‘Love in the Big City’ วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

Love in the Big City ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยความรักและมิตรภาพที่ซ่อนอยู่ในมหานครที่ทำให้เราเรียนรู้ว่า บางครั้งภายใต้แสงสี การเป็นตัวเองดีที่สุดแล้ว

KEY

POINTS

  • Love in the Big City คือ นวนิยายของพักซังกย็องที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Dublin Literacy Prize และ International Booker Prize และมีการตีพิมพ์มาแล้ว 16 ประเทศ
  • ความนิยมที่มากขึ้น ทำให้ Love in the Big City ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยคิมโกอึน และโนซังกยอน
  • เพราะนี่คือภาพยนตร์ที่บอกเราว่าให้เป็นตัวเองและรักตัวเองท่ามกลางมหานครที่บางครั้งก็ไม่อนุญาตให้เราเป็นตัวเอง

Love in the Big City เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง Love in the Big City ในตอนที่ 1 ที่ใช้ชื่อว่า ‘แจฮี’ เขียนโดยพักซังกย็อง นักเขียนชาวเกาหลีใต้

ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ผู้เล่าเรื่องที่ในหนังสือที่ชื่อว่า ‘ย็อง’ เปลี่ยนชื่อเป็น ‘ฮึงซู’ แต่แจฮียังใช้ชื่อเดิม แม้จะถูกตัดรายละเอียดบางอย่างออกไปบ้าง แต่มวลรวมของเรื่องก็ทำให้เราหัวเราะ ใจฟู และน้ำตาไหลอยู่ได้ 

ถ้าเล่าสั้น ๆ Love in the Big City เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของความรักและมิตรภาพของชายที่ไม่กล้าเป็นตัวเอง และหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเองสุด ๆ 

ถ้าจะนิยามความสัมพันธ์ของทั้งสองคนคงไม่ต่างจาก ‘เพื่อนรัก เพื่อนร้าย’ ขอแค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาพร้อมจะพุ่งตัวไปหากันและกันเสมอ 

หนังนี้ไม่ได้มีคติสอนใจ ไม่ได้มีประโยคเด็ดที่น่าจดจำมากมาย  แต่ทุก ๆ การกระทำของตัวละครมันบอกเราหมดแล้วว่า จงเป็นตัวเอง ถึงแม้จะไม่มีใครเข้าใจเรา

เพราะนี่คือวิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานครในฉบับของภาพยนตร์เรื่อง Love in the Big City 

/บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ Love in the Big City เธอเหงาเราเผลอ (2024)/ 

เกย์ที่ปิดบังตัวตนและปิดกั้นเรื่องรัก

ณ มหานครกรุงโซล  ตัวตนของฮึงซูถูกเก็บเป็นความลับ

กลางวันฮึงซูเป็นนักศึกษาสาขาวรรณคดีฝรั่งเศสที่มีเพศสภาพเป็นผู้ชาย ใส่เสื้อไหมพรหมตัวใหญ่ แบกเป้ไปเรียน แต่กลางคืน เขาคือผู้ชายเท่ ๆ ปาดผมเรียบ ปาร์ตี้เต็มที่ และจูบผู้ชายเป็นบางครั้ง

ไม่เพียงแต่เก็บตัวตนเป็นความลับจากสังคมเท่านั้น ฮึงซูยังไม่ได้บอกแม่ตรง ๆ ว่าเขาเป็นเกย์เลย

จริง ๆ เขาบอกแม่ไปแล้ว แต่แม่คิดว่าเขาป่วย ดังนั้น ต่อหน้าแม่ ฮึงซูเลยดูเหมือนจะเป็นผู้ชายทั่ว ๆ ไป และสวดมนต์อวยพรทุกวันตอนที่ฮึงซูหลับไป

ในเรื่องความรัก ฮึงซูขีดเส้นทุกคน เขาไม่ได้อยากผูกมัดกับใคร อาจเป็นเพราะกลัวความเจ็บปวด จนกระทั่งเขาได้เจอกับ ‘ซอนอู’ ชายที่บังเอิญเจอกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง 

เขารู้สึกรักและวาดฝันถึงอนาคตไปด้วยกัน แต่ด้วยความที่สไตล์ของฮึงซูที่ไม่อยากผูดมัด เขาจึงขีดเส้น ถามว่ารักไหม ก็รักมากเหมือนกัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็นความรักของเขา

นิยามความรักของทั้งสองคนคงต่างกัน ความรักของฮึงซู คือ การเจอกันเป็นครั้งคราวและปกป้องกันบ้าง แต่ความรักของซอนอู คือ การทุ่มเททุกอย่างให้หมดใจ 

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

วันสุดท้ายที่ทั้งสองคนเจอกัน ซอนอูบอกกับฮึงซูว่า “ถ้าความรักไม่ใช่การยึดติด งั้นฉันคงไม่เคยมีความรัก” 

คนหนึ่งที่พยายามขีดเส้น อีกคนหนึ่งก็พยายามเข้าหาตลอด จึงทำให้ซอนอูเริ่มเหนื่อยกับรักครั้งนี้ สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันไป

มากกว่านั้น ฮึงซูยังใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืด เขามีวิถีรักในแบบของเขาเอง แต่โลกใบนี้กลับสอนเขาเสมอให้รักตัวเองในแบบที่เขาเป็น

ถ้าในคลับเป็นตัวเองได้ ต่อหน้าแจฮีเพื่อนรักของเขา เขาก็เป็นตัวเองได้ ทำไมกับแม่ที่สวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าเขาจะทำไม่ได้

ฮึงซูเลือกที่จะบอกความลับนี้กับแม่อีกครั้ง แม่ก็ยังคงทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม แต่ทุกอย่างคงต้องใช้เวลา

และคงต้องใช้เวลาที่จะทำให้สังคมและมหานครแห่งนี้ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ โดยไม่ต้องปกปิดใคร

แต่มันจะไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยเขาก็มีแจฮี คนที่รักทุกอย่างที่เขาเป็น

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

สาวป๊อปที่เคยพลาด

ถ้าว่ากันตามตรง ชีวิตของแจฮีดีทุกอย่าง 

แจฮีคือสาวป๊อป เดินไปตรงไหนก็ต่างมีคนโอบล้อมอยู่เสมอ บ้านฐานะปานกลาง เคยไปใช้ชีวิตไกลถึงฝรั่งเศส จึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเลือกเรียนวรรณคดีฝรั่งเศส

กลางวันเธอเป็นนักศึกษาธรรมดาทั่วไป แต่กลางคืนเธอก็เป็นสาวสายปาร์ตี้สุดเหวี่ยง 

แต่ชีวิตมีขึ้น ก็ต้องมีลงเป็นเรื่องธรรมดา จากสาวป๊อปกลายเป็นหญิงสำส่อน (ในหนังใช้คำนี้) ในสายตาคนอื่นเพียงข้ามคืน เมื่อรูปเปลือยของเธอถูกส่งเข้าไปในแชทกลุ่มของเพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัย 

ถึงใจจะร่วงไปจนถึงตาตุ่ม มือสั่น และกลั้นน้ำตาไว้ เธอก็เลือกที่จะใช้ความมั่นใจของตัวเอง พุ่งชนทุกคำกล่าวหาและคำวิจารณ์ที่ดังขึ้นทุกวัน

ในเรื่องชีวิตรักและความสัมพันธ์ ไปปาร์ตี้บ่อย ๆ แจฮีมีแฟนอยู่เรื่อย ๆ ทำถูกบ้าง และยังคงทำพลาดอยู่บ้าง 

แต่พลาดแล้วไงล่ะ… สำหรับแจฮีไม่มีใครรักเธอเท่ากับที่เธอรักตัวเองอีกแล้ว

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

ในวันที่เธอทำพลาดครั้งที่ 2 นั่นคือ วันที่เธอกำลังจะเป็นแม่ และเลือกที่จะเอาเด็กออก แจฮีรวบรวมความกล้า ทั้ง ๆ ที่กลัวมาก ไปคลินิกทำแท้ง แต่โดนคุณหมอรุ่นเบบี้บูมสอนสั่ง โดยมีฮึงซู เพื่อนรักของเธอนั่งอยู่ข้าง ๆ 

แทนที่จะอดกลั้นความโกรธไว้ เธอเลือกที่จะระเบิดความโกรธใส่หมอ แล้วเดินปึงปังออกมาหน้าคลินิก ก่อนที่น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมา

“พวกเขาเป็นใครถึงมาตัดสินฉัน ขนาดฉันยังไม่รู้จักตัวเองดีเลย” แจฮีบอกกับฮึงซู ขณะที่ในมือเพื่อนถือโมเดลมดลูกไว้

แจฮีปิดจบชีวิตวัย 20 ต้น ๆ ไว้แบบนั้น  แต่เมื่อชีวิตเธอเดินมาถึงช่วงกลางของอายุ 20 ปี ระหว่างที่ฮึงซู เพื่อนรักและรูมเมทคนเดียวของแจฮีไปรับราชการทหาร เธอก็เลือกจะไปแสวงหาโอกาสที่ต่างประเทศ

และชีวิตบทใหม่ของแจฮีก็เริ่มต้นขึ้น

แทนที่จะใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยง แต่งตัวแบบสายแฟชั่นเขาทำกัน และเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เหมือนตอนอายุ 20 ต้น ๆ ตอนนี้เธอใช้ชีวิตตามขนบมากขึ้น เธอพยายามทุกอย่าง วิ่งหางาน ใส่ชุดสูทสีดำไปสมัครงานแบบที่ใคร ๆ ก็ทำกัน จนได้งานในที่สุด และเริ่มก้าวบันไดสู่หน้าที่การงานที่มั่นคง

สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการมองหาใครสักคนที่ยอมรับว่า เธอคือเธอ และยอมรับคนที่เธอรักมากที่สุด นั่นก็คือ ฮึงซู เพื่อนสาวที่เป็นมากกว่าเพื่อน แต่เป็นคนที่เธอพร้อมจะพุ่งไปช่วยเหลือเสมอในเวลาที่เขาต้องการ

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

‘เติบโต’ คือ นิยามสั้น ๆ สำหรับชีวิตของอดีตสาวป๊อป แง่มุมหนึ่ง อาจเป็นเรื่องดีที่เธอจะสงบมากขึ้น ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้มากขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง คำว่าเติบโตก็ผลักให้ชีวิตของเธอโหยหาความสุขในช่วงวัยรุ่นที่เริ่มจางหายไปในวันที่อายุมากขึ้น 

ชุดเดรสสีแดงที่เธอไม่ได้ใส่ การเต้นแบบสุดเหวี่ยงในคลับที่ไม่ได้ทำบ่อย ๆ เหมือนแต่ก่อน 

ถามว่าคิดถึงไหม แจฮีคิดถึงอยู่ทุกวัน 

คงเหมือนที่ใคร ๆ บอก ถ้าเติบโตแล้วความสุขคงน้อยลง ชีวิตของแจฮีพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจริง 

ถึงความสุขจะน้อยลง แต่สุดท้ายก็อาจเป็นอีกหนึ่งบทเรียนชีวิตที่สอนว่า ทุก ๆ ความสุข ทุก ๆ วีรกรรม และทุก ๆ ความทรงจำ คือ สิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราทุกวันนี้

เราที่ไม่เหมือนใคร และมีแค่เราเพียงคนเดียวเท่านั้นในจักรวาลและมหานครแห่งนี้

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

เรื่องของเรา มีแค่เราเท่านั้นที่รู้

จริง ๆ หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีประโยคสอนใจขนาดนั้น แต่มันทำให้เห็นว่า ถ้าเรารักใครสักคน เราอาจจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาคนนั้น

แม้หนังเรื่องนี้ ฮึงซูจะเป็นคนเล่า แต่ถ้ามองตามบรรยากาศของภาพยนตร์ เราว่าหนังพาเราไปสำรวจชีวิตแจฮี ฮึงซู และโลกของพวกเขาสองคน

โลกของพวกเขาในห้องเช่าสตูดิโอที่พอจะมีพื้นที่ให้กับพวกเขาแต่ละคนหลังจากย้ายมาอยู่ด้วยกัน และพื้นที่ที่ทั้งสองคนจะมีเวลามานั่งกินรามยอนด้วยกัน รวมถึงโลกของพวกเขาท่ามกลางแสงสีในย่านอิแทวอน

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

เพราะถ้าเกิดเรื่องกับฮึงซู แจฮีก็เป็นคนแรกที่จะวิ่งไปกอดเขาและฟาดหน้าคนที่เข้ามาทำร้ายเพื่อนรักของเธอ แล้วถ้าเกิดเรื่องกับแจฮี ฮึงซูเองก็พร้อมที่จะสู้กลับแบบไม่สนหน้าใครเหมือนกัน

ดังนั้น ถ้าใครจะมาเป็นเจ้าบ่าวของฮึงซูและแจฮี คนคนนั้นจะรักแค่คนตรงหน้าไม่ได้ แต่ต้องรักเพื่อนของพวกเขาด้วย 

ใช่ ‘Love me, Love my friends’ ความสัมพันธ์ของฮึงซูและแจฮีบอกเราแบบนั้น

ดังนั้น ถึงใครจะมาตราหน้าว่า พวกเขาเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ตัวตนที่แท้จริงของฮึงซูและแจฮีเป็นแบบไหน มีแค่พวกเขาสองคนที่รู้

เมื่อเทียบกับตัวอักษรของพักซังกย็องที่เขียนไว้ในหนังสือ ‘Love in the Big City’ ที่เขียนไว้ว่า “แจฮีกับผมมีทัศนคติถือพรหมจรรย์เปราะบางมาก คือ ไม่มีเลย และในแง่นั้นเอง พวกเราจึงคล้ายคลึงกัน และโด่งดังในโลกของตัวเอง” ก็ดูเหมือนคิมโกอึนที่รับบท ‘แจฮี’ และโนซังกยอนที่รับบท ‘ฮึงซู’ เองก็ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครได้ดีพอ ๆ กับที่นักเขียนเขียนไว้เลยทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นฉากที่พากันเมา เต้นจนลืมเวลาในคลับ และจิกหัวในวันที่ทะเลาะกันก็ทำได้ดี แบบไม่มีเคอะเขิน ประกอบกับเคมีที่ดูจะลงตัวสุด ๆ 

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสองคนมันดีจนทำให้คนที่นั่งดูหนังเรื่องนี้กลับมาดูชีวิตของเราอีกครั้งเหมือนว่าว่า ในชีวิตที่เดินทางมาอยู่ในวัยยี่สิบกลาง ๆ เหมือนกับฮึงซูและแจฮี เราใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากเป็นแล้วหรือยัง

เหมือนกับที่แจฮีบอกกับฮึงซูบอกไว้ “การเป็นตัวเองจะเป็นจุดอ่อนได้ยังไง”

มันเลยทำให้ฉากที่เรียกน้ำตาเราไม่ใช่ฉากที่แจฮีตะโกนบอกแฟนเก่าว่า ฮึงซูเป็นเกย์ หรือฉากที่ทั้งสองคนทะเลาะกันจนฮึงซูย้ายออกจากบ้าน แต่เป็นฉากที่แจฮีแต่งงาน แล้วทั้งสองคนจับมือเต้นด้วยกันบนเวที แล้วมีเจ้าบ่าวของแจฮียืนยิ้มอยู่ด้านหลัง

ภาพสุดท้ายของเรื่องนี่แหละที่สะท้อนว่า ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหน โลกของพวกเขาสองคนก็จะยังคงอยู่เสมอ

ฮึงซูจึงบอกในภาพยนตร์ว่า แจฮีคือไดอารี่วัย 20 ปีของเขา

‘Love in the Big City’  วิถีรักที่ซ่อนอยู่ในมหานคร

เช่นกับฮึงซูในชีวิตจริง นั่นคือผู้เขียนพักซังกย็องที่ปิดจบเรื่องราวของเขาและแจฮีไว้ใน 2 ย่อหน้าสุดท้ายของเรื่องราวนี้ว่า “แจฮีจดจำชื่อและใบหน้าของผู้ชายทุกคนที่ผมเคยคบได้ และเป็นฮาร์ดดิสก์แบบพกพาที่จัดเก็บเรื่องราวชีวิตรักของผม แจฮีผู้สอนให้ผมรู้ว่าช่วงเวลาทั้งหมดที่ได้ชื่อว่าความงดงามเป็นเพียงชั่วพริบตา ในตอนนี้ เธอคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” 

ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ได้แค่บอกเล่าถึงเรื่องรักและความสัมพันธ์ในเกาหลีใต้มหานครที่ไม่เคยหลับใหล แต่บอกเราว่าทุก ๆ มหานครต่างมีเรื่องราวความรักและวิถีรักซ่อนอยู่

และอย่าลืมว่า การเป็นตัวเองนั่นแหละดีที่สุดในแล้ว 

ถึงสังคมจะไม่อนุญาตให้เราเป็นตัวเองในบางเรื่อง แต่เราสามารถอนุญาตตัวเองได้เสมอ