตลอดทั้งชีวิต แต่เพราะบางครั้งมนุษย์เรายกย่องความรู้สึกเหนือเหตุและผล เราอาจคิดว่า ‘การตัดสินใจ’ นั้นเป็นเรื่องของเหตุผล สติปัญญา หรือเพียงเป็นแค่ตรรกะล้วน ๆ ทว่าที่จริงแล้ว การตัดสินใจใช้ ‘ความรู้สึก’ มากกว่าที่เราคิด

หากพร่องความรู้สึกไป มนุษย์ไม่อาจตัดสินใจอะไรได้เลย นั่นคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในซีรีส์ขณะที่ไฮดี้ได้เกิดความสงสัยของเหตุผลที่ซูอินตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างที่เรียกได้ว่า มันไม่เข้าท่าเอาซะเลย

จะขอพูดถึงตัวละครสำคัญอีกคนในเรื่องนั้นคือ หนุ่มเลือดร้อนอย่าง คังวู (รับบทโดย คู คโยฮวาน) ที่ถือเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีความเกี่ยวข้องระหว่างปรสิตและความรู้สึกของเขาเช่นกัน คังวูมีพี่สาวและน้องสาว แต่ด้วยชีวิตที่โลดโผนของคังวูจึงไม่ได้อยู่ดูแลครอบครัว แต่โชคร้ายที่พวกมันได้พรากชีวิตคนรักของเขาไปหมด เริ่มจากพี่สาวที่ดูเปลี่ยนไป และน้องสาวที่หายตัวไปจากฝีมือของปรสิตทั้งสิ้น

คังวูต้องทนอยู่เห็นหน้าพี่สาวตัวเองที่มีปรสิตบังคับร่างอยู่ ใช้ร่างนั้นกระทำเรื่องที่เลวร้ายต่อจิตใจ แต่คังวูก็ยังต้องอดทนและรวบรวมความรู้สึกแย่ ๆ ของตนเองทั้งหมด มาบอกตนเองว่า ‘เลิกวิ่งหนี’ แล้วจงเผชิญหน้าอยู่กับความจริงซะ

 

รวมกันเราอยู่

การที่เริ่มโดนกวาดล้างเผ่าพันธ์ุทำให้ปรสิตบางตัวที่มีความพิเศษได้ฉุกคิดถึงบางอย่าง อย่างที่ว่าเหมือนกลุ่มเพื่อนหนึ่งกลุ่มจะมีคนหลาย ๆ ประเภทรวมกัน อาทิ สายชิล สายไม่เอาอะไรเลย สายตั้งใจเรียน และสายขี้สงสัย ความต้องการที่จะเอาตัวรอดของพวกปรสิตก็ก่อให้เกิดการเรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดของตนเองและความแข็งแกร่งของมนุษย์ นั่นก็คือการมีอยู่ของ ‘องค์กร’

ปฏิเสธไม่ได้เลยที่ว่าอยู่ร่วมกันแล้วมีพลัง มีหลายกรณีที่อาจจะกล่าวได้ว่า คนเดียวย่อมดีกว่า แต่ไม่ใช่สำหรับการเอาชีวิตรอดบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน หลายครั้งที่คนเราต้องการให้มีคนช่วย คนคอยเคียงข้าง มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้

แล้วยิ่งเกิดกรณีเลวร้ายต่อโลกใบนี้ ซึ่งเอาจริง ๆ ตอนนี้ถ้าเกิดจะถามว่ามันมีสิทธิ์เป็นไปได้จริงหรือเปล่าก็เรียกได้ว่าคงไม่เกินจริงเท่าไร ยิ่งแล้วใหญ่ถ้าหากคุณต้องเจอพวกปรสิตแบบนี้ 

เราจะเห็นได้จากในซีรีส์ว่ามนุษย์เรานั้นยากที่จะอยู่รอดได้ด้วยตัวคนเดียว แล้วยิ่งรวมกันมากเท่าไรก็จะมีพลังมากเท่านั้น นั่นคือความสำคัญขององค์กร ที่เหล่าปรสิตมันเรียนรู้ได้ว่ามนุษย์เรามีพลังมากแค่ไหนเมื่อรวมตัวกันภายใต้องค์กร

การใช้องค์กรแบบทางศาสนาเข้าบังหน้าเมื่อยามมาแฝงตัวใหม่ ๆ เพื่อให้ครอบครัวเหยื่อสงสัยน้อยที่สุด ยื้อเวลาให้ได้มากที่สุดเพื่อร่วมกันวางแผน และรวบรวมทรัพยากรให้ได้มากที่สุด

มนุษย์เรามีเป้าหมายเพื่อการอยู่รอด เรามีการจัดระเบียบโครงสร้าง การวางรากฐานเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่เห็นถึงการจัดการกวาดล้างปรสิตหรือแม้กระทั่งในชีวิตจริง มนุษย์เรามีจุดประสงค์ที่แน่วแน่นั้นทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีขั้นตอนและเป็นระเบียบ และที่สำคัญมากไม่แพ้ข้ออื่น ๆ คือ ‘ทรัพยากรมนุษย์’ ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากอย่างปฏิเสธไม่ได้

แต่ก็คงไม่พูดถึงข้อเสียไม่ได้ เพราะก็ถือเป็นความเสี่ยงที่มาจากการทำงานภายใต้ภาวะของคนตาม ไม่ใช่ผู้นำ ในซีรีส์แสดงให้เห็นถึงข้อผิดพลาดจากคำสั่งของบุคคลเดียว การคิดถึงตัวเองมากกว่าประชาชนหรือคนหมู่มากก่อให้เกิดความผิดพลาดที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จะเพราะด้วยความไม่ระมัดระวังตัวหรือรู้เท่าไม่ถึงการอะไรก็แล้วแต่ นั่นก็คือข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ถือเป็นดาบสองคมที่พร้อมกลับมาทำร้ายมนุษย์เราได้ทุกเมื่อ

ทั้งความรู้สึกเป็นเรื่องที่หากปราศจากมัน มนุษย์เราก็เหมือนไร้ตัวตน และยังมีเรื่องการทำงานกันเป็นองค์กร การมีเป้าหมายที่หนักแน่นและทรัพยากรมนุษย์ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ทั้งในทางที่ดีและในทางที่ร้าย ต้องมีการจัดการที่รอบคอบ 

และสุดท้ายนี้ เนื่องจากเป็นที่สงสัยว่า ภาค The Grey นี้เกี่ยวข้องอะไรกับพาราไซต์ภาคแอนิเมชันญี่ปุ่นหรือเปล่า คงจะได้เห็นกันในตอนสุดท้ายแล้วนะครับ นั่นก็คือการปรากฏตัวของ ‘อิซึมิ ชินอิจิ’ ทั้งการแนะนำตัวเอง และลูกตา (ขยับได้) ที่ข้อมือนั้นก็บ่งบอกได้แล้วว่ามันคือเขาคนนั้นแน่นอน เพิ่มเติมสำหรับคนที่อาจจะไม่รู้จักชินอิจิ คร่าว ๆ ก็คือเขาคือเหยื่อผู้โชคร้ายจากปรสิตเช่นเดียวกับซูอิน นั่นก็คือการควบคุมร่างที่ไม่สมบูรณ์ ยังมีเรื่องของ ‘ความรู้สึก’ ของชินอิจิที่ยังหลงเหลือพร้อมกับจิตใจอันแน่วแน่ของเขาด้วยเช่นกัน

เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตามต่อเป็นอย่างมากถึงการมาของชินอิจิ คงอาจจะต้องตั้งหน้าตั้งตารอภาคต่อกันอีกสักหน่อย แล้วเราคงจะได้เห็นการปฏิบัติงานร่วมระหว่างฝั่งปรสิตเกาหลีและปรสิตจากทางญี่ปุ่นเป็นแน่