วิลล์ สมิธ: ปมร้าวฉานกับพ่อที่เขาฝังใจกลัวมาตลอดชีวิต

วิลล์ สมิธ: ปมร้าวฉานกับพ่อที่เขาฝังใจกลัวมาตลอดชีวิต
ภายใต้ภาพลักษณ์ของดาวเด่นผู้มั่นใจในตัวเองของ วิลล์ สมิธ (Will Smith) ที่เฉิดฉายในฮอลลีวูดมานาน กลับซ่อนไว้ซึ่งบาดแผลในครอบครัวที่เขาไม่ยอมเปิดเผยมานาน จนกระทั่งเขาได้ตีพิมพ์หนังสืออัตชีวประวัติชื่อ Will เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 บุคคลที่ส่งผลต่อจิตใจวิลล์มากที่สุดคือพ่อของเขา พ่อซึ่งเป็นผู้ชายอารมณ์ร้ายที่เข้มงวดกับลูกมาก การกระทำของพ่อในหลาย ๆ ครั้งยังสร้างแผลในใจให้วิลล์และพี่น้องไปพร้อม ๆ กัน รวมไปถึงแผลทั้งทางใจและทางกายที่พ่อกระทำกับแม่ และนั่นเป็นสิ่งผลักดันและยังเป็นเรื่องเตือนใจเมื่อวิลล์เริ่มมีครอบครัวของตนเองจนถึงทุกวันนี้ พ่อของวิลล์มีชื่อเหมือนเขา (Will Smith Sr.) เขาเติบโตมาในแหล่งเสื่อมโทรมแห่งหนึ่งในรัฐฟิลาเดลเฟียตอนเหนือ หากไม่โตมาเป็นคนติดยาหรือกลายเป็นเด็กเกเร ก็จะกลายเป็นเด็กตรากตรำงานที่แข็งกระด้างและดุดันกับชีวิตสุด ๆ ซึ่งพ่อของวิลล์ถูกบ่มเพาะให้เป็นคนประเภทหลัง ตอนเด็ก ๆ พ่อของเขาถูกส่งไปโรงเรียนประจำ แต่ก็ทำตัวเกเรเพื่อให้โดนส่งกลับบ้าน เมื่อแผนไม่สำเร็จ เขาจึงหนีจากโรงเรียนเพื่อไปสมัครเป็นทหารแทน ชีวิตทหารเป็นสิ่งที่เติมเต็มและน่าพึงพอใจสำหรับวิลล์ผู้พ่อมาก เขาเรียนรู้การทำกิจวัตรประจำวันตรงเวลาจนตื่นก่อนครูฝึกจะมาปลุกเสียอีก หากไม่มีปัญหาจากนิสัยส่วนตัว เขาคงได้ไต่เต้าจนมีตำแหน่งใหญ่โตไปแล้ว ปัญหาสองอย่างที่ทำให้เขาหมดโอกาสคือการติดเหล้าอย่างหนัก และการเมาอาละวาดจนทำทุกอย่างเละเทะ อีกปัญหาคืออารมณ์ร้ายอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาโกรธเพื่อนทหารมากจนคว้าปืนกราดยิงในค่าย โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่วีรกรรมครั้งนั้นทำให้กองทัพต้องปลดเขาออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นเขาไปทำงานในโรงเหล็กก่อนจะออกมาเปิดกิจการของตัวเองเมื่อได้เรียนรู้เรื่องเครื่องยนต์มากพอ ช่วงนี้เองที่วิลล์ผู้พ่อได้พบกับ แคโรไลน์ ไบรท์ (Caroline Bright) แม่ของวิลล์ในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง ในขณะที่พ่อของวิลล์เป็นชายหนุ่มเกเรขี้โมโหที่โดนปลดออกจากกองทัพมา เขาเข้าสังคมเก่งและมักเป็นจุดสนใจของเพื่อนเสมอ ส่วนแม่ของวิลล์เป็นผู้หญิงผิวดำคนแรก ๆ ที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน (Carnegie Mellon University) เธอมีการศึกษาสูงและเป็นคนพูดน้อย มักใช้เวลาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยอะไรออกมา ไม่มีใครคาดคิดว่าหนุ่มสาวที่เป็นขั้วตรงข้ามกันเช่นนี้จะมาพบรักและลงเอยด้วยการแต่งงานได้ แต่ทั้งคู่ก็มีจุดเหมือนกันหลายด้านอย่างน่าแปลกใจ ทั้งสองต่างมีแม่เป็นพยาบาล เคยแต่งงานมาแล้วหนึ่งครั้ง และมีลูกติดชื่อว่า ‘พาเมลา’ เหมือนกัน วิลล์ยังกล่าวว่าการมาพบกันของทั้งสอง ‘เหมือนพระเจ้าวางแผนไว้’ ด้วยความที่พ่อใช้ชีวิตมาอย่างทหารเข้าเส้นเลือด เขามักวางอำนาจในบ้านเหมือนเป็นนายทหารคนหนึ่ง ทุกคำสั่งต้องถูกปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากคำสั่งใดล้มเหลวก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง และแล้ววิลล์ก็ได้เข้าใจหลักการของพ่ออย่างถ่องแท้เมื่อเขาทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จและกลับมาบ้านช้าจนพ่อออกไปตามตัวเขาถึงที่ “ฉันสั่งให้แกทำอะไร?” พ่อของวิลล์ถามด้วยอารมณ์ร้อน “ผมรู้ครับพ่อ แต่ว่า..” “ใครเป็นคนสั่งกันแน่ ฮึ? แกหรือฉัน “แกรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนสองคนเป็นคนสั่งการ? ทุกคนจะตายห่ากันหมดน่ะสิ” พ่อตะคอก จากนั้นจึงลากตัววิลล์กลับบ้านแล้วคว้าเข็มขัดมาหวดเขาเต็มแรงหลายที และด้วยหลักการนี้เอง วิลล์จึงเข้าใจว่าแม่ของเขาหรือใครก็ตามจะไม่มีวันมีอำนาจทัดเทียมพ่อในบ้านอย่างแน่นอน แต่กระนั้นแม่ก็ยังลุกขึ้นประจันหน้าพ่ออย่างห้าวหาญทุกครั้งที่ทะเลาะกัน แม้ว่าพ่อของเขาจะวางตัวเป็นใหญ่ในบ้านก็ตาม ซึ่งพ่อของวิลล์ก็ลงเอยด้วยการทำร้ายร่างกายเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกว่าอำนาจของตนถูกท้าทาย “ตอนผมอายุเก้าขวบ ผมเห็นพ่อชกแม่เข้าที่ข้างหัวอย่างแรงจนเธอล้มลง จากนั้นเธอก็กระอักเลือดออกมา ช่วงเวลานั้นในห้องนอนเป็นสิ่งกำหนดตัวตนของผมมากกว่าช่วงเวลาอื่นใดในชีวิต” วิลล์เล่าในหนังสือและบอกว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ฝังใจเขามาจนถึงทุกวันนี้ และส่งผลต่อชีวิตเขาอย่างไรบ้าง “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำตั้งแต่นั้นมา ทั้งรางวัลต่าง ๆ แสงสีและการเป็นที่สนใจ ทุกตัวละครและเสียงหัวเราะ ล้วนแต่แฝงคำขอโทษต่อแม่ของผมสำหรับการไม่ทำอะไรในตอนนั้น สำหรับความล้มเหลวต่อเธอ สำหรับความล้มเหลวที่จะต่อกรกับพ่อ และการที่ผมเป็นคนขี้ขลาด “ผมต้องคิดทุกอย่างให้รวดเร็วและถี่ถ้วน การมองพลาดหรือจับความไม่ได้ศัพท์อาจลงเอยด้วยเข็มขัดฟาดก้น หรือไม่ก็หมัดชกเข้าที่หน้าของแม่” ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ยืดยาวอยู่เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ทั้งสองแยกกันอยู่เมื่อวิลล์อายุได้ 13 ปี จากนั้นแม่ก็มีคนรักใหม่ ส่วนวิลล์ก็ย้ายตามไปอยู่กับแม่ด้วย กระนั้นวิลล์ก็ยอมรับว่าพ่อของเขาทำหน้าที่ได้ดีในการหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวและพยายามดูแลลูกให้ทั่วถึงทุกคน พ่อยังสละเวลามาสอนพวกเขาให้ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทัศนคติต่อการทำงานหลายอย่างของพ่อก็ได้ถ่ายทอดมาสู่วิลล์เช่นกัน เขายังคงไปเยี่ยมพ่ออยู่บ่อย ๆ ส่วนพ่อก็มักมาร่วมงานปฐมทัศน์และไปหาเขาอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้วิลล์ลืมคืนที่พ่อทำร้ายแม่ไปได้ ทั้งพ่อกับแม่ทำเรื่องหย่าร้างกันอย่างเป็นทางการในปี 2000 หลังจากนั้นหลายปี พ่อของเขาก็เริ่มล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง ระหว่างนี้วิลล์ยังคงกลับไปช่วยดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้าย วิลล์ สมิธ ผู้พ่อเสียชีวิตในปี 2016 วิลล์ยังเคยสารภาพว่าเขาผุดความคิดที่จะแก้แค้นให้แม่ในระหว่างที่ต้องดูแลพ่อที่นั่งบนรถเข็นขึ้นมา แต่ก็สลัดมันทิ้งไปได้ แม้เขามีโอกาสจะทำก็ตาม และเขาก็ปล่อยวางความแค้นเคืองที่มีต่อพ่ออยู่ลึก ๆ ไปได้ “พ่อทำให้ผมต้องทุกข์ทรมาน แต่เขายังเป็นชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผมเคยรู้จัก” เขากล่าว “เขาคือพรที่ฟ้าประทาน แต่ก็เป็นแหล่งรวมความเจ็บปวดที่มากที่สุดเช่นกัน “พ่อผมเป็นคนรุนแรง แต่เขาไปดูทุกครั้งที่ผมเล่นกีฬา เล่นละคร หรือตอนซ้อม เขาเป็นคนติดเหล้า แต่ก็ยอมสร่างเพื่อไปดูหนังรอบปฐมทัศน์ของผมทุกเรื่อง เขาฟังทุกเพลง ไปหาผมทุกสตูดิโอ ความเพอร์เฟกชันนิสต์อย่างแข็งกร้าวของเขาทำให้ครอบครัวเราหวาดกลัว แต่มันก็ทำให้พวกเรามีอาหารบนโต๊ะทุกค่ำ” เรื่อง: อันโตนิโอ โฉมชา อ้างอิง: หนังสือ Will โดย Will Smith with Mark Manson, 2021 #ThePeople #WillSmith #WillSmithSr #CalorineBright