บุญกิจ ลีเลิศพันธ์ ผู้ปลุกปั้น ‘ดอกบัวคู่’ ยาสีฟันสมุนไพรที่มาก่อนกาล

บุญกิจ ลีเลิศพันธ์ ผู้ปลุกปั้น ‘ดอกบัวคู่’ ยาสีฟันสมุนไพรที่มาก่อนกาล

ยาสีฟัน ดอกบัวคู่ ที่ทุกวันนี้ยังคงได้ยินชื่อกันอยู่ มีที่มาจากการมองเห็นโอกาสในธุรกิจยาสีฟันสมุนไพรก่อนใครของ บุญกิจ ลีเลิศพันธ์ ผู้ก่อตั้งดอกบัวคู่ เมื่อ 40 กว่าปีก่อน

  • ยาสีฟัน ดอกบัวคู่ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรยังคงเป็นที่รู้จักจนถึงวันนี้ ขณะที่จุดเริ่มต้นแรกมาจากการมองเห็นโอกาส
  • ผู้มองเห็นโอกาสในธุรกิจยาสีฟันสมุนไพรก่อนใครในไทยคือ บุญกิจ ลีเลิศพันธ์ 
  • บุญกิจ เริ่มปรุงยาตามสูตรที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ก่อนเปิดห้างขายยาสมุนไพรเล็ก ๆ จนมีผู้ใช้บอกปากต่อปาก

จากยาสีฟันเนื้อหยาบสีน้ำตาลเข้มที่มีส่วนประกอบหลักเป็นสมุนไพรนานาชนิด ที่เมื่อก่อนหลายคนอาจส่ายหน้าไม่ค่อยกล้าลองใช้ แต่มาวันนี้ที่กระแสธรรมชาติมาแรง ยาสีฟันยี่ห้อ ดอกบัวคู่ คือเบอร์ต้นในตลาดยาสีฟันสมุนไพรเมืองไทย ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีความรักในสมุนไพรธรรมชาติ และการมองเห็นโอกาสในธุรกิจยาสีฟันสมุนไพรก่อนใครของ บุญกิจ ลีเลิศพันธ์ ผู้ก่อตั้งดอกบัวคู่เมื่อ 40 กว่าปีก่อน

เช่นเดียวกับชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมาก ลีกิมจั๊ว พ่อของบุญกิจเดินทางจากเมืองซัวเถามาแสวงหาชีวิตใหม่ในเมืองไทย และเลือกตั้งรกรากที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำมาค้าขายด้วยการเปิดร้านขายของชำและร้านขายขนมเปี๊ยะ ค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบจนพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ลูกชายอย่างบุญกิจ จึงโตมาอย่างไม่เดือดร้อนมากนัก แต่ต่อมาลีกิมจั๊วถูกโกงเงินธุรกิจค้าส่งทางเรือ ท้ายสุดเขาจึงต้องพาครอบครัวโยกย้ายไปเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพฯ

บุญกิจ เป็นคนหนักเอาเบาสู้ ช่วงวัยรุ่นเขาทำงานสารพัดเพื่อกู้ฐานะของที่บ้านให้ดีขึ้น ทั้งขายผลไม้ รับเหมาก่อสร้าง แต่เหมือนโชคชะตาทดสอบความอดทนของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะพยายามเท่าไหร่ ความเป็นอยู่ของครอบครัวก็ไม่ดีขึ้นสักที

“ตอนพ่อเสียยังไม่มีเงินฝังศพ ต้องใช้เวลาไปทำฟาร์มไก่ถึง 3 ปีจึงมีเงินมาทำศพพ่อได้ ต่อมาก็ถูกโกงจนหมดตัวอีก” บุญกิจให้สัมภาษณ์นิตยสารผู้จัดการ เมื่อปี 2547

จุดพลิกผันในชีวิตเกิดขึ้น เมื่อบุญกิจ และสุนันทา ผู้เป็นภรรยาตัดสินใจเดินทางกลับภาคใต้ เพื่อศึกษาตัวยาสมุนไพรนานาชนิดจากตาซึ่งเป็นหมอแผนโบราณ บุญกิจ ค่อย ๆ เรียนรู้ สังเกต จดจำ แล้วเริ่มปรุงยาตามสูตรที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น

เมื่อมั่นใจในสูตรยาแล้ว ในปี 2516 บุญกิจ ก็นำเงินเก็บมาเปิดห้างขายยาสมุนไพรเล็ก ๆ ผลิตและจำหน่ายยารักษาโรคต่าง ๆ พอคนไข้ได้ลองใช้ยาแล้วก็เกิดการบอกปากต่อปาก ทำให้ยาสมุนไพรของบุญกิจเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลาย

แต่ต่อมาเขาต้องเผชิญอุปสรรคอีกรอบ เมื่อภูมิปัญญาสมุนไพรไทยถูกกีดกัน บุญกิจจึงต้องพลิกแพลงความรู้ด้านยาสมุนไพรที่มีไปทำประโยชน์อย่างอื่น

เขาคิดว่าสมุนไพรน่าจะนำมาเป็นส่วนประกอบหลักของยาสีฟันได้ เพราะโรคในช่องปากหลายโรคก็สามารถใช้ยาสมุนไพรช่วยบรรเทาอาการ อีกทั้งขณะนั้นยาสีฟันสมุนไพรในเมืองไทยยังไม่มีผู้ผลิตที่เป็นแบรนด์ไทยเลย จะมีก็แต่แบรนด์ต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้สมุนไพรล้วน ๆ แถมยังตั้งราคาสูงอีกต่างหาก

หลังจากใช้เวลาค้นคว้าทดลองสมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาโรคในช่องปาก รวมทั้งทดลองสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยดูแลเหงือกและฟันอยู่นาน ในที่สุดก็ออกมาเป็นยาสีฟันสมุนไพร ตรา “ดอกบัวคู่” ในปี 2520

แม้จะประสบความสำเร็จในการทำยาสีฟันสมุนไพรสัญชาติไทยออกขายจริงจังในตลาดเป็นรายแรก แต่ “ความยาก” ที่บุญกิจต้องฝ่าไปให้ได้ต่อจากนั้นคือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อมั่นในยาสีฟันที่มีเนื้อสีเข้ม ๆ ว่าจะช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟันของผู้ใช้ได้จริง เพราะทุกแบรนด์ในตลาดล้วนเป็นยาสีฟันเนื้อสีขาวทั้งหมด

เรียกว่ากลยุทธ์แรกที่บุญกิจใช้คือ “ป่าล้อมเมือง” ก็คงไม่เกินความจริงนัก เขาเริ่มทำการตลาดที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านญาติของสุนันทา เป็นการลดต้นทุนไปได้ทางหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็สามารถไปพักบ้านญาติได้โดยไม่ต้องเสียเงิน และเพื่อให้คนในพื้นที่รู้จักดอกบัวคู่มากขึ้น กลยุทธ์ต่อมาจึงเป็น “การสร้างความรับรู้อย่างต่อเนื่อง”

บุญกิจ จ้างทำสปอตโฆษณาทางวิทยุ ควบคู่กับการเข้าถึงชุมชนทุกแห่ง สร้างความคุ้นเคยสนิทสนมกับยี่ปั๊วและตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่

จากนั้นก็ขยายไปรุกตลาดในจังหวัดอื่น ๆ ทางภาคอีสาน ในยุคนั้นที่วิทยุคือความบันเทิงหลัก ดอกบัวคู่จึงอัดสปอตโฆษณาทางวิทยุไม่ยั้ง ทั้งยังเป็นสปอนเซอร์รายการวิทยุหลายรายการ จนยอดขายทะยานขึ้นเป็นหลายล้านบาท

จากการทำตลาดเฉพาะภูมิภาค บุญกิจและสุนันทาขยับมาเป็นระดับประเทศ คราวนี้เป็นโฆษณาทางโทรทัศน์ที่นำ มยุรา เศวตศิลา นักแสดงและพิธีกรชั้นนำมาเป็นพรีเซนเตอร์ในราวปี 2540-2542 ผลตอบรับที่ดีส่วนหนึ่งสะท้อนออกมาเป็นยอดขาย 30-40 ล้านบาทต่อเดือน

ถึงจะสร้ายรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ดอกบัวคู่ก็ไม่เคยประมาท ลูก ๆ ของบุญกิจและสุนันทาที่เข้ามารับช่วงต่อต่างช่วยกันพาธุรกิจครอบครัวให้เดินหน้า มีการพัฒนาสูตรใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความนิยมของตลาด จากเดิมที่มีแต่สูตรเพื่อสุขภาพเหงือกและฟัน ก็เพิ่มเติมสูตรขจัดกลิ่นปาก สูตรลมหายใจหอมเย็นสดชื่น สูตรลดการเสียวฟัน สูตรอ่อนโยน ฯลฯ และยังแตกไลน์ไปทำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย เส้นผม และเครื่องดื่มรังนก รวมทั้งขยายไปบุกตลาดจีนในชื่อแบรนด์ Twin Lotus ที่แปลเป็นไทยได้ความหมายเดิมคือ ดอกบัวคู่

การนำเสนอที่ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่าเป็นยาสีฟันสมุนไพร ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ประกอบกับการคงคุณภาพสินค้าและพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง ทั้งหมดคือส่วนผสมสำคัญไม่แพ้ “สมุนไพร” ที่ทำให้ดอกบัวคู่รักษาเก้าอี้เบอร์หนึ่งของตลาดยาสีฟันสมุนไพรเมืองไทยไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
 
ที่มา:

Twin Lotus

ผู้จัดการ 360

นิตยสารฟอร์บส ไทยแลนด์ ฉบับเดือนตุลาคม 2561