สงครามส่งด่วน : อำนาจของความยากจนและเคียดแค้น ทำให้ ‘แมลงวันหัวแถว’ สยายปีก

สงครามส่งด่วน : อำนาจของความยากจนและเคียดแค้น ทำให้ ‘แมลงวันหัวแถว’ สยายปีก

‘สงครามส่งด่วน’ ออริจินัลซีรีส์ของ Netflix และ GDH ว่าด้วยซีอีโอเด็กดอยผู้สร้างธุรกิจขนส่งหมื่นล้านธุรกิจแรกของไทย นำแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงมาผสมกับเรื่องแต่ง จนเกิดเป็นเรื่องราวที่ทั้งน่าเจ็บปวด และจุดประกายความฝันในเวลาเดียวกัน

KEY

POINTS

  • สงครามส่งด่วน คือซีรีส์ที่โดดเด่นด้วยการนำเค้าโครงเรื่องจริงมาผสมกับเรื่องแต่ง ส่งผลให้เรื่องราวกับตัวละครมีความจับต้องได้ เป็นการสะท้อนสังคมและสร้างแรงบันดาลใจอย่าง ‘ไม่เกินจริง’ ไปนัก
  • สิ่งหนึ่งที่คนจนมีเหนือกว่าคนรวยคือ ‘ความจนตรอก’ ที่บีบบังคับให้ต้องกัดฟันสู้ และ ‘ประสบการณ์ตรง’ ซึ่งทำให้พวกเขามองเห็นความบกพร่องของระบบมากกว่ากลุ่มคนที่เกิดมาพรั่งพร้อมไปเสียทุกอย่าง
  • ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ ก็ย่อมถูกกดดันด้วย ‘อำนาจ’ ที่แบกไว้บนบ่าเสมอ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้อำนาจนั้นบีบตัวเองให้สู้ต่อจนสำเร็จ หรือกดทับจนตัวเองจนพ่ายแพ้
     

บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์เรื่อง Mad Unicorn สงครามส่งด่วน

ยูนิคอร์น (น.) สัตว์ลึกลับในตำนาน ปัจจุบันใช้เรียกบริษัทสตาร์ทอัพ มูลค่าเกินสามหมื่นล้านบาท

คือข้อความแรกที่ปรากฏบนหน้าจอ ก่อนที่เนื้อเรื่องช่วงถัดมาจะพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับชายในชุดพนักงานขนส่ง เร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ผ่านตรอกซอยด้วยสีหน้าตึงเครียด ประกาศว่า ‘ความแค้น’ คือสาเหตุที่เขาลงมือทำธุรกิจ ทั้งที่ตลาดเต็มไปด้วย ‘ยักษ์’ ผิดกับเขาซึ่งมีสถานะเป็นแค่ ‘แมลงวัน

และสำหรับผู้ชมที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงธุรกิจ คำอธิบายเปิดเรื่องนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อยากรู้ว่า ชายผู้เริ่มต้นจากหลักศูนย์ จะสามารถใช้ความแค้นก่อร่างสร้างเม็ดเงินมูลค่ากว่าสิบหลักขึ้นมาได้อย่างไร

Mad Unicorn สงครามส่งด่วน’ คือลิมิเต็ดซีรีส์จำนวน 7 ตอนจาก Netflix และ GDH ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของเจ้าของธุรกิจขนส่งระดับยูนิคอร์นเจ้าแรกในไทย นำมาประยุกต์เป็นเรื่องราวของ สันติ (แสดงโดย ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) เด็กดอยผู้ใช้ความสามารถด้านภาษาหาเส้นสายในแวดวงธุรกิจจีน จนเกิดไอเดียสร้างบริษัทขนส่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน แต่กลับถูก คณิน (แสดงโดย เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) เจ้าสัวผู้เล็งเห็นศักยภาพหลอกขโมยไอเดียและธุรกิจที่เขาทุ่มเทปลุกปั้น สันติจึงหันมาเปิดบริษัทของตนเอง พร้อมความตั้งใจที่จะ ‘ล้างแค้น’ อาณาจักรของคณินให้จงได้

มองผิวเผินอาจดูเป็นซีรีส์หักเหลี่ยมเฉือนคมทางธุรกิจ ซึ่งสงครามส่งด่วนก็สามารถตอบโจทย์นั้นได้อย่างครบถ้วน ด้วยกลยุทธ์มากมายที่ทั้งสองฝ่ายหยิบยกมาห้ำหั่น พร้อมการเล่าที่เข้าใจง่าย พาผู้ชมที่อาจไม่ได้มีความรู้ด้านการตลาดมากนักตามทันทุกฝีเก้า ทว่านอกเหนือจากการฟาดฟัน ซีรีส์ยังมาพร้อมแก่นสารที่ทั้งน่าเจ็บปวด ทั้งจุดประกายความหวังในเวลาเดียวกัน

ความน่าเจ็บปวดเกิดจากการสะท้อนถึงความยากจน ที่ซึ่งประชากรกกว่าครึ่งประเทศกำลังประสบ ผิดกับ ‘ยักษ์’ หนึ่งหยิบมือซึ่งไม่เพียงเมินเฉย หากแต่ยังใช้กลโกงปิดโอกาสในการลืมตาอ้าปาก

ขณะเดียวกัน ผู้สร้างก็ได้หยิบยกความน่าเจ็บปวดนั้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนให้ตัวละครทำสิ่งที่ดูบ้าบิ่น อันเป็นนิยามของสถานการณ์ที่ผู้ชมจะได้ร่วมเป็นสักขีพยานตลอดเรื่อง นำมาสู่ตอนจบที่แม้จะคาดเดาไม่ยาก แต่มาพร้อมแก่นสารแสนทรงพลังว่า แมลงวันตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ถ้าบากบั่นและหาญกล้ามากพอ ก็ย่อมสามารถบินขึ้นฟ้าในระดับเดียวกับฝูงนก

ความเดือดพล่านที่จับต้องได้ระหว่าง ‘เจ้าสัว’ กับ ‘แมลงวัน’

เชื่อว่าคอหนังสารคดีคงคุ้นชื่อ ‘ณฐพล บุญประกอบ’ ผู้กำกับที่สามารถร้อยเรียงภาพแห่งความจริงมาเป็นสารคดีที่ชวนตกผลึก อุดมด้วยความงามทางศิลปะภาพยนตร์อย่าง ‘Come and See เอหิปัสสิโก’ และการผันตัวมาทำซีรีส์ฟอร์มยักษ์ครั้งแรก ก็ไม่ได้ทำให้อัตลักษณ์ดังกล่าวจืดจางลงเลยแม้แต่น้อย

เพราะแม้จะเป็นงานประเภท Fiction หรือที่เรียกภาษาปากว่า ‘เรื่องแต่ง’ แต่สงครามส่งด่วนก็มีเค้าโครงจากชีวิตของบุคคลจริง พร้อมเส้นเรื่องต้น-กลาง-จบ ตายตัว ไม่อาจพลิกผันหรือหักมุมสุดโต่ง สิ่งที่ผู้ชมรอคอยจึงไม่ใช่บทสรุป แต่เป็น ‘ที่มา’ และ ‘แรงขับเคลื่อน’ ที่ทำให้ตัวละครก้าวไปสู่บทสรุปนั้น ซึ่งผู้สร้างก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยคิดหาปมปัญหาและวิธีการแก้ที่ดูเป็นไปได้จริง ไม่อาศัยการหยิบยื่นความ ‘โชคช่วย’ ให้ตัวละครเอกมากเกินไปนัก เป็นเหตุให้ผู้ชมคล้อยตามการตัดสินใจของสันติ ยอมรับว่าเขาคือมนุษย์ผู้ใช้ความบากบั่น กล้าได้กล้าเสีย พิชิตเป้าหมายสูงสุดของตนได้อย่างแท้จริง

เรื่องราวที่จับต้องได้เหล่านั้นถูกขับเคลื่อนจนเดือดพล่านด้วยองค์ประกอบแบบภาพยนตร์ นั่นคือการเคลื่อนกล้องที่รุนแรง และการตัดต่อสอดรับกับเพลงประกอบอย่างลงตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในงานสารคดี จนกล่าวได้ว่า ผู้สร้างสามารถนำเอกลักษณ์ของตนมาผสมกับเรื่องแต่ง ออกมาเป็นงานที่ลงตัวทั้งความบันเทิงตามขนบของบันเทิงคดี และคุณค่าตามขนบของงานเชิงสารคดี

นอกจากนั้น บทที่ดูจับต้องได้และสะท้อนถึงความเป็นจริงหลายด้านในสังคม ยังทำให้สงครามส่งด่วนไม่เพียงพาผู้ชมไปรู้จักกับความเป็นมนุษย์ แต่สามารถเรียกได้เต็มปากว่า เป็นซีรีส์ที่ปลุกไฟฝัน สร้างแรงบันดาลใจให้คนตัวเล็กตัวน้อยกล้าลุกขึ้นมาทำตามความต้องการ

ขณะเดียวกันก็น่าเศร้า ที่ความต้องการในชีวิตจริงส่วนใหญ่ล้วนมีที่มาจาก ‘ความยากจน

 

เมื่อ ‘แมลงวัน’ ไม่อยากเป็นแมลงวัน จึงต้องหาวิธีสยายปีก

 

เด็กที่วาดไม่มีเงินซื้อน้ำมันลินสีด ก็เลยเอาน้ำมันหมูมาผสมแทน สีมันเลยไม่แห้ง แต่งานมันโดดเด่นจนได้รางวัล...

 

คือคำพูดที่เจ้าสัวคณินกล่าวขณะพา เคน ลูกชายที่ตัวเขาหมายผลักดันให้บริหารบริษัทขนส่งจนรุ่งโรจน์ มาชมภาพวาดภาพหนึ่งที่สียังไม่แห้ง และทันทีที่เคนแสดงความไม่เข้าใจ เจ้าสัวจึงกล่าวเฉลย

 

...ความจนมันกดให้คนต้องคิด

 

ประโยคดังกล่าวเป็นการตอบคำถามของผู้ชมว่า เหตุใดในทีแรก คณินจึงยอมรับในศักยภาพของสันติ ถึงขั้นทุ่มเงินส่วนตัวจำนวนมากในการขอฟังไอเดียธุรกิจและหลอกให้อีกฝ่ายปลุกปั้นมันจนสำเร็จ และแม้กระทั่งหลังจากทั้งคู่กลายเป็นศัตรูกันแล้ว ความรู้สึกนั้นก็ยังเปลี่ยนเป็นความยำเกรง เข้าขั้นวิตกกังวล เพราะลึก ๆ คณินรู้แก่ใจว่า คนอย่างสันติคือคู่ต่อสู้ผู้เปี่ยมด้วยความบ้าคลั่ง

และหลังจากนั้น เคนก็กลับมากดดันลูกทีมซึ่งล้วนเป็นนักการตลาดระดับมืออาชีพ ให้คิดหากลยุทธ์ที่ดีกว่าบริษัทของสันติให้ได้ ก่อนที่กล้องจะเสยขึ้น เผยให้เห็นภาพวาดภาพนั้น ซึ่งได้ย้ายจากแกลเลอรี่มาสู่ห้องประชุมในบริษัทของคณิน สะท้อนถึงความหวาดกลัวที่เจ้าสัวมีต่อนักธุรกิจเด็กดอยเป็นอย่างดี

ความจนยังทำให้สันติถือไพ่เหนือกว่าเคน ตรงที่ตัวเขาเคยประสบปัญหาสารพัดอย่าง ลองผิดลองถูกมามากมาย ผิดกับอีกฝ่ายที่เกิดมาบนความสำเร็จ ไม่เคยต้องล้มลุกคลุกคลานใด ๆ

 

ถอนขนนกกระจอกกับถอนขนไก่ใช้เวลาเท่ากัน

แต่ไก่ได้เนื้อเยอะกว่า

 

คือโอวาทสุดท้ายจากเถ้าแก่เหมืองทรายที่สันติทำงานด้วย ภาพดังกล่าวตัดสลับกับภาพสันติในวัยเด็กที่ยากจนถึงขั้นต้องยิงนกมาเป็นอาหาร เด็กชายพยายามถอนขนมันด้วยแววตาไร้ความหวัง รู้แก่ใจว่าเนื้อที่ได้มาช่างน้อย ไม่คุ้มแก่เวลา แต่ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรตกถึงท้อง ราวกับเป็นการสื่อว่า สันติตอนโตพร้อมแล้วที่จะออกไปตามล่าไก่ ด้วยจิตใจที่เข็ดหลาบและปฏิเสธการกลับไปถอนขนนกกระจอกโดยสิ้นเชิง

ชีวิตที่โชกโชนยังเป็นสาเหตุที่ทำให้สันติได้เห็นความบกพร่องของระบบ โดยเฉพาะประสบการณ์ตรงอย่างการมีเงินไม่พอส่งขนมกลับไปให้แม่ จนหลังจากได้ทดลองใช้ธุรกิจขนส่งของจีน จึงพบว่ามันตอบสนอง Pain Point นำมาสู่การคิดแผนการขนส่งแบบใหม่ ที่แม้แต่นักธุรกิจผู้ช่ำชองอย่างคณินยังต้องนิยามว่า มันคือความคิดที่เป็น ‘หัวแถว’ และหัวแถวนี้เองคือบ่อเกิดของธุรกิจหมื่นล้าน

ทว่าการหาไก่มาถอนขนไม่ใช่เรื่องง่าย การมีมันสมองที่สร้างสรรค์เพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้คนคนหนึ่งก่อสร้างอาณาจักรจนใหญ่โต สันติจำต้องหาเพื่อนร่วมทีม และเพื่อนร่วมทีมที่มีศักยภาพ ทั้งยังพร้อมฝ่าฟันสร้างธุรกิจจากศูนย์ร่วมกับคนจนตรอกอย่างเขาก็หาได้ยากไม่ต่างกัน คณินรู้ถึงความจริงข้อนี้ จึงกล่าวถากถางในวันที่ทั้งคู่แตกหักว่า

 

ทำไป คุณก็เป็นได้แค่แมลงวัน จำไว้

 

สิ่งที่สันติเลือกทำจึงเป็นการพารุ่ยเจี๋ย นักเขียนโปรแกรมผู้ประสบชะตากรรมจนตรอกแบบตน นั่นคือถูกหักหลังโดยบริษัทใหญ่ จนมีใจเคียดแค้นนายทุนเหมือนกัน มาเป็นเพื่อนร่วมทีม ในขณะที่เสี่ยวหยู หญิงสาวนักการเงินที่เขาเลือกเข้ามาด้วยความรักกลับลงเอยด้วยการผิดใจและเข้าใจผิดตอนกลางเรื่อง เนื่องจากสันติมองว่า เสี่ยวหยูไม่ได้ถึงขั้นจนตรอก แต่ยังมีชีวิตแต่งงานที่ดีรออยู่ ผิดกับเขาที่หากปล่อยให้บริษัทพังทลาย ทุกสิ่งที่สร้างมาคงสูญเปล่า

เรียกได้ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ตัวละครเอาชนะปัญหาและทำตามเป้าหมายได้สำเร็จเห็นจะมาจากการความจนตรอก ทว่าสงครามส่งด่วนก็ไม่ได้พาผู้ชมไปทำความเข้าใจจิตใจของคนจนตรอกเพียงฝ่ายเดียว เพราะสำหรับผู้ที่มีฐานะมั่งคั่ง หรือแม้กระทั่งคนจนตรอกผู้ก้าวมามีอำนาจในหมู่คณะ ก็จำต้องเผชิญกับอุปสรรคใหม่ นั่นคือ ‘ความกดดันจากอำนาจ’ อันเป็นเหตุให้ยักษ์ใหญ่ในเรื่องบาดเจ็บล้มตาย และทำให้แมลงวันกระจ้อยร่อยปีกหักไปชั่วคราว

 

ความกดดันของ ‘ผู้เริ่มต้นจากศูนย์’ และ ‘ผู้ที่ไม่เคยเริ่มต้นจากศูนย์’

ตอนจบของสงครามส่งด่วนสะท้อนว่า แม้คนรวยจะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าคนจนในทุกด้าน แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ช้อนเงินช้อนทองที่คาบไว้ตั้งแต่ลืมตาดูโลกไม่ต่างอะไรกับภาระหนักอึ้งบนบ่า เคนเองก็ประสบชะตากรรมเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่อหุ้นส่วนใหญ่ชาวจีนเอ่ยคำเป็นเชิงถากถางว่า

 

พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำลาย

 

สำหรับเคนแล้ว คำพูดนั้นอาจยิ่งร้ายแรงเมื่อปะติดปะต่อเข้ากับความจริงว่า บริษัทขนส่งของเขากำลังจะพ่ายแพ้ให้กับบริษัทของเด็กดอย และในท้ายที่สุด เคนก็ได้แก้ประโยคข้างต้นเสียใหม่เพื่อเป็นการประชด หรือหากมองอีกมุมหนึ่ง ก็อาจเป็นการพยายามทำให้ตัวเองยอมรับความจริง

 

พ่อสร้าง ลูกใช้...ลูกทำพัง

 

หลังพูดประโยคนั้น ก็เป็นครั้งแรกที่ซีรีส์ได้เล่าถึงความกดดันของตัวละครเคนออกมาตรง ๆ

 

ป๊าสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้จากศูนย์ แต่คนแบบป๊าไม่เข้าใจหรอกว่า ผมจะรู้สึกยังไง กดดันแค่ไหน ต้องแบกอะไรบ้าง ที่ต้องถูกเปรียบเทียบไปจนตาย

 

คำพูดสุดท้ายของเคนเผยว่า สำหรับเขา เงินไม่ใช่เป้าหมายในการทำธุรกิจ หากแต่เป็น ‘ชัยชนะ’ ที่จะทำให้เขากระเสือกกระสนออกจากโลกที่พ่อสร้างทับไว้ อำนาจเงินตราที่แบกไว้ตั้งแต่จำความได้หล่อหลอมให้เขาโหยหาการยอมรับจากสังคมรอบข้าง
ทว่าขึ้นชื่อว่าอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน เมื่อใดก็ตามที่แบกมันไว้บนบ่า ก็ย่อมนำมาซึ่งความกดดันไม่ต่างกัน

สำหรับสันติ อำนาจในฐานะซีอีโอได้สร้างความระหองระแหงให้กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะเพื่อนเก่า และแม้กระทั่งน้องชาย ซึ่งต่างมองว่าเขาเปลี่ยนจากเด็กดอยคนเดิมเป็นนายทุนหน้าเลือดเข้าไปทุกที นำมาสู่การที่เขาสั่งให้น้องขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าไรเดอร์ เผชิญการที่เพื่อนคนอื่นค่อย ๆ ตีตัวออกหาก เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ซึ้งถึงรสชาติของการแบกรับอำนาจ ว่ามันน่าเจ็บปวดและอึดอัดเพียงใด

ทว่าตอนจบของซีรีส์ก็ได้บอกคนดูอีกครั้งว่า อำนาจหนึ่งที่สามารถพาเราไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง ก็คืออำนาจในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่ง คืออำนาจในการบังคับตัวเองให้สู้ แม้สถานการณ์จะไม่เป็นใจแค่ไหน

อำนาจดังกล่าวคือการที่เราสามารถเลือกได้ว่า จะใช้พลังของความจนตรอกทำให้ตัวเองสิ้นหวังและจมหาย หรือจะใช้มันเป็นแรงบีบให้กระเสือกกระสนจนถึงฝั่ง

สำหรับสันติ เขาเลือกอย่างหลัง และผลลัพธ์ก็แสนคุ้มค่า นั่นคือสาเหตุที่ซีรีส์เรื่องนี้จบลงด้วยพลังบวก และกล่าวได้เต็มปากว่า สงครามส่งด่วนจะกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ชมซึ่งกำลังลังเลว่า ควรเดินตามความฝันของตนดีหรือเปล่า

และไม่ว่าคุณจะสนุกกับเรื่องราวของสันติหรือไม่ อย่างน้อย แก่นสารที่เด็กดอยผู้เคยถูกปรามาสว่าเป็นแมลงวันผู้นี้ก็น่าจะทำให้คุณหันกลับมามองอำนาจที่คุณมีอยู่แต่เดิม แล้วใช้มันในการโผบินให้ทัดเทียมฝูงนกต่อไป
 

ภาพ : Netflix