“สหัสสกรพรพันศิวิไลไทประเสริฐ” การกระทำความดังที่ไม่หยุดนิ่งตลอด 22 ปี

“สหัสสกรพรพันศิวิไลไทประเสริฐ” การกระทำความดังที่ไม่หยุดนิ่งตลอด 22 ปี
ในช่วงทศวรรษที่ 90s ในยุคที่เพลงป็อปบับเบิลกัมที่ถาโถมอย่างบ้าคลั่งจนทำให้ค่ายเพลงอย่าง RS Promotion ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งยุคสมัยที่สร้างนักร้องวัยรุ่นมากมายให้เจิดจรัสสดใสมาตลอดทศวรรษอย่างแข็งแกร่งและน่าอัศจรรย์ นับตั้งแต่ทัช / บอยสเกาท์ / เต๋า / นุ๊ก / แรปเตอร์ / ลิฟท์กะออย / โดม ปกรณ์ ลัม จนถึงเจมส์ เรืองศักดิ์ ได้สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ให้กับค่ายนี้อย่างท่วมท้น  แต่มีศิลปินอีกคนที่หากเอ่ยชื่อค่ายนี้แล้ว ไม่เอ่ยเขาไม่ได้ ผู้ชายที่เปลี่ยนลุกและแนวเพลงมากมาย ได้ร่วมงานกับศิลปินระดับโลก มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเขาได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ก็สร้างความเกรียวกราวลั่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก ผู้ชายคนนี้ที่แค่ชื่อก็บ่งบอกถึงชื่อเสียงที่ขจรขจายมาไกล จวบจนปัจจุบันที่ย่างก้าวสู่ปีที่ 22 ของวงการดนตรีไปแล้ว ไม่มีช่วงเวลาไหนที่ผู้ชายคนนี้จะไม่มีกระแส เพราะเขาคนนี้คือ ดัง พันกร บุณยะจินดา นั่นเอง จุดเริ่มแห่งความดัง และความแรง จากลูกคนสุดท้องของ พลตำรวจเอกพจน์ บุณยะจินดา และ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ที่ลูก ๆ ทั้งสามต่างมีความสนใจในสีสันของวงการบันเทิง จนดัง ได้มีโอกาสออกอัลบั้มชุดแรก Dunk ในปี 2542 แม้ชื่อเสียงเรียงนาม และนามสกุลของผู้เป็นพ่อ จะเป็นเสมือนทางลัดที่เข้าวงการอย่างง่ายดาย แต่ดังก็ได้พิสูจน์ว่าเส้นสายของพ่อไม่อาจมัดใจได้เท่าบทเพลงโดน ๆ ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของค่ายอาร์เอส ที่ไม่ป็อปใส ๆ วัยรุ่นไปเลย ก็ร็อคดุดันสีดำทมิฬ แต่ภาพลักษณ์แรกของดังนั้น เป็นป็อปร็อคที่เนื้อหาโดนใจ และด้วยทรงผมชี้แหลม และแจ๊คเก็ตสีดำ ทำให้ดัง ไม่ว่าจะอยู่ฟากฝั่งไหนของแนวดนตรี ก็เหมือนได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง  บทเพลง ๆ แรก “ท้องไม่รับ” บทเพลงสนุก ๆ ที่เล่นกับคำ ทำให้กลายเป็นที่โดนใจไปทั่วทุกหัวระแหง สานต่อด้วยเพลงช้าอย่าง “ไม่เอาคืน” ก็ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์เด็กหนุ่มห้าว ๆ เซอร์นิด ๆ กวนก็ไม่มีกั๊ก รักก็เต็มร้อย ที่ RS นั้นไม่มีอิมเมจนี้มานานแสนนานนับตั้งแต่ เต๋า สมชาย เข็มกลัด แต่ดังนั้นกลับกระแสแรงยิ่งกว่า เมื่อยอดขายอัลบั้มชุดแรกนั้นผ่านหลักล้านไปเพียงไม่กี่เดือน จนปีเดียวกันได้ออกอัลบั้มเพิ่มเพลงพิเศษอีก 3 เพลงในอีก 4 เดือนต่อมา ตามสมัยนิยม ในยุคนั้นที่ศืลปินคนไหนยอดขายผ่านหลักล้านก็จะมีอัลบั้มฉลองความสำเร็จมาดูดเงินแฟน ๆ อีกรอบ เพลงที่สร้างกระแสไม่แพ้กันอย่าง “เอามันออกไป” “รักไม่ลง” “เพื่อใคร” และเพลงในอัลบั้มพิเศษ “หญิงเดียวในใจ” “คนที่เขาวาดไว้ไม่ใช่เธอ” ล้วนแล้วแต่ติดอันดับต้น ๆ ทั้งสิ้น และไม่รอช้า ในปีเดียวกัน อัลบั้ม Voice of Dunk (2542) ก็มาสร้างกระอีกระลอกต่อ แม้เพลงที่ขายจะเป็นการนำเพลงในอดีตมาคัฟเวอร์อย่างเพลง “อย่าหยุดยั้ง” “ล้างใจ” แต่ก็มีเพลงเน้อหาคม ๆ อย่าง “อย่าปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ” ที่โด่งดังแม้อัลบั้มที่ 2 จะไม่สามารถพาตัวเองไปได้ถึงล้านตลับเหมือนชุดแรก แต่ก็นับเป็นการส่งปีทองของดังได้สนั่นไม่แพ้กัน ปีต่อมากับอัลบั้มชุดที่ 3 Absolute Dunk (2543) เปิดมาด้วยเพลงร็อคขยี้ใจอย่าง “ไม่รักเธอ” เพลงจังหวะสนุก ๆ อย่าง “เอาซอมา” หรือเพลงเนื้อหาคมคาย “ส่องไฟขึ้นฟ้า” ล้วนแล้วแต่ย้ำสูตรสำเร็จที่ผ่านมา แม้จะไม่ใช่ปรากฏการณ์ แต่เพลงที่กล่าวมาข้างต้นก็ยังเป็นเพลงที่ฮิตสำหรับดังอยู่ดี และการได้จับคู่กับศิลปินรุ่นพี่ที่กระเปรี้ยงไม่ต่างกันอย่าง ปาน ธนพร จนมีอัลบั้มพิเศษที่ออกร่วมกันอย่าง Two Seasons: The Great Duet Album (2544) แม้ว่าอัลบั้มพิเศษจะได้รับการตอบรับที่ไม่แรงนัก อาจจะเพราะเป็นส่วนผสมที่ไม่ลงตัวนัก และฐานแฟนคลับของทั้ง 2 นั้นคนละขั้วกัน แต่อย่างไรก็ดีเพลง “ใครคือเธอ...เธอคือใคร” ก็นับเป็นงานที่แสดงศักยภาพทางเสียงร้องที่ยอดเยี่ยมของดังได้อย่างดี ทางแยกแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หลังจากอัลบั้มชุดที่สามและอัลบั้มชุดพิเศษไม่ได้แรงอย่างที่คิด พอดีกับที่ ดัง ไปเรียนต่อต่างประเทศจนจบการศึกษาอย่างเป็นทางการจาก American Intercontinental University แม้สายที่ดังเรียนจะเป็นการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ แต่ดังก็ยังคงมีความสุขกับการทำเพลงมากกว่า อัลบั้มชุดที่ 4 Dunk Fire (2545) มีการนำชื่อเดิมเขาคือ พันกร มาทำเป็นเพลงที่ชื่อ “พันมือ”  งานเพลงในช่วงนั้นยังคงเป็นงานที่วนเวียนกับภาพลักษณ์เดิม ๆ ของเขา ชายหนุ่มผู้ผิดหวังในความรัก อุปมาอุปมัยด้วยคำคม ๆ หรือเพลงร็อคโจ๊ะ ๆ อย่าง “ลุกเป็นไฟ” แม้เพลงเพราะช้ำรัก ๆ อย่าง “อย่าเจอกันอีกเลย” จะเป็นที่นิยม แต่สูตรสำเร็จเดิม ๆ เริ่มไม่สำเร็จ เพราะโลกเริ่มหมุนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันศิลปินเลือดใหม่ในค่ายอย่าง D2B ก็เริ่มมาช่วงชิงพื้นที่ของสื่อในค่าย และข่าวซุบซิบในเรื่องเพศสภาพของดังเองก็เริ่มหนาหู การถาโถมต่าง ๆ นานาทำให้ดังเริ่มรู้สึกแล้วว่าชื่อเสียงที่ได้มามีดาบสองคมที่เขาต้องเผชิญ คือข่าวลบที่มีต่อตัวเขา แต่ดังเลือกที่จะเงียบและใช้ผลงานเพลงสยบข่าวลือแทน นั่นคือผลงานชุดที่ 5 Out of Control (2547) ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตัวตนอย่างช้า ๆ เพลงร็อคที่เคยแข็งกร้าวค่อย ๆ ลดทอนความรุนแรงทางดนตรี และเพลงเริ่มเป็นตัวตนของเขาเอง ด้วยเพลง “ตัวจริง...ยิ่งเจ็บ” “ตรงไหนของหัวใจเธอ” “คิดถึง...ได้ยินไหม” ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงช้าที่มีสัดส่วนมากกว่าเพลงเร็ว แต่ดังกลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้ง กับอัลบั้มชุดที่ 6 Metro Sexual (2548) ที่เป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่เป็นแฟชันจ๋า ทิ้งภาพหนุ่มแจ๊กเก็ตยีนส์ออกไป โดยมีเพลงอย่าง “เอียง” ก็เสมือนการตอกกลับเสียงซุบซิบนินทาต่อตัวตนเขา  อัลบั้มนี้ทำให้ดังค้นพบตัวตน และหันเหสู่การเป็นนักร้องสายแฟชันอย่างเป็นทางการ รวมไปถึงการที่เพลงอย่าง “เจ็บ (มาก...มาก)” ก็กลายเป็นเพลงฮิตติดหู และต่อมามินิอัลบั้มอย่าง Dunk Hi-Soul (2550) ก็ถือเป็นการเปลี่ยนแนวจากหนุ่มป็อปร็อคเป็น R&B, Soul ที่เป็นแนวที่เป็นตัวตนของดังมากก่า ก่อนเขาจะโบกมือลาจากค่าย RS ด้วยอัลบั้มชุดสุดท้าย Dunk Time Walker (2551) ที่ดังทิ้งทวนให้กับค่ายด้วยเพลงที่เป็นตัวตนของเขามากที่สุดด้วยเพลงอย่าง “ถ้าวันนั้น” “สับสนตัวเอง” “รักตัวเองก็พอ” สร้างสไตล์ตัวตน ด้วยบทเพลงเนื้อหาแรงสุด เมื่อหมดสัญญากับบ้านเก่า ดังก็ร่วมกับพี่สาวของตน เปิดค่ายเพลงเองในชื่อ Revol Music Creation ที่เน้นออกผลงานค่ายตัวเอง และเสมือนการปลดล็อกตัวตนของดังเอง กับแฟชันที่เปรี้ยว บทเพลงเนื้อหาที่แซ่บ ไปจนถึง MV ที่ใช้นักแสดงดังที่เป็นกระแสในช่วงนั้นมาโปรโมท อัลบั้ม Revolution (2553) / Funista & 16 Again (2558) ซึ่งดังดูจะมีความสุขมาก ๆ กับสิ่งที่ทำและตัวตนที่เป็นตัวของตัวเองแบบไม่อ้อมค้อม รวมไปถึงสื่อสารถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขามากมายที่ตอนอยู่ค่ายใหญ่ไม่สามารถพูดได้ โดยไม่สนใจในเรื่องยอดขาย แต่ใส่ใจในด้านคุณภาพแทน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกับศิลปินระดับโลกอย่าง Boys II Men รวมไปถึงโปรดักชันของมิวสิควีดีโอระดับสากล แสดงให้เห็นความตั้งใจที่จะยกระดับผลงานตัวเพลงมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ลดราที่จะจองพื้นที่สื่อด้วยการอวดแฟชันหลุดโลกที่เป็นสิ่งที่ดังเองก็รักไม่ต่างกัน เข้าถึงรสพระธรรมและความสงบ แม้ภาพลักษณ์ของดังจะเจือไปด้วยแสงสีที่เผ็ดร้อนมากมายสักแค่ไหน แต่อีกตัวตนของเขาที่อาจไม่เคยรู้ คือการที่ดังมักเข้าวัด ปฏิบัติในศีลในธรรม เจริญสมาธิที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เยาว์วัย นอกจากร้านแบรนด์ดังจากทั่วทุกมุมโลกที่ดังได้ไปเยือนแล้ว ดังยังเคยตามรอยพระพุทธเจ้าในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงแก่นของพุทธศาสนา และที่เป็นที่ฮือฮาคือการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อเฉลิมฉลองการทำงานด้านดนตรีมาอย่างยาวนานตลอด 22 ปี ด้วยชื่อที่ยาวเหยียดจนเป็นที่พูดถึงในวงกว้างนั่นก็คือ “สหัสสกรพรพันศิวิไลไทประเสริฐ” ที่มีความหมายโดยรวมว่า “ผู้พร้อมด้วยพันมือแห่งอิสรภาพที่สุดแห่งความดีงามรุ่งเรือง” แม้เส้นทางชีวิตจะยาวนานและเปลี่ยนแปลงตัวเองสักแค่ไหน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปของตัวดังเลยนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง นั่นก็คือ ความรักในเสียงเพลง ที่เขามีอยู่ไม่ขาดสาย คือสิ่งที่บ่งบอกตัวตนได้อย่างมั่นคงในใจ แม้ชื่อจะเปลี่ยนไป แต่ใจที่รักในเสียงดนตรีของเขา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง