วิทนีย์ ฮุสตัน จากวันแรกถึงวันลา ของ Diva ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

วิทนีย์ ฮุสตัน จากวันแรกถึงวันลา ของ Diva ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล
หลายครั้งโชคชะตามักเลือกพลิกผันและกลั่นแกล้งกับศิลปินเพลงมากมาย เหมือนคำสาปที่ต้องแลกกับชื่อเสียงในช่วงรุ่งโรจน์ด้วยการลงเอยด้วยความเลวร้าย และมักจบลงด้วยการจากลา  วิทนีย์ ฮุสตัน (Whitney Houston) เองก็ไม่ต่างกับศิลปินท่านอื่น ๆ ที่จากไปก่อนวัยอันควร แต่ก่อนที่ละครชีวิตของเธอจะปิดม่าน เธอกลับพบชะตากรรมอันโหดร้าย ก่อนจะจากโลกนี้ไปอย่างหดหู่ ทิ้งไว้เพียงบทเพลงยอดเยี่ยมที่กลายเป็นตำนานจวบจนปัจจุบัน จากวันแรกที่เด็กหญิง วิทนีย์ อลิซาเบท ฮุสตัน ได้ถือกำเนิดลืมตาดูโลก ก็เหมือนได้ถูกขับกล่อมด้วยเสียงเพลง เมื่อญาติ ๆ และลูกพี่ลูกน้องของเธอที่รายล้อมอยู่นั้นต่างเป็นศิลปินหรือไม่ก็ทำอาชีพเกี่ยวกับวงการเพลงแทบทั้งสิ้น แม่ของเธอเป้นนักร้องแนวกอสเปลประสานเสียงในโบสถ์ มีพี่ชายเป็นนักแต่งเพลง มีพี่ชายร่วมมารดาเป็นนักร้อง มีลูกพี่ลูกน้องเป็นนักร้องชื่อดังิดิออน วอร์วิค และดีดี วอร์วิก มีแม่และป้าอุปถัมป์เป็นนักร้องในตำนานอย่าง ดาร์ลีน เลิฟ โดยเฉพาะป้าอุปถัมป์ของเธอคือดาวค้างฟ้าและเป็นตำนานแห่งเพลงโซลอย่าง อารีทา แฟรงคลิน ชีวิตในวัยเด็กของเด็กหญิงวิทนีย์ จึงชอบไปเล่นตามห้องอัด และมันก็ได้ซึมซับการเป็นนักร้องให้กับเธอโดยอัตโนมัติ  แต่ไม่ทันที่เธอจะพบเจอความสุขผ่านเสียงเพลง ชีวิตของเธอก็ถูกทดสอบเป็นครั้งแรก เมื่อพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เธออายุเพียง 4 ขวบ วิทนีย์ตัดสินใจเลือกอยู่กับผู้เป็นแม่และสานต่อความฝันด้วยการติดสอยห้อยตามผู้เป็นแม่ตามโบสถ์ และพรสวรรค์ก็เปล่งประกายเมื่อเธออายุ 11 ปี เมื่อเธอได้รับคัดเลือกอยู่ในคณะประสานเสียงของโบสถ์ ก่อนน้ำเสียงของเธอจะโดดเด่นจนกลายเป็นศิลปินเดี่ยวร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าในเวลาต่อมา และเพราะความสนใจในการร้องเพลง และการได้รับความรู้ในการร้องเพลงจากแม่ของเธอที่อยู่ในวงแบ็คอัพร้องประสานเสียงให้กับ เอลวิส เพลสลีย์ เธอก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการร้องเพลง และเริ่มประกอบอาชีพทางเสียงด้วยการไปสมัครตามผับบาร์ในฐานะคอรัสของศิลปินโซล อาร์แอนด์บีในยุคนั้นอย่าง ชากา คาน และ ลู ราวลส์ ขณะเดียวกันความน่ารักสมวัยในช่วงวัยรุ่นอายุ 14 ของเธอก็เป็นที่แตะตาจนได้ขึ้นปกนิตยสารวัยรุ่น Seventeen ซึ่งนับได้ว่าเธอเป็นนางแบบวัยรุ่นแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ได้ขึ้นปก แถมยังตระเวนถ่ายแบบในนิตยสารชั้นนำอย่าง Glamour และ Cosmopolitan อีกด้วย และยังได้ถ่ายโฆษณาทางโทรทัศน์ เรียกได้ว่าวงการบันเทิงต่างปูพรมแดงต้อนรับเธออย่างไม่ขาดสาย ด้วยภาพลักษณ์ของเด็กสาวข้างบ้านที่น่ารักน่าเอ็นดู ทำให้ก้าวแรกของวงการบันเทิงส่วนใหญ่จะเป็นใช้ภาพลักษณ์ของเธอให้เกิดประโยชน์มากกว่า แต่เหมือนสิ่งที่เธอสนใจเพียงอย่างเดียวและไม่มีวันล้มเลิกไปง่าย ๆ นั่นก็คือการเป็นนักร้องนั่นเอง จนในที่สุดความฝันของเธอก็ใกล้เคียงความจริงที่สุด เมื่อเธอได้ร่วมบันทึกเสียงให้กับคณะ Material วง Acid Jazz ชื่อดัง โดยเพลงแรกที่เธอได้ร้องนั้นคือเพลงคัฟเวอร์ของวง Soft Machine ในเพลงที่ชื่อ Memories ซึ่งเสียงของวิทนีย์ได้รับเสียงชื่นชมว่า “เป็นสุดยอดแห่งเพลงบัลลาดที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา”  และด้วยบทเพลงที่เธอไปร่วมร้องเพลงนั้นเอง ทำให้เธอเริ่มมีแมวมองชวนไปเป็นนักร้อง จนในปีต่อมาเธอก็ตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่าย Arista Records ในปี 1983 เธอได้ถูกเคี่ยวกรำฝีมือถึง 2 ปี จนได้มีบทเพลง ๆ แรกในชีวิตที่เป็นผลงานของเธอ 100% นั่นคือบทเพลง Thinking About You เพลงอาร์แอนด์บีแดนซ์จังหวะสนุกที่อาจจะยังไม่ได้ฉายแววอะไรนัก ก่อนที่อัลบั้มแรกในชีวิตของเธอที่ชื่อ Whitney Houston จะถือกำเนิดในปี 1985 และซิงเกิ้ลที่ 2 You Give Good Love นั่นเอง ที่วิทนีย์ได้แสดงศักยภาพของการโชว์พลังเสียงผ่านบทเพลงบัลลาดอาร์แอนด์บีจนนำพาให้เธอขึ้นขาร์ท Billbpard Hot 100 สูงสุดที่อันดับที่ 3 ตามด้วยซิงเกิ้ลที่ 3 All at Once แต่ที่ทำให้ทั้งโลกได้รู้จักเธอและทำให้เธอได้กลายเป็นนักร้องยอดนิยมจนได้สัมผัสอันดับ 1 ของชาร์ทสมใจ นั่นก็คือบทเพลง Saving All My Love for You ที่ไม่เพียงแค่อเมริกาเท่านั้นที่ครองชาร์ทในอันดับสูงสุด สหราชอาณาจักรก็ตอบรับความยอดเยี่ยมของเธอเช่นกัน  และด้วยยอดขายในระดับแพลตินัมนั้นเอง บทเพลงนี้ก็ส่งผลให้เธอคว้ารางวัล Grammy สาขา Best Female Pop Vocal Performance ไปครองเป็นครั้งแรกอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่เธออกอัลบั้มครั้งแรกก็ได้รับเกียรตินี้ทันที ส่วนยอดขายของอัลบั้มนั้นจวบจนปัจจุบัน อัลบั้มแรกของเธอทำยอดจำหน่ายรวมทั้วโลกสูงถึง 22 ล้านก็อปปี้เลยทีเดียว โดยอัลบั้มเปิดตัวของเธอนั้นนักวิจารณ์ต่างให้คะแนนแดนบวกในฐานะนักร้องสาวผู้สร้างปรากฏการณ์ทั้งน้ำเสียงอันยิ่งใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ และการร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณทำให้เธอได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงทั่วโลก โดยขนานนามเธอว่า “เจ้าหญิงอาร์แอนด์บีคนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”  จึงไม่ยากเท่าไหร่ที่อัลบั้มชุดที่ 2 ของเธอ Whitney (1987) จะได้รับการตอบรับไม่ต่างกัน และแม้อัลบั้มจะเพิ่มความกระฉับกระเฉงในรูปแบบป็อปแดนซ์มากขึ้น ถึงจะเป็นอัลบั้มที่มีสัดส่วนของเพลงเต้นรำมากกว่าชุดแรก แต่ก็ไม่ทิ้งลายเซ็นของเธอนั่นคือน้ำเสียงอันเป้นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร ความมหัศจรรย์ของอัลบั้มนี้ก็คือ 4 เพลงแรกที่ตัดมาเป็นซิงเกิ้ลนั้น สามารถขึ้นชาร์ท Billboard อันดับ 1 ติดต่อกันได้อย่างน่าทึ่ง และไม่มีนักร้องหญิงคนไหนที่เคยสร้างสถิติอันยอดเยี่ยมนี้ได้ และในประวัติศาสตร์มีเพียง 7 อัลบั้มเท่านั้นที่สามารถนำพาบทเพลงไต่อันดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้  และด้วยความยิ่งใหญ่ของ 2 อัลบั้มที่ผ่านมานี้เอง ปีต่อมาเธอก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับวงการด้วยการไปร้องเปิดเพลงในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่จัดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 1988 ซึ่งบทเพลงนั้นก็คือ One Moment in Time ที่กลายเป็นบทเพลงอมตะจวบจนปัจจุบัน พร้อมกันนั้นเธอยังร่วมคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์เพื่อสนับสนุนเนลสัน แมนเดลลา และร่วมต่อต้านการปฏิบัติต่อคนเชื้อสายแอฟริกัน ยิ่งทำให้เธอกลายเป็นขวัญใจมหาชนในทุกชนชั้น และนำพาเธอขึ้นแท่นศิลปินหญิงผู้ยิ่งใหญ่นับแต่นั้นเป็นต้นมา แม้อัลบั้มชุดต่อ ๆ มาจะแผ่วลง แต่การทัวร์คอนเสิร์ตของเธอก็สร้างเม็ดเงินให้เธอยอย่างมหาศาล จนนิตยสารฟอร์บส์ยกให้เธอเป็น 1 ใน 20 ศิลปินมหาเศรษฐีที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำฝนช่วงเวลานั้น ถนนสายดนตรีที่โรยด้วยกลีบกุหลาบอันแสนน่าอิจฉา แต่เสมือนพระเจ้าจะนำพาชื่อเสียงให้เธอตายใจ แม้กระทั่งหนังที่เธอได้แสดงและร่วมทำเพลงซาวนด์แทรกอย่าง The Bodyguard (1992) ก็นำพาให้เธอคว้าทั้งเงินทั้งกล่องและแน่นอนบทเพลง I Will Always Love You กลายเป็นบทเพลงอมตะสุดคลาสสิกที่โชว์ศักยภาพและพลังเสียงที่ถือเป็นจุดสูงสุดของอาชีพเธอด้วยการขึ้นชาร์ทอันดับ 1 ยาวนานถึง 14 สัปดาห์ แต่ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กันนั้นหนามที่ซ่อนอยู่ใต้กลีบกุหลาบก็เริ่มตำใจเธอ เมื่อเธอได้ทำความรู้จักและรักกับผู้ชายที่ชื่อ บ็อบบี บราวน์ ชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนซาตานในคราบคนรักที่สร้างปัญหามากมายให้เธอต้องปวดใจ ไม่ว่าจะเป็นการเสพยา ทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงการที่เขามีหญิงอื่น  และด้วยปัญหาชีวิตที่รุมเร้าตัวเธอทุกด้านนั้นเองก็เป็นตัวแปรให้ วิทนีย์ ใช้ยาเสพติดและเหล้าในการพยายามปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากปัญหา แต่มันก็กลับซ้ำเติมเธอมากยิ่งกว่าเดิม ในช่วงทศวรรษที่ 2000 ไม่มีใครคาดคิดว่า ดีวาสาวผู้ทะเยอทะยานในการสร้างความฝันแห่งยุค 80s จะมีสภาพที่ชวนเวทนา เธอยอมรับว่าเธอเสพยาร่วมกับสามีของเธอ ที่มันทำให้ทั้งเธอและเขากลายเป็นคู่รักขี้ยาที่มักจะเบี้ยวการโชว์ตัว ไปงานสาย และเดินเข้า-ออกโรงพักฐานมียาเสพย์ติดในครอบครอง และเป็นที่ต้องการของเหล่าปาปาราซซีที่มักจะจับภาพเธอแบบดูไม่ได้เพื่อนำไปขายให้กับหนังสือพิมพ์ซุบซิบที่กระหายอยากซ้ำเติมชีวิตของเธอให้แย่ลง  กระทั่งงานประกาศผลรางวัลออสการ์ที่เชิญวิทนีย์ให้มาร้องเพลงในงาน สุดท้ายผู้จัดก็ทนไม่ไหวทั้งวินัยของเธอและเสียงที่ย่ำแย่ จนผู้จัดต้องยุติไม่ให้เธอขึ้นเวที แถมการปรากฏตัวในคอนเสิร์ตฉลอง 30 ปี Michael Jackson: 30th Anniversary Special ผู้คนต่างตกใจในสภาพผ่ายผอมของวิทนีย์ถึงแม้ผู้จัดการส่วนตัวจะบอกว่าสาเหตุหลักมาจากความเครียดที่สะสมจนเธอเบื่ออาหาร แต่เธอก็สารภาพในภายหลังว่าเธอติดยาอย่างหนัก เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้วิทนีย์ตระหนักได้ว่า เธอควรต้องเลิกยาเสียที ในช่วงเวลาที่เธอพยายามจะเลิกยา ปัญหาก็มาอีกเมื่อบริษัทของพ่อเธอนั้นฟ้องร้องวิทนีย์เป็นเงินมูลค่า 100 ล้านเหรียญฯ ในข้อหาละเมิดสัญญา แม้ผู้ที่ฟ้องร้องจะเป็นบริษัท ส่วนพ่อไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่วิทนีย์ก็ใจสลายไม่น้อยในวันที่เธอแทบไร้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืนหยัด ปัญหาก็ยังมารุมเร้าเธอไม่ให้ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีก เธอพยายามอย่างหนักที่จะเลิกยาและพาตัวเองหวนคืนสู่วงการให้ได้ตลอดทศวรรษที่ 2000s จนมาถึง 2010s แต่มันก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ แม้เธอจะตัดความสัมพันธ์กับบ็อบบี้ในปี 2007 แต่เธอก็ยังจมจ่อกับความทุกข์จนแทบหมดเรี่ยวแรง จนเมื่อปี 2012 เมื่อวิทนีย์ได้รับเชิญให้เธอไปงานพรีปาร์ตี้ Grammy Awards ของไคลฟ์ เดวิส ในสภาพที่ดูไม่ค่อยจะดีนัก และวันเดียวกันเธอก็ไปร่วมร้องเพลงกับเคลลี่ ไพรซ์ในบทเพลง Jesus Loves Me ที่ฮอลลีวูดต่อหน้าสาธารณะชน ซึ่งถือว่าเป็นโชว์ครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นเพียง 2 วันก็พบกับข่าวชวนช็อค เมื่อผู้ช่วยของเธอได้พบเธอหมดสตินอนคว่ำหน้าในอ่างอาบน้ำในโรงแรม The Beverly Hilton ในเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง จากการชันสูตพบว่าก่อนที่เธอจะหมดสตินั้นมีร่องรอยของการใช้ยาทั้งเฮโรอีนไปยันยานอนหลับ นำมาซึ่งโรคหัวใจกำเริบและอาจจะเกิดจากการใช้สารเสพติด จบตำนานแห่งดีวาผู้ยิ่งใหญ่ในวัย 48 ปี แม้พระเจ้าจะทำร้ายเหล่าศิลปินให้พบจุดจบอันเจ็บปวดสักแค่ไหน แต่สิ่งที่พระเจ้าไม่อาจจะเอาไปได้ นั่นคือผลงานอันยอดเยี่ยม ผ่านเสียงร้องอันทรงพลังที่ยังคงอยู่บนโลกไว้นี้ไว้ฟังยามคิดถึง และนี่คือประวัติอันแสนเจ็บปวดของศิลปินระดับดีว่า ที่แม้ท้ายสุดของชีวิตจะย่ำแย่ขนาดไหน แต่ แต่ในช่วงเวลาหนึ่ง เสียงของเธอทำให้คนทั้งโลกต้องหลงรัก  และมันจะเป็นอย่างนั้นไปตลอดกาล