UrboyTJ เส้นทางสายดนตรีของเด็กวัย 15 และวาทะ “กามิกาเซ่ เป็นดีเอ็นเอของผม”

UrboyTJ เส้นทางสายดนตรีของเด็กวัย 15 และวาทะ “กามิกาเซ่ เป็นดีเอ็นเอของผม”

เต๋า หรือ UrboyTJ กับเรื่องราวของ แรปเปอร์ ซุปเปอร์ไซย่า รอยยิ้มกว้าง และวาทะเรื่อง “ก็ กามิกาเซ่ มันเป็นดีเอ็นเอของผม”

“เดี๋ยวติดต่อกลับไปนะครับ”

เสียงชายคนหนึ่งจากบรรดาเหล่าทีมโปรดิวเซอร์ที่นั่งเรียงรายกันอยู่ในห้องประชุมพูดขึ้นหลังสิ้นเสียงร้องปนแร็ปจากเด็กชายรูปร่างสมส่วนอายุ 15 ที่เดินทางมาจากจังหวัดเลยจบลง

“เขาพูดมาแบบนี้ คงจะไม่ได้แน่ ๆ” เด็กชายคิดแล้วถอนใจเดินออกจากห้องออดิชันเพื่อพบแม่ของเขา

อันที่จริงเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว (ปี 2550) ตอนที่ยูทูบยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าในวันนี้ โอกาสจะถูกมองเห็น จะถูกได้ยินจากบริษัทเพลงยักษ์ใหญ่ระดับประเทศอย่าง RS Promotion มีไม่มากนัก

เด็กชายคนนี้รู้ดีว่าถ้าเขามีโอกาสมาออดิชันให้ทีมทำเพลงของอาร์เอสฟัง เขาต้องคว้าโอกาสนี้ไว้แล้วทำมันให้ดีสุดความสามารถ ในการออดิชันครั้งนั้นแทนที่เขาจะเลือกตัวเลือกที่ปลอดภัย อย่างการร้องเพลงฮิตติดหูทั่วไปที่น่าจะสร้างความประทับใจให้ทีมงานได้ไม่ยาก เขากลับเลือกเดินทางเสี่ยง เขาเลือกร้องและแร็ปเพลงที่ตัวเองแต่งขึ้น 

ณ วันนั้น เด็กชายอายุ 15 คนนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าทางเสี่ยงที่ตัวเองได้เลือกเดินได้ทำให้หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของค่ายกามิกาเซ่ ในเครืออาร์เอส - เอฟู ณรงค์ศักดิ์ ศรีบรรฎาศักดิ์วัชรากรณ์ ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมเกิดประทับใจกับความแปลกใหม่ของสำเนียงแร็ปแบบฝรั่งตะวันตก ทั้งลีลา ท่าทาง จังหวะท่วงท่า ความหนักเบาในการแร็ป ในสารคดี UrboyTJ Self made- Documentary เอฟู หรือพี่เอฟู (ตามที่ทุกคนในสารคดีนั้นเรียก) ถึงกับออกปากเลยว่า “ไม่เคยเห็นเด็กไทยคนไหนแร็ปได้เหมือนฝรั่งแบบนี้มาก่อน”

หลังการออดิชันเสร็จสิ้นลง เด็กชายแร็ปเปอร์คนนั้นเลือกที่จะยังไม่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด ด้วยความหวังใจว่าจะได้ยินข่าวดีจากค่ายเพลงใหญ่ในเร็ววัน และแล้วโชคชะตาก็ยืนอยู่ข้างสองแม่ลูก สองวันต่อมาหลังจากวันออดิชัน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เข้ามาเซ็นสัญญาที่บริษัทภายในสัปดาห์นี้ได้เลยนะครับ”

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกได้รู้จักกับ เต๋า-จิรายุทธ ผโลประการ หรือที่ทุกคนเรียกเขาว่า UrboyTJ

กำเนิดวายร้าย(ที่ไม่ได้ใจร้าย)

ภาพลักษณ์ที่เราเห็น UrboyTJ ภายนอกที่ดูเหมือนวายร้าย ทั้งรอยสักเต็มตัว สีหน้าแววตานิ่งเงียบ บางขณะก็ไม่พูดไม่จากับใครทั้ง ๆ ที่ทุกคนกำลังร่วมสังสรรค์กันอยู่ รวมถึงเพลงที่เขาเคยเขียนให้ตัวเองร้องอย่าง ‘วายร้าย’ ทำให้ชวนฉุกคิดว่า เขาเป็นวายร้ายจริงหรือ? จุดกำเนิดของวายร้ายคนนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่?

ภาพความทรงจำวัยเด็กของคุณเป็นแบบไหนกันบ้าง? คุณจำได้ว่าพ่อแม่พาคุณไปเที่ยวในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์? คุณจำได้ว่าคุณสนุกกับการไปโรงเรียนเพื่อจะได้เจอเพื่อน ๆ? คุณจำได้ว่าไม่ว่าจะหิวหรือเหนื่อยมาจากไหน ถ้ากลับบ้านมาคุณจะมีข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมกับข้าวเต็มโต๊ะรอคุณอยู่ที่บ้านเสมอ?

ถ้าภาพจำวัยเด็กของคุณเป็นดังที่ว่ามา คุณคงต้องลองใช้จินตนาการอย่างหนักหน่วงตามสักหน่อยจึงจะเข้าใจชีวิตวัยเด็กของเต๋าหรือ UrboyTJ (ต่อจากนี้ผู้เขียนขอเรียกว่า ทีเจ)

ทีเจโตมากับการได้เห็นภาพความรุนแรงในบ้านจนชินตา พ่อแม่ของทีเจมีปากเสียงและมีการลงไม้ลงมือกันบ่อยครั้ง ทีเจน้อยซึ่งในขณะนั้นยังใช้คำว่า ‘เด็กชาย’ นำหน้าต้องรับบทเป็นคนกลางห้ามไม่ให้ความรุนแรงมันทวีจนเกินเลย เด็กชายทีเจเคยต้องออกจากบ้านกลางดึกเพื่อตามหาแม่ หลังจากที่แม่หายตัวไปเพราะทะเลาะกับพ่อ ทีเจไปทุกที่ที่เด็กชายคนหนึ่งจะรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังต่าง ๆ ของเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน หรือที่ทำงานของแม่ แต่เขาก็ยังหาแม่ไม่เจอ

ทีเจเคยเล่าไว้ว่าตอนนั้นเขาทั้งเครียดทั้งกลัวจับใจ หากแต่สิ่งที่เด็กชายคนนี้กลัวไม่ใช่ความมืด หรืออันตรายใดในยามค่ำคืน ทีเจน้อยกลัวว่าคนที่เขารักที่สุดในชีวิตคนหนึ่งจะหนีจากเขาไปโดยไม่กลับมาอีก

แต่สุดท้ายแม่ของเด็กชายทีเจก็กลับมา 

แต่ในที่สุด พ่อกับแม่ก็ตกลงแยกทางกัน

การย้ายไปอยู่ที่จังหวัดเลยกับแม่และยายยังไม่ทำให้ความขัดแย้งในครอบครัวของทีเจยุติลง พ่อของทีเจยังกลับมาพาตัวทีเจกลับไปอยู่ที่เชียงรายบ่อยครั้ง ระยะทางการนั่งรถเดินทางไป-กลับ ระหว่างเลย-เชียงรายใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง (ตามคำบอกเล่าของทีเจ) ทีเจเคยเล่าไว้ว่า ระหว่างทางไป-กลับ ครั้งหนึ่ง ขณะอยู่บนรถกับพ่อ เขารู้สึกหิวมาก ทันใดนั้นเผอิญเขาเหลือบไปเห็นเงิน 1 บาทตกอยู่ในรถ เด็กชายทีเจคำนวณในใจทันทีว่าเขามีทางเลือกอยู่ 2 ทางในการใช้เงินบาทนั้น คือ 1) ใช้ซื้อข้าวเหนียว 1 ห่อกิน หรือ 2)ใช้โทรฯ หาแม่แล้วบอกให้แม่มารับเขากลับไป

เด็กชายทีเจเลือกใช้เงินนั้นซื้อข้าวเหนียวกินกับเกลือเพื่อบรรเทาความหิวของตัวเอง และทันทีที่แม่เขาทราบเรื่องนี้ ทีเจบอกว่าแม่เขาไม่เคยอนุญาตให้พ่อมาพาเขากลับไปที่เชียงรายอีกเลย

และนี่เองคือเรื่องราวต้นกำเนิดวายร้าย (?) และโรคซึมเศร้าที่ติดตัวเขามาจนถึงทุกวันนี้

โรคซึมเศร้ากับ UrboyTJ

ด้วยความกดดัน ความเครียด การย้ายที่อยู่ไป-มาของทีเจตั้งแต่เด็ก สภาวะบีบคั้นเกินกว่าเด็กตัวเล็ก ๆ จะรับไหว ทำให้ทีเจเป็นโรคซึมเศร้า โดยคนรอบข้างพอจะมองออกว่า เด็กชายทีเจเป็นเด็กที่มีบุคลิกนิ่ง และไม่ค่อยมีเพื่อนที่โรงเรียน แต่ด้วยข้อจำกัดที่ความรู้เรื่องโรคซึมเศร้ายังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายอย่างในปัจจุบัน ทีเจจึงใช้เวลานานกว่าจะได้เข้าไปพบจิตแพทย์เพื่อบำบัดอาการซึมเศร้าของเขา 

ในขณะที่ทีมงานที่ร่วมกันทำเพลง ‘แน่นอก’ (3.2.1 Kamikaze feat. ใบเตย) ต่างพากันดีใจกับความสำเร็จอันล้นหลามของเพลงนี้ ทีเจกลับนิ่งเงียบ ไม่ยินดียินร้ายใด ๆ ตอนที่ วง 3.2.1 ได้ยุติลง ทีเจไม่ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตใดอีกต่อไป นั่นยิ่งเป็นจุดที่ทำให้โรคซึมเศร้าของทีเจถาโถมใส่เขามากขึ้นไปอีก พื้นฐานที่คิดว่าไม่น่าจะมีใครบนโลกนี้แก้ไขความเศร้าหรือความเครียดในสมองเราได้ ทีเจเลยไม่ได้ออกไปพบแพทย์หรือพบใครทั้งนั้น 

แต่แล้ววันหนึ่ง ทีเจก็ได้รับข้อความจากเพื่อนเก่าของเขา และเขาคนนี้นี่เองที่เป็นคนนำความรู้เรื่องโรคซึมเศร้ามาให้ทีเจ และแนะนำให้ทีเจไปพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา เขาคนนั้นคือ ว่าที่ ดร.ภัทรดนัย เสตสุวรรณ หรือ เขื่อน K-Otic นั่นเอง

เด็กชายทีเจกับโลกใบใหม่ของเขา

ในภาพยนตร์เดอะ เมทริกซ์  ‘นีโอ’ (เคอานู รีฟส์) เลือกที่จะกินยาเม็ดสีแดงที่ ‘มอร์เฟียส’ (ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น) ยื่นให้แล้วนีโอก็ได้เจอกับโลกอีกใบที่เปลี่ยนแปลงความคิดของเขาไปตลอดกาล 

คงเปรียบเหมือนกับวันที่ลูกพี่ลูกน้องของทีเจกลับมาจากฝรั่งเศสแล้วยื่นเทป อัชเชอร์ (Usher)- นักร้องอาร์แอนด์บีชื่อดัง ให้กับทีเจ หลังฟังเทปอัชเชอร์ในวันนั้น โลกทัศน์เรื่องเพลงของเด็กชายทีเจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลเช่นกัน 

ทีเจเริ่มสนใจวัฒนธรรมฮิปฮอป เขาเริ่มหาเพลงจากโลกฝั่งตะวันตกมาฟังมากขึ้นทั้ง ฟิฟตี้เซนต์ (50 cent), เอ็มมิเน็ม (Eminem) ผนวกกับการได้ค้นพบเว็บบอร์ดที่ชื่อ SIAMHIPHOP ที่ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนคนทำเพลงจากทั่วประเทศเข้ามาแชร์ความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมองทางด้านการทำเพลงกัน นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีเจเกิดความรู้สึกอยากจะทำเพลงขึ้นมา

และแล้วเด็กชายทีเจก็ทำเพลงแรกสำเร็จตอนอายุ 15 ปี ต่อมา เพลงแล้วเพลงเล่าที่เขาได้ทำ และนำไปโพสต์เพื่อขอความเห็น คำแนะนำจากเหล่ากูรูใน SIAMHIPHOP ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างเพลย์ลิสต์ของตัวเองขึ้นมาได้ 5 เพลง และโพสต์มันลงใน Hi5 นั่นเป็นใบเบิกทางให้แมวมองจากอาร์เอสโทรฯ มาตามให้เขาไปออดิชันที่ค่ายเพลงใหญ่ของประเทศไทย อาร์เอสโปรโมชัน

 

สายเลือดกามิกาเซ่โดยเนื้อแท้

ผลงานชิ้นแรกที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักกับทีเจ คือการเป็นสมาชิกวง 3.2.1 (ทรี.ทู.วัน) แต่แท้ที่จริงแล้วทีเจไม่ได้เป็นแค่ศิลปินที่แสดงหน้าเวทีเท่านั้น ทีเจได้ร่วมทำงานเบื้องหลังทั้งแต่งเพลง ทำเพลง ร้องไกด์ให้กับกามิกาเซ่อยู่มากมายหลายศิลปิน ไม่ว่าจะเป็น เฟย์ ฟาง แก้ว, พายุ, หวาย, ธามไท, K-Otic ต่างเคยได้ร่วมงานเพลงกับทีเจมาแล้วทั้งสิ้น

จากวันแรกที่ก้าวเข้าสู่วงการเพลงด้วยการไปออดิชันที่อาร์เอส จนถึงวันนี้ วันที่เขามีอัลบั้มเดี่ยวเป็นของตัวเอง ทีเจใช้เวลาทั้งหมด 13 ปี เพื่อที่จะได้ทำเพลงที่สื่อสารและบอกเล่าความเป็นตัวของตัวเองออกมา อัลบั้ม Selfmade ที่ทีเจมีอิสระในการโปรดิวซ์ เขียน ร้อง ดีไซน์ ทุกอย่างเอง เขาก็ยังเลือกที่จะคงลายเซ็นกามิกาเซ่ไว้อยู่ดี ถึงแม้เพลงที่เขาเขียนมันจะเศร้าแค่ไหน เขาก็จะเอาดนตรีที่มันดูสดใสมาครอบเอาไว้ให้มันฟังดูเป็นกามิกาเซ่ โดยที่ทีเจเคยบอกไว้ว่า “ก็กามิกาเซ่มันเป็นดีเอ็นเอของผม”

UrboyTJ Selfmade

ถึงจะใช้เวลานาน 13 ปี แต่สุดท้ายแฟนเพลงของทีเจก็ได้อ่านไดอารีชีวิตเล่มนี้ของทีเจสักที โดยทีเจเลือกเขียนไดอารีผ่านการทำเพลง เพลงทั้ง 12 เพลงที่ทีเจเขียน (และร่วมเขียนกับทีมงาน) ล้วนเล่าเรื่องราวและตัวตนของทีเจทั้งสิ้น 

อย่างเพลง ‘ถามคำ’ เป็นเพลงที่ร้องแก้เพลง ‘คำถาม’ ของเฟย์ ฟาง แก้ว สมัยยังอยู่กามิกาเซ่, ‘อยู่ก่อน’ (ft. Oat Pramote), ‘ช่วยไม่ได้’, ‘กอดได้ไหม’, ‘รับให้ได้’, ‘ยิ่งเกลียดยิ่งรัก’, ‘สักวัน’ (feat. Karn The Parkinson), ‘SAD ONE’ ล้วนแล้วแต่บอกเล่าเรื่องราวความรักในมุมมองของทีเจที่เป็นผู้ชายขี้เหงา ขี้อาย และไม่สมหวังในความรัก เพลง ‘Selfmade’ (feat. Violette Wautier), ‘ชูมือขึ้น’ ที่เล่าถึงเรื่องราวชีวิตและการสร้างตัวเองขึ้นมา เพลง ‘หลับตา’ เพลงที่ทีเจเคยบอกว่าชอบที่สุดในอัลบั้ม ซึ่งน่าจะเป็นเพราะมันสื่อถึงเรื่องราวความเศร้าของเขาที่มีมาไว้อยู่ในเพลงนี้ พร้อมกับประโยคที่บอกว่า “ที่ทำเป็นเก่งที่จริงก็เป็นได้เพียงไอ้คนขี้แพ้ แค่อยากที่จะร้องไห้กับใครสักคน…” ที่ผ่านมาฟังถึงท่อนนี้กี่รอบก็รู้สึกสะอึก ซึมลึก

และขาดไม่ได้ เพลงที่เป็นที่ฮือฮาในความฮึกเหิมเดือดดาลของเนื้อร้อง ‘ซุปเปอร์ไซย่า’ (ft. MAIYARAP) ที่ทีเจพยายามจะสื่อว่านี่แหละร่างสองของเขา

ซุปเปอร์ไซย่าจอมทำเพลง

ในเรื่องดราก้อนบอล ชาวไซย่าอย่าง ซง โกคู สามารถแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ไซย่าในครั้งแรก เมื่ออะไรบางอย่างมาจุดชนวนในอารมณ์ ทีเจเองก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เขาแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ไซย่าที่มีพลังในการทำเพลง จนเพื่อนศิลปินหลายคนเคยบอกไว้ว่า “ทีเจเป็นคนที่ทำเพลงไม่หยุด”

จนพี่เอฟูเคยเล่าไว้ว่า ทีเจเป็นคนที่หมกมุ่นเรื่องการทำเพลงมาก ถึงขนาดมาเอากุญแจแล้วเปิดเข้าไปในคอนโดฯ ที่ใช้ในการทำเพลงของพี่เอฟู ในตอนที่พี่เอฟูไม่อยู่บ้าน เพื่อที่จะได้นั่งดูมอนิเตอร์และฟังเพลงที่พี่เอฟูทำ เบื้องหลังความสำเร็จของเพลงหลายเพลงในกามิกาเซ่ ก็ได้ทีเจนี่เองเป็นผู้อยู่ ‘ข้างหลัง’ ซึ่งก็หมายความตรงตามตัวอักษร คือทีเจนั่งอยู่บนโซฟาด้านหลังพี่เอฟู และคอย ‘เคาะ’ งานช่วยพี่เอฟู (ต้องขอบคุณความใจกว้างตรงนี้ของเอฟูด้วย) เพลงไหนผ่านหรือไม่ผ่าน

ถ้าเพลงไหน ทีเจบอกว่า ‘ได้’ เพลงนั้นก็ถือว่าเสร็จสิ้น ถ้าเพลงไหนทีเจบอกว่า ‘ยังไม่ได้’ ก็ต้องกลับไปทำใหม่

UrboyTJ และชาวเน็ต

นอกจากพรสวรรค์บวกพรแสวง พ่วงด้วยภาษาอันแหลมคมในการเขียนเพลงให้สื่อสารและเข้าใจง่าย ทักษะในการทำเพลง และ ‘เซนส์’ ของการทำเพลงให้ฮิตที่เฉียบคมของทีเจ ที่ส่งให้เขาเป็นที่รู้จักและโด่งดังในหมู่คนทั่วไปแล้ว ดูเหมือนว่าพลเมืองชาวเน็ตได้หยิบจับคำพูด หรือเนื้อร้องของทีเจไปเป็นมีมอยู่บ่อยครั้ง เช่น

เนื้อร้องเพลง ‘เค้าก่อน’ ที่ร้องว่า “เธอจะทำอะไรก็ไปทำกับเค้าก่อน” ชาวเน็ตก็เอาไปแปลงเป็น “เธอจะทำอะไรก็ไปทำกับข้าวก่อน”

หรือประโยคสุดคลาสสิกที่ให้กำลังใจคนที่พบว่าน้ำหนักตัวเองกำลังขึ้น “อ้วนเราก็เปลี่ยนการแต่งตัวสิ ไม่เห็นต้องลดน้ำหนักเลย”

และท้ายสุดคือคำพูดแสนจะธรรมดาที่ทีเจ hype อยู่บ่อย ๆ ในหลายเพลง คือ ‘OK’ (ออกเสียงแบบ UrboyTJ คือ ‘โอเค้’)

UrboyTJ คือคนที่จะยิ้มให้คุณเห็นเสมอ

ด้วยอาชีพของทีเจที่เป็นนักร้อง เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ เขาได้พบปะแฟนเพลงและเจอกับผู้คนมากมายอยู่ทุกวัน บทบาทของเขาคือต้องขึ้นเวทีร้องเพลงและทำให้คนมีความสุข ถึงแม้ว่าในหัวสมองของทีเจมันจะเป็นอีกจักรวาลคู่ขนานที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า จนเขาเคยคิดว่าอยากจะหลับตาแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย แต่เมื่อเขาลุกขึ้นมาบำบัด พบแพทย์และต่อสู้กับโลกซึมเศร้า

หรือในวันที่ทีเจเศร้าที่สุดวันหนึ่งในชีวิต วันที่แม่ของทีเจส่งข้อความมาหาทีเจก่อนขึ้นคอนเสิร์ต 5 นาทีว่าคนข้างบ้านที่เลี้ยงทีเจมา (ซึ่งทีเจเรียกลุงคนนี้ว่าพ่อ) เพิ่งเสียชีวิตไป ทีเจเคยบอกไว้ว่า “ผมร้องไห้อยู่หลังเวที...แล้วผมก็เดินออกไปยิ้มแล้วก็ต้องร้องเพลงต่อ”

ทีเจมีประโยคเปิดในหลาย ๆ เพลงเพื่อเป็นลายเซ็นของตัวเอง โดยเขาจะพูดว่า “It’s Urboy TJ, right here” (ทีเจของพวกคุณอยู่ตรงนี้)

อันที่จริงแล้ว หากเป็นไปได้แฟนคลับของทีเจก็คงอยากจะบอกกับทีเจเช่นเดียวกันว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น “It’s Urfan TJ, right here” (แฟนคลับของคุณก็อยู่ตรงนี้) เพื่อคุณเช่นกัน