ญาดา จักรไชย: โควิด-19 เรื่องเล่าคนไทยในอเมริกา กับวีซ่าที่กำลังจะหมดอายุ

ญาดา จักรไชย: โควิด-19 เรื่องเล่าคนไทยในอเมริกา กับวีซ่าที่กำลังจะหมดอายุ
"ปั๊บเดินทางมาที่อเมริกาโดยใช้วีซ่าประเภท J1 ซึ่งเป็นวีซ่าของนักเรียน นักศึกษาแลกเปลี่ยนโปรแกรมฝึกงาน (trainee) มาทำงานเป็นพนักงานบริการที่โรงแรม โดยกำหนดการตั้งใจจะกลับเมืองไทยช่วงกลางเดือนเมษายน ออกเดินทางวันที่ 15 ถึงวันที่ 17 เมษายน วางแผนมาหลายเดือนแล้ว และจองตั๋วช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่มีข่าวว่าปิดน่านฟ้าจนถึงวันที่ 18 เมษายน เลยยังเดินทางไม่ได้" ปั๊บ-ญาดา จักรไชย คือคนไทยในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเธออยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เธอเล่าให้ฟังว่า เธอเดินทางมาอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว ตั้งใจว่าจะมาทำงานเป็นพนักงานบริการที่โรงแรมเพื่อหาประสบการณ์และเก็บเงิน โดยตัวเธอถือวีซ่าประเภท J1 ซึ่งเป็นวีซ่าที่ทางรัฐบาลออกให้บุคคลที่เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนของรัฐบาล ที่มีจุดประสงค์หลักคือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวอเมริกัน วีซ่านี้มีอายุ 1 ปี แต่พอครบ 1 ปี จะต่อให้อีกเดือนหนึ่ง เรียกว่าเดือน Travel Month หลังจากเธอทำงานครบหนึ่งปี วีซ่าหมดอายุในวันที่ 16 มีนาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ปั๊บทำงานที่โรงแรมพอดี หลังจากนั้น ช่วงเวลานั้นเธอเลยวางแผนซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านในช่วงเดือนต่อมา คือบินในวันที่ 15 เมษายน 2563 แล้วไปต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น ก่อนจะมาถึงไทยในวันที่ 17 เมษายน 2563 (ในช่วงเวลานั้น รัฐไทยยังไม่มีประกาศปิดน่านฟ้า และเธอวางแผนการที่จะกลับบ้านที่เมืองไทยมาหลายเดือนแล้ว)  ตอนแรกสถานการณ์ยังปกติ หลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปี เธออยากใช้เวลาอยู่ที่อเมริกาอีกสักนิดก่อนกลับบ้าน ระหว่างนั้นเธอได้ติดต่อสถานทูตไทยในอเมริกาเพื่อขอเอกสารได้รับอนุญาตกลับประเทศไทน และกำลังดำเนินการเพื่อขอเอกสารรับรอง Fit to Fly ซึ่งต้องขอก่อนออกบินล่วงหน้า 72 ชั่วโมง เธอเตรียมพร้อมที่จะกลับบ้านเกิดแล้ว... แต่ในที่สุดเมื่อสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดที่อเมริกา จนทำให้แต่ละรัฐเริ่มมีมาตรการดูแลคนในรัฐตัวเอง โดยแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกที่มีนโยบายขอความร่วมมือให้ผู้คน Shelter In Place (SIP) หรืออยู่กับบ้าน และการดูแลตัวเองแบบสากลอื่น ๆ อย่างการล้างมือ การสร้างระยะห่างทางสังคม หรือล่าสุดให้สวมมาสก์ตอนออกมาข้างนอก ก็ทำให้ยอดของผู้ป่วยโควิด-19 ไม่พุ่งขึ้นสูงถ้าเทียบกับรัฐอื่น ๆ ที่มีการระบาดอย่างหนัก เมื่อเจอการคุมเข้มของรัฐ ปั๊บก็เต็มใจให้ความร่วมมือ ช่วงเดือนมีนาคมต่อมาถึงเดือนเมษายน เธอจึงอยู่ในที่พักเป็นหลัก แต่จะออกมาข้างนอกบ้างในช่วงที่ต้องออกมาจับจ่ายซื้อของ ปั๊บเล่าว่า ตรงนี้ไม่ลำบากมาก เธอกินง่ายอยู่ง่าย ร้านขายสินค้าอย่าง Costo ก็ยังเปิดให้บริการอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้เธอกังวลใจนั่นเพราะว่า เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา รัฐไทยมีประกาศปิดน่านฟ้า ห้ามเที่ยวบินทั่วโลกบินเข้าไทย ระหว่างวันที่ 7-18 เมษายน จึงทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว เธอไม่สามารถเข้าไทยได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ หากอยู่ในอเมริกาหลังวันที่ 16 เมษายน 2563 เธอจะตกอยู่ในสภาวะอยู่ในประเทศนี้เกินกำหนดระยะอนุญาต (overstay) ของวีซ่า แต่หากเดินทางวันที่ 15 เมษายน แล้วมาเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่น ซึ่งในขณะนี้ได้ระงับฟรีวีซ่าของไทยแล้ว ทำให้เธอเข้าญี่ปุ่นไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าตัวเองต้องรออยู่ที่สนามบิน (terminal) ของญี่ปุ่นอีกกี่วันกว่าจะได้กลับไทย ปั๊บเล่าว่า ยินยอมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐไทยทุกอย่าง หากจะมีต้องมีมาตรการกักตัว เธอพร้อมให้ความร่วมมือ เธอตั้งใจกลับบ้านตามเวลาที่กำหนดเพราะอยากกลับไปหาคุณแม่ ซึ่งตอนนี้อยู่ที่เมืองไทยคนเดียว จะได้คอยช่วยเหลือกันได้ แต่เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ค่อนข้างกะทันหันมาก ๆ เธอเลยติดต่อบอกแม่ว่าให้รอก่อน ในช่วงเวลานี้ เธออยู่ในห้วงความสับสน ไม่ต่างจากคนไทยหลายคนที่ตกอยู่ในภาวะ overstay ที่อเมริกา แต่ก็ยังมีนักเคลื่อนไหวหลายคนที่คอยช่วยเหลือคนไทยในเรื่องวีซ่าอยู่ทางอเมริกาอยู่ อย่างเช่นที่เพจ Thai US Visa Lawyer, Tammy Sumontha ที่คอยอัปเดตข่าวสารและให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งปั๊บจะเข้ามาเช็คข่าวสารที่นี่อยู่ตลอด และ “ข่าวดี” ที่เธอรอคอยก็มาถึง  เมื่อมีการประกาศว่า (ข้อมูลในวันที่ 9 เมษายน 2563 ตามเวลาที่อเมริกา) สำหรับคนที่ถือวีซ่า J1 (ที่วีซ่าหมดในเดือนมีนาคม) มีการขยายเวลาให้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 โดยอัตโนมัติ พร้อมขยายประกันสุขภาพ  ข้อมูลนี้ทำให้เธอมีความหวัง ในช่วงเวลานี้ต้องมีสติ อดทนรอคอย ในการเตรียมแผนการที่จะกลับบ้านเกิดเมืองนอนในวันที่น่านฟ้าเปิดอีกครั้ง