Twilight Over Burma (Austria, Sabine Derflinger, 2015) คือภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่องมาจากหนังสือ ‘สิ้นแสงฉาน’ (Twilight Over Burma) นวนิยายแปลจากงานเขียน อิงเง่ ซาร์เจนท์ หญิงชาวออสเตรีย อดีตมหาเทวีแห่งสีป้อ (สำนักพิมพ์มติชนตีพิมพ์ แปลโดยมนันยา) นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวรักโรแมนติกของตัวผู้เขียนเอง ซึ่งพรหมลิขิตพาให้มาพบรักและใช้ชีวิตคู่กับเจ้าฟ้าจาแสงแห่งรัฐฉาน แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันเมื่อเกิดรัฐประหารโดยนายพลเนวิน เมื่อปี พ.ศ. 2505 ทำให้เธอต้องพาลูก ๆ หนีออกมาจากประเทศ โดยไม่รู้แม้แต่ชะตากรรมของสามีผู้เป็นเจ้าแห่งรัฐฉาน
ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ในลักษณะที่ทำมาเพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์ในออสเตรีย โปรดักชันและภาษาหนังที่ใช้ในเรื่องจึงออกมาในลักษณะของการเล่าเรื่องเพื่อให้ฟังก์ชันกับคนดูทีวีเป็นหลัก ทำให้ในบางจังหวะของภาพยนตร์ค่อนข้างจะอืดและยืดยาดสำหรับคนที่ชอบดูหนังเล่าเรื่องเร็ว ๆ แต่หากจะพูดถึงเรื่องการ ‘เก็บความ’ ในหนังสือ ภาพยนตร์ Twilight Over Burma ก็มีหลายมุมมองที่น่าสนใจ
เรื่องราวของภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นจากการพบรักของเจ้าฟ้าจาแสง (แสดงโดย ทวีฤทธิ์ จุลละทรัพย์ นักแสดงชาวไทย) กับอิงเง่ ซาร์เจนท์ (แสดงโดย มาเรีย แอห์ริค นักแสดงชาวเยอรมัน) ตอนเรียนที่อเมริกา แล้วต่อมาทั้งคู่มาใช้ชีวิตร่วมกันที่รัฐฉาน ประเทศพม่า (ใช้ชื่อประเทศโดยอิงบริบทยุคนั้น) ในช่วงหลังจากที่พม่าหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศนี้ว่าหลังจากนี้จะก้าวหน้าไปทางไหน ระหว่างการให้อำนาจประชาชนเพื่อปูทางไปสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตย กับการดึงอำนาจเข้ามาสู่รัฐซึ่งมีกองทัพอยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตาม ‘สาร’ ที่แฝงในหนัง แม้จะวาดภาพ ‘ทหาร’ เป็นตัวร้าย ผ่านความโหดร้ายในช่วงของการปฏิบัติการเพื่อความมั่นคงของรัฐหลังรัฐประหาร แต่อีกมุมกลับเต็มไปด้วยกลิ่นของ ‘โฆษณาชวนเชื่อ’ ของกลุ่มเจ้าผ่านบทบาทของทั้งเจ้าฟ้าจาแสง ซึ่งเป็นเจ้าที่เรียนรู้วิทยาการจากตะวันตก (การทำเหมือง) เพื่อนำความรู้มาพัฒนาประเทศ และต้องการนำประชาธิปไตยมาสู่ดินแดนพม่า
ส่วนตัวของอิงเง่ ซาร์เจนท์ (ในฐานะผู้เล่าเรื่อง) ก็เปรียบเสมือนตัวแทนของภาวะทันสมัยของคนตะวันตกที่เข้ามาสร้างความศิวิไลซ์ให้กับคนพม่าหลังยุคอาณานิคม ที่มันดูย้อนแย้งก็คือ เมื่อตะวันตกอย่างเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ถอยออกจากประเทศ ตัวอิงเง่ ซาร์เจนท์ ในฐานะคนตะวันตกอีกแบบก็กลับเข้ามาเพื่อช่วยสามี ‘พัฒนา’ ประเทศ และให้การศึกษาผู้คนเพื่อให้ก้าวพ้นจากสังคมล้าหลัง มาเป็นสังคมที่ทันสมัยขึ้น ผ่านฉากของการช่วยเหลือข้าราชบริพารที่กำลังป่วยหนัก แทนที่จะปล่อยให้เธอเสียชีวิตตามความเชื่อดั้งเดิม แต่ตัวเอกกลับใช้ความรู้ทางด้านสาธารณสุขสมัยใหม่เข้ามาช่วยชีวิตของข้าราชบริพารผู้นั้น
ในมุมนี้เอง จึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่บอกว่า กลุ่มเจ้า (ที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก) ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจเก่า และความเป็นตะวันตกคือความดีงาม ขัดกับภาพของทหารที่มีความ ‘ป่าเถื่อน’ ท่าทีดูจะกลายเป็นตัวโกงอย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่ได้บอกว่าเผด็จการทหารในพม่านั้นเป็นของดี เพราะผลลัพธ์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรานี้ปกครองด้วยทหารนั้นเลวร้ายขนาดไหน เราก็เห็น ๆ กันอยู่ แต่การสร้างภาพแบบ ‘เทพ’ กับ ‘มาร’ แบบขาวกับดำแยกกันออกมานั้น มันทำให้ภาพของหนังดูหลุดยุคไปมาก ๆ ในโลกปัจจุบันที่เราไม่อาจจะนิยามได้อย่างชัดเจนจริง ๆ ว่าสิ่งใดคือขาวและดำ
อย่างไรก็ตาม หากมองเฉพาะผลลัพธ์ที่เป้าหมายของหนังต้องการที่จะชำระประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ในมุมมองของอิงเง่ ซาร์เจนท์เองที่ยังคงร้องเรียนเรื่องการหายตัวไปของเจ้าฟ้าจาแสงผู้เป็นสามีมาเป็นเวลานานหลายสิบปี (ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน) นับว่าตัวหนัง Twilight Over Burma ทำงานควบคู่กับเป้าหมายนี้ได้อย่างน่าสนใจ
หากมองในแง่ที่ว่า โปรดักชันของหนังเรื่องนี้เริ่มกันจริง ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพ้องกับช่วงเวลาที่พม่า (เมียนมา) เริ่มเปิดประเทศ มีการเลือกตั้ง และขยับประเทศก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น (ก่อนที่จะกลับมาทำการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2564) ทำให้เรื่องราวในหนังและนวนิยายนั้นไม่ถูกเซ็นเซอร์จากรัฐบาลเมียนมาอย่างเมื่อวันวาน กองถ่าย Twilight Over Burma สามารถเดินทางเข้าไปถ่ายทำหนังในดินแดนนี้ได้ ซึ่งเราจะเห็นได้จากฉากใหญ่อย่างฉากต้อนรับมหาเทวีแห่งสีป้อก็ถ่ายทำที่ประเทศนี้
แต่สุดท้ายน่าเสียดายว่า หนังเรื่องนี้ถูกรัฐบาลแบน สั่งห้ามฉายในประเทศเมียนมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐยังไม่ใจกว้างพอที่จะเปิดปากแผลของประเทศ และพยายามทำให้เรื่องนี้มาวางไว้บนโต๊ะประวัติศาสตร์ (ในประเทศไทยเอง เมื่อปี 2559 หนังเรื่องนี้ถูกถอดออกจากโปรแกรมการฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศที่ถ่ายทำในประเทศไทย)
แต่อย่างไรก็ตาม กระแสเช่นนี้ ส่งผลให้การทวงถามความยุติธรรมและคนที่หายไป (หมายรวมถึงเจ้าฟ้าจาแสง) จากพิษร้ายของการเมืองพม่า ตั้งแต่การรัฐประหารในพม่าเมื่อปี พ.ศ. 2505 เริ่มมีแสง มีเสียง ที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ
ประวัติศาสตร์ของ ‘การไม่ลืม’ เริ่มทำงานขึ้นมาอย่างชัดเจน แม้ว่าคนที่หายไปจะไม่กลับมา แต่เขาไม่เคยหายไปไหนจากหน้าประวัติศาสตร์
แม้ว่าเวลานั้นเอง รัฐฉานจะสิ้นแสงเพราะรัฐบาลทหาร แต่ในวันที่ความมืดคล่อย ๆ คลายตัวลง แสงใหม่ที่มาแทน แม้จะยังเป็นแสงที่ไม่แรงกล้ามาก แถมการรัฐประหารครั้งล่าสุด (2564) อาจจะทำให้ประเทศนี้ถอยหลังกลับไปอีกหลายก้าว
แต่มันก็อาจจะมีใครบางคนที่รอคอยด้วยความหวัง ว่าจะเห็นแสงแห่งความหวังที่ทำให้ความยุติธรรมที่เคยหายไปกลับมาก็เป็นได้