ทอม ฮอลแลนด์: สู้สุดใจนายฮีโร่ “คุณไม่มีวันอัดผมได้แรงพอที่จะหยุดผมได้หรอกนะ”

ทอม ฮอลแลนด์: สู้สุดใจนายฮีโร่ “คุณไม่มีวันอัดผมได้แรงพอที่จะหยุดผมได้หรอกนะ”
“มีช่วงเวลาที่ผมถูกกลั่นแกล้งเพราะการเต้นและอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่คุณไม่มีวันอัดผมได้แรงพอที่จะหยุดผมได้หรอกนะ” ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการถูกกลั่นแกล้งสมัยเด็กอยู่หลายครั้ง รู้ดีว่าเขาต่างจากคนอื่น เขาตัวเล็ก และดูอ่อนเยาว์กว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันมาก เขาไม่ใช่เด็กที่ดูเท่หรือเจ๋งที่ได้รับความนิยมในโรงเรียน เขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ตรวจพบว่ามีความบกพร่องในการอ่าน (Dyslexia) เมื่ออายุ 7 ขวบ แม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้ทอมมีปัญหาในการเข้าสังคม เพราะเขาเป็นคนร่าเริงสดใสและชอบพูดคุย  แม่ของเขาค้นพบว่าทอมชอบเต้นมากตั้งแต่สมัยยังเล็ก เขามักจะขยับแข้งขยับขาเต้นไปตามเพลงของเจเน็ต แจ็กสัน จนส่งเขาไปเรียนเต้นทุก ๆ วันเสาร์ที่โรงเรียนสอนเต้น Nifty Feet Dance ซึ่งทำให้เขาได้ฝึกเรียนเต้นแบบฮิปฮอปและฝึกบัลเลต์ แต่ทักษะการเต้นของเขาไม่ได้ช่วยให้เขาดูโดดเด่นในโรงเรียน กลับกัน โรงเรียนคาทอลิกชายที่เขาเรียนในตอนนั้นเต็มไปด้วยเด็กแสบ ๆ ที่มีค่านิยมว่าลูกผู้ชายก็ต้องทำกิจกรรมแมน ๆ อย่างการเล่นรักบี้ แต่ทอมมักจะไปฝึกเต้นบัลเลต์ในโรงยิมกับคุณครูในช่วงพักกลางวัน ทำให้เขาถูกแกล้ง ถูกรังแก ถูกล้อเลียนอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะไม่ถึงกับถูกรังแกทุกวัน แต่ว่าประสบการณ์เหล่านั้นก็ทำให้เขารู้สึกแปลกแยกจากเด็กคนอื่น ๆ   ชีวิตของเขาเองก็เหมือน บิลลี่ เอลเลียต (Billy Elliot) ตัวละครดังที่เป็นเด็กชายผู้หลงใหลการเต้นบัลเลต์จนต้องพยายามต่อสู้กับการดูถูกเหยียดหยามจนได้เป็นนักบัลเลต์สมใจ ทอมได้กลายมาเป็นบิลลี่ เอลเลียต จริง ๆ เมื่อแมวมองเห็นเขาจากการไปแสดงโชว์ของโรงเรียนสอนเต้นและทาบทามให้มาออดิชันละครเวที Billy Elliot: The Musical แม้ว่าทอมจะผ่านการออดิชัน แต่ว่าทีมงานคิดว่าเขายังตัวเล็กไปที่จะรับบทนี้ เขาจึงรับบทแรกด้วยการเป็นไมเคิล เพื่อนของบิลลี่ และฝึกหนักเป็นเวลา 2 ปี เพื่อรับบทนี้ ทอมต้องฝึกยิมนาสติกอย่างหนัก เผชิญกับอาการบาดเจ็บนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ จนได้มาเป็นผู้รับบทบิลลี่ เอลเลียต และได้ขึ้นแสดงโชว์ตอนอายุ 11-13 ปี ซึ่งเป็นก้าวแรกที่ทอมได้สัมผัสโลกของการแสดง จากนั้นทอมก็เริ่มตั้งมั่นในเรื่องของการแสดงจนมาได้รับบทในภาพยนตร์เรื่องแรก The Impossible (2012) ที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าอยากจะทำอาชีพเป็นนักแสดง ซึ่งหลังจากนั้นทักษะการแสดง การฝึกฝนทั้งการเต้นและยิมนาสติกก็ได้ผลิดอกออกผล เพราะเขาได้นำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในเรื่องต่าง ๆ  “ผมดีใจที่ผมได้รับการฝึกฝนมา มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากต่ออาชีพของผม และผมใช้มันในเกือบทุกสิ่งที่ผมทำหลังจากนั้น” หนึ่งในนั้นก็คือการรับบทเป็นสไปเดอร์แมน…   ความมุ่งมั่นที่มากล้นจนรุ่นพี่ ‘ตกหลุม’ “สิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าคุณจะทำอะไร จงพยายามให้มากที่สุดที่จะทำได้ เพราะว่าเมื่อคุณพยายามถึงที่สุดแล้ว และแม้ว่ามันจะไม่ออกมาดีอย่างที่คุณหวัง คุณก็จะไม่ต้องมาผิดหวังในตัวเองในภายหลัง ยิ่งคุณพยายามมากขึ้นเท่าไร คุณก็จะสร้างความประทับใจให้กับคนรอบข้างได้มากขึ้น”   ทอม ฮอลแลนด์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ Teen Vouge หลังจากที่เขากลายเป็นนักแสดงดาวรุ่งในเรื่อง The Impossible (2012)  และกลายเป็นที่จับตาในฐานะดาวรุ่งว่าสิ่งที่เขายึดเป็นหลัก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามก็คือความพยายาม เขาจะพยายามอย่างที่สุดในการทำงานทุกครั้ง เมื่อเขาได้ข่าวว่าจะมีการเปิดรับสมัครออดิชันเพื่อหาผู้ที่จะมารับบทสไปเดอร์แมนคนใหม่ เขาก็รีบโทรฯ หาเอเยนต์ของเขาทันที เพราะเขาเป็นแฟนสไปเดอร์แมนตัวยง และทอมก็เริ่มต้นทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เขาได้รับความสนใจจากทีมคัดเลือกนักแสดงของ Marvel เขาจึงได้งัดเอาทุกสิ่งที่เขามีมาทุ่มแบบหมดหน้าตัก ทุกครั้งที่ทอมอัดเทปแนะนำตัวส่งไปให้กับ Marvel เขาก็งัดเทคนิคยิมนาสติก อวดทักษะการตีลังกาและทำท่าผาดโผนเข้าไปด้วย  “ทุกครั้งที่ผมอัดเทป ผมจะแนะนำตัวว่า สวัสดีครับ ผม ทอม ฮอลแลนด์ ผมสูงเท่านี้ อายุเท่านี้ และผมจะกระโดดตีลังกาเข้ามาในเฟรม แล้วก็กระโดดออกไป ผมทำแบบนี้ทุกเทป เพราะพวกเขาอาจจะไม่ได้ดูเทปนี้ก็ได้ แต่ว่าถ้าพวกเขาได้ดู เขาจะต้องรู้ว่าผมมีทักษะยิมนาสติกและทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นผมเลยทำมันทุกเทปเลยเพื่อที่ว่าพวกเขาจะมอบบทนี้ให้กับผม” นอกเหนือจากทักษะความสามารถส่วนตัวแล้ว ทอมยังใช้ความมีอัธยาศัยดีและความมุ่งมั่นของเขาให้เป็นประโยชน์ด้วยการขอร้องให้เหล่านักแสดงรุ่นพี่ที่เขาร่วมงานด้วยมาช่วยอัดเทปออดิชัน! ซึ่งความน่ารักและหมั่นเพียรพยายามของเขาทำให้พวกพี่ ๆ ยินดีช่วยเหลือเขาเสมอ ทั้งโจล คินนาแมนที่ร่วมงานกันในหนังเรื่อง Edge of Winter (2016) กลายเป็นผู้ช่วยทำเทปออดิชันเทปแรกให้กับทอม ซึ่งทั้งสองคนก็ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แม้ว่าโจลจะไม่ได้มาร่วมงานใน MCU (Marvel Cinematic Universe) แต่ทอมก็ยังแวะเวียนไปเยี่ยมโจลที่กองถ่าย Suicide Squad (2016) หนังรวมพลคนตัวร้ายของฝั่ง DC จอน เบิร์ลธาล เป็นอีกหนึ่งคนที่ ‘ตกหลุม’ ลูกอ้อนและความพยายามของทอม ทั้งสองคนร่วมงานกันในเรื่อง Pilgrimage (2017) ในขณะที่ทอมทำเทปเพื่อเป็นสไปเดอร์แมน ส่วนจอนทำเทปออดิชันบท เดอะ พันนิชเชอร์ (The Punisher)   ในเมื่อมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือสมัครเป็นฮีโร่มาร์เวล ซึ่งตัวละครทั้งสองก็มีความเชื่อมโยงกันตามเนื้อเรื่องอยู่แล้ว ทั้งคู่เลยสลับกันช่วยกันอัดเทป  “ผมพูดถึงสิ่งดี ๆ เกี่ยวกับทอมได้ไม่จบสิ้น เขามีทั้งความแข็งแกร่ง ความสามารถ และความอดทนที่น่าทึ่งมาก ไม่ใช่แค่ในระดับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเท่านั้น แต่ทุกช่วงอายุ พวกเราได้เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามเพื่อคว้าบทสไปเดอร์แมนของเขา เราได้เห็นความมุ่งมั่นของเขา ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผมได้เห็นว่าเขาสู้เพื่อบทนี้มากแค่ไหน และนั่นมันเป็นวิธีการทำงานของเขาในทุก ๆ วัน” จอนได้เผยว่า ทอมก็เป็นผู้ที่ทำให้เขาคว้าบทเดอะ พันนิชเชอร์มาได้ เพราะได้ทอมมาทำให้เทปออดิชันของเขาสมบูรณ์ขึ้น “พวกเขามีบทจำลองมาให้ครับ เป็นซีนเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่กำลังสอนเด็กชายในการล่ากวาง และบรรยายช่วงเวลาในการล่ากวาง เราต้องแสดงเป็นว่ามีกวางอยู่ตรงนั้น และผมเห็นว่าเขาพร้อมที่จะฆ่ามันแล้ว ทีแรกทอมอยู่นอกกล้อง แต่เราก็รู้สึกเหมือนกันว่า เข้าฉากมาเลยดีกว่า มาทำฉากนี้ด้วยกัน”   คริส เฮมสเวิร์ธ เป็นอีกคนที่ทอมคว้าใจมาให้ช่วยเหลือในการคว้าบทสไปเดอร์แมน ทั้งสองคนเคยร่วมงานกันในเรื่อง  In the Heart of the Sea (2015) ในระหว่างที่อยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกนักแสดงบทสไปเดอร์แมน ทอมได้ส่งอีเมลไปขอร้องให้คริสช่วยคุยกับผู้ที่คัดตัวนักแสดงให้หน่อยว่า อย่างน้อยให้ช่วยพิจารณาเทปออดิชันของเขา ซึ่งคริสก็ช่วยโทรฯ ไปคุยให้จริง ๆ  “ผมช่วยเท่าที่ผมทำได้ครับ ผมโทรฯ ไปบอกพวกเขาว่า ทอมเป็นหนึ่งในคนที่มีความสามารถมากที่สุดที่ผมเคยร่วมงานด้วย เขามีจิตใจที่ดีงาม และเป็นคนที่น่ารัก เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และมีความเคารพซึ่งกันและกัน” จากความพยายามของทอมเอง และการช่วยเหลือช่วยผลักดันของรุ่นพี่ในวงการ แน่นอนว่าทอมกลายเป็นหนึ่งในท็อปลิสต์ของ ซาร่า ฮอลลีย์ ฟินน์ มือแคสติ้งระดับตัวแม่ของวงการ ผู้จัดหานักแสดงมาเป็นฮีโร่มาร์เวลมาแล้วนักต่อนัก เธอถึงขั้นการันตีกับสองผู้กำกับ โจช และแอนโทนี รุสโซ ที่กำลังหาสไปเดอร์แมนมาร่วมงานใน Captain America: Civil War (2016) ว่า “คนนี้แหละ พวกคุณจะต้องรักเขา”  สองพี่น้องตกหลุมทอม ฮอลแลนด์เข้าอย่างจัง พวกเขาประทับใจในความสามารถและเสน่ห์ของทอม “มันยากมากที่จะหาใครเดินเข้ามาในห้องแล้วมีองค์ประกอบทุกอย่างในการเป็นดาราที่ครบเครื่อง ฮอลแลนด์มีสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งเขายังสามารถที่จะตีลังกากลับหลังต่อหน้าคุณได้ด้วย นี่มันมีส่วนช่วยนะ”  ถึงพี่น้องรุสโซจะมั่นใจในตัวทอมมาก และเขาก็ผ่านการทดสอบเข้าฉากบู๊กับคริส อีแวนส์ ที่ก็ประทับใจในตัวทอมแล้ว แต่พวกเขากลับพบปัญหาใหญ่เมื่อ Sony ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวละครสไปเดอร์แมน ยังไม่มั่นใจพอที่จะมอบบทนี้ให้กับทอม พี่น้องรุสโซเผยในการให้สัมภาษณ์กับ GQ ว่า ทาง Sony เป็นฝ่ายที่ไม่ยอมตัดสินใจสักที แต่พวกเขาก็ไม่ละความพยายามที่จะเสนอให้ทอมเป็นสไปเดอร์แมน พวกเขาพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ Sony ก็หวั่นใจที่จะสร้างสไปเดอร์แมนที่ยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ แต่สุดท้ายแล้วผู้ที่เข้ามาชี้ชะตาทำให้ทอม ฮอลแลนด์ได้รับบทนี้ก็คือ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่ฟันธงว่าต้องเป็นเด็กคนนี้ เพราะแม้ว่าเขาจะได้ทดสอบหน้ากล้องกับเด็กนักแสดงรุ่นเยาว์ที่มาออดิชันบทนี้มากมาย แต่ทอมได้ฉายเสน่ห์และมีไหวพริบที่ยอดเยี่ยม เมื่อดาวนีย์เปลี่ยนบทกะทันหันแล้วทอมยังสามารถด้นสดต่อบทกันได้อย่างไหลลื่น และทอมคือคนที่พร้อมที่จะ ‘รับช่วง’ ตำแหน่งสไปเดอร์แมนได้มากที่สุด “เด็กคนนี้รับมือได้ครับ เขาจัดจ้าน มีสถานะที่ดี ผมดูออกว่าเขามีจิตวิญญาณนักสู้ที่ดี เขาสามารถแก้สถานการณ์ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แถมยังทำให้มันน่าสนใจได้มากขึ้นอีก จำไว้นะครับว่าผมทดสอบบทกับเด็ก ๆ มาเยอะมากในวันนั้น พวกเขาต่างก็ทำได้ยอดเยี่ยม แล้วก็สามารถนำความแปลกใหม่มาให้กับบทสไปเดอร์แมนได้ แต่ทำไมต้องฮอลแลนด์ล่ะ คุณอยากรู้ใช่ไหมล่ะ เพราะความมุ่งมั่นครับ ความมุ่งมั่นและมีความมั่นใจที่จะสามารถรับช่วงต่อบทบาทนี้ได้”   ส่งต่อความช่วยเหลือ ทอม ฮอลแลนด์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการรับบทเป็นสไปเดอร์แมน และเขาไม่ทำให้ทุกคนที่สนับสนุนช่วยเหลือและเชื่อมั่นในตัวเขาผิดหวังเลยแม้แต่น้อย การรับบทเป็นสไปเดอร์แมนของเขาเข้ามาเติมเต็มเรื่องราวใน MCU และยังสร้างความแปลกใหม่ให้กับสไปเดอร์แมนทั้งสองภาค Spider-Man: Homecoming (2017) , Spider-Man: Far From Home (2019) และ Spider-Man: No Way Home (2021) ซึ่งการรับบทสไปเดอร์แมนทำให้เขาได้ร่วมโครงการ  Stomp Out Bullying ต่อต้านการกลั่นแกล้งในโรงเรียน และหวังว่าการแสดงของเขาจะช่วยเป็นแบบอย่างให้กับเยาวชนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ   ทอมไม่หยุดนิ่งในการพยายามหาบทบาทที่น่าสนใจให้กับตนเอง เขาแสดงผลงานที่เติบโตขึ้นอย่าง The Devil All the Time (2020) เป็นเด็กหนุ่มที่ต้องตกอยู่ในวังวนของคนโฉด และหนังดรามาหนักหน่วง อย่าง Cherry (2021) ที่เขาต้องรับบทหนักที่สุดในชีวิต ในบททหารที่มีอาการกระทบกระเทือนจิตใจจากสงครามจนหันหน้าเข้าสู่ยาเสพติด ด้านผลงานแนวบันเทิงก็ไม่ทิ้ง เขามีหนังแนวไซ-ไฟอย่าง Chaos Walking (2021) และหนังแอคชันที่ดัดแปลงจากเกม Uncharted   นอกจอภาพยนตร์ เขาได้ใช้ชื่อเสียงให้เป็นประโยชน์ ทอม ฮอลแลนด์ ได้ตั้งองค์กรการกุศล The Brother Trust ขึ้นมาในปี 2017 เพื่อใช้ชื่อเสียงของเขาในการระดมทุนมอบเงินให้กับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหา และสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้งช่วยเหลือเด็กผู้ป่วย ช่วยเหลือกลุ่มสตรีและผู้ด้อยโอกาส ทอม และครอบครัวจะเฟ้นหาและคัดเลือกการมอบเงินทุนสนับสนุนองค์กรต่าง ๆ ด้วยตนเอง และล่าสุดองค์กร The Brother Trust ของเขายังได้ร่วมสนับสนุน Warm Heart Worldwide องค์กรที่ช่วยเหลือชนกลุ่มน้อยและผู้สูงอายุในประเทศไทยที่ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐได้อย่างเต็มที่อีกด้วย วันนี้ทอม ฮอลแลนด์ ได้มาไกลจากเด็กที่ถูกแกล้ง ถูกล้อเลียนจากการที่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เขาได้ใช้ทักษะความรู้ความสามารถของเขามาใช้ในการทำงาน อีกทั้งเป็นประโยชน์ คงไม่มีใครตั้งคำถามอีกแล้วว่าเขาเหมาะสมกับบทบาทสไปเดอร์แมนอีกหรือไม่ เพราะคำตอบมีอยู่แล้วว่า เขาพร้อมรับพลังอันยิ่งใหญ่ และความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งได้อย่างครบเครื่องทั้งในจอและนอกจอ     อ้างอิง https://www.gq-magazine.co.uk/culture/article/tom-holland-cherry-interview https://www.teenvogue.com/story/tom-holland-the-impossible https://comicbook.com/marvel/news/spider-man-punisher-tom-holland-jon-bernthal-audition/ https://collider.com/spider-man-tom-holland-audition-interview/ https://people.com/movies/spider-man-homecoming-tom-holland-talks-being-bullied/   เรื่อง: จากเพจ ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้